คำเตือนสั้นๆของ Peter Lynch


ตลาดหุ้นเป็นสถานที่ที่ผู้มีอายุน้อยได้เปรียบผู้มีอายุมาก พ่อแม่อาจจะไม่ได้รู้เรื่องหุ้นไปมากกว่าคุณ แน่นอนพวกท่านมีเงินลงทุนมากกว่า แต่คุณมีสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุด คือ เวลา ยิ่งคุณเริ่มลงทุนเร็วเท่าใดก็จะยิ่งดีเท่านั้น ความจริงแล้วในระยะยาวเงินเล็กๆน้อยๆที่ลงทุนเร็ว จะเติบโตเร็วกว่าเงินก้อนโต ที่ลงทุนช้า

ในอดีตที่ผ่านมาผลตอบแทนโดยรวมจากหุ้นอยู่ที่ 10% เพื่อที่จะได้ 10% นี้คุณจะต้องสัญญากับหุ้นว่าคุณจะไม่มีวันทอดทิ้งเธอ ไม่ว่ายามทุกข์หรือสุข เหมือนกับการ"แต่งงาน" ระหว่างเงินและการลงทุน ถ้าคุณเป็นคนที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ คุณจะกลายเป็นเพียงนักลงทุนที่พอใช้เท่านั้น หากคุณมีความอดทนและความกล้าพอที่จะถือหุ้นนานพอ ความฉลาดไม่ได้ตัดสินว่าเก่งหรือไม่เก่ง สิ่งที่จะตัดสินคือ "วินัย" มากกว่า

การยืนสาบานหน้ากระจกว่าคุณเป็นนักลงทุนระยะยาวเป็นเรื่องที่ง่าย ในประสบการณ์ของผม ถ้าคุณถามคนกลุ่มหนึ่งว่าเป็นนักลงทุนระยะยาวไหม เกือบ100%จะเป็นนักลงทุนระยะยาว แต่บททดสอบว่ายาวจริงหรือไม่นั้นต้องรอตอนที่หุ้นตก

คนที่ยังคิดว่าการปรับฐานหรือหุ้นตกเป็นเรื่องอันตราย แต่มันจะอันตรายก็ต่อเมื่อคุณขายหุ้นเท่านั้น พวกเขาลืมไปอีกอย่างว่า การที่ไม่มีหุ้นในวันที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์เป็นเรื่องที่อันตรายยิ่งกว่า

ในระหว่างช่วง 5 ปีในทศวรรษ 1980 ที่ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นถึง 27% จะมีเพียง 40 วัน ใน 1276 วันเท่านั้นที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างน่าแปลกใจถึง 22% ถ้าคุณพลาดการลงทุนใน 40 วันนั้น ผลตอบแทนของคุณจะเหลือเพียง 4.3% เท่านั้น ซึ่งผลตอบแทนก็ไม่ต่างจากการซื้อพันธบัตร หรือเงินฝากมากนัก แถมความเสี่ยงก็น้อยกว่าการถือหุ้นอีกด้วย

เพราะฉะนั้นเพื่อที่จะได้ผลตอบแทนสูงสุดจากหุ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณอายุยังน้อย และเวลาอยู่ข้างคุณ วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือนำ "เงินเย็น" ของคุณมาลงทุนแล้วทิ้งไว้เลยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณอาจจะบาดเจ็บในช่วงที่หุ้นตก แต่ถ้าคุณไม่ขาย คุณจะไม่ได้ขาดทุนจริงๆ การลงทุนอย่างจริงจังจะทำให้คุณได้ผลตอบแทนเต็มที่ในช่วงเวลาน่าอัศจรรย์ที่หุ้นพากันถีบตัว อย่างไรก็ตามหุ้นที่คุณถืออยู่ คุณจะต้องรู้ดีและสามารถหาเหตุผล 2-3 ประการในการถือหุ้นได้


- Peter Lynch