วันพุธที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

แค่หกส่วนก็พอ

ที่กรุงไทเปมีผู้รับเหมาก่อสร้างคนหนึ่ง  เป็นคนหนุ่มที่ชาญฉลาดที่รู้กันทั้งวงการ  มีหัวการค้าเป็นเลิศ  ทำงานคล่องแคล่วว่องไว  พร้อมลุยงานหนักมาตลอด  หลายๆปีผ่านไป  ก็ไปได้ไม่ไกล  สุดท้ายหนี้สินล้นพ้นตัว  จนถูกฟ้องล้มละลายในที่สุด

ในช่วงที่ชีวิตตกอับสุดๆ  เขามักนั่งวิเคราะห์ถึงจุดบอดจุดอ่อนของตนอย่างละเอียด  แต่ก็หาคำตอบให้ตนเองไม่ได้สักที

เพราะหากพูดถึงความเฉลียวฉลาด  ความขยัน  การวางแผน  เขาไม่แพ้คนอื่นแน่นอน  แต่ทำไมคนอื่นประสบความสำเร็จไปได้ดีกันทั้งนั้น   แต่เขากลับห่างไกลจากความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ  จนปัญญาสุดๆไม่รู้จะหันหน้าไปทางไหน 

มีอยู่วันหนึ่งเขาเดินผ่านแผงขายหนังสือพิมพ์ข้างทาง ด้วยอารมณ์ที่เซ็งสุดกู่อยู่แล้ว  ก็เลยซื้อหนังสือพิมพ์ติดมือมาฉบับหนึ่ง เปิดอ่านอย่างไม่ได้ตั้งใจ อ่านๆไป ตาสว่างขึ้นมาในทันใด  มีข้อความหนึ่งบนหนังสือพิมพ์โดนใจแบบจุดประกายให้เขาสว่างไสวขึ้นมาอย่างทันตาเห็น  หลังจากนั้น  เขากลับมาเริ่มต้นอาชีพเดิมใหม่อีกครั้งด้วยเงินหนึ่งหมื่นเหรียญเท่าที่เขามีอยู่ในตอนนั้น

การกลับมาครั้งนี้  ธุรกิจของเขาเหมือนมีเวทย์มนต์  เริ่มจากรับตกแต่งร้านขายโชห่วยเล็กๆ  ค่อยๆเดินใหม่ทีละก้าว จนสามารถลุยไปรับสร้างโรงงานปูนซีเมนต์  เริ่มจากการรับงานเหมาเล็กๆน้อยๆจากคนอื่นมาอีกทอดหนึ่ง  จนสุดท้ายสามารถรับงานใหญ่ด้วยตัวเองอย่างเต็มรูปแบบ  มีแต่ความราบรื่นมาตลอดทาง  คนที่ร่วมค้าร่วมทุนหรือร่วมมือกับเขา  ล้วนมีแต่ความสบายอกสบายใจและปนความแปลกใจในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเขา  ภายในเวลาไม่กี่ปี  ทรัพย์สินของเขาเพิ่มจำนวนเป็นมูลค่าถึงร้อยล้านเหรียญ  กลายเป็นเรื่องเล่าแสนมหัศจรรย์ในวงการก่อสร้าง

นักข่าวมากมายขอสัมภาษณ์เคล็ดลับในการกลับมาผงาดอย่างสง่าผ่าเผยของเขา  เขาแค่พูดประโยคสั้นๆเพียงสี่พยางค์ว่า  "รับแค่หกส่วน"  เมื่อกาลเวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า  ทรัพย์สินของเขาก็เพิ่มเป็นหมื่นล้านเหรียญในที่สุด

มีอยู่ครั้งหนึ่ง  เขารับเชิญไปเป็นองค์ปาฐกที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง  คำถามจากนักศึกษาล้วนถามเกี่ยวกับเคล็ดลับอะไรที่ทำให้เขาสามารถแปลงเงินหมื่นเหรียญเป็นหมื่นล้านเหรียญ  เขายิ้มก่อนตอบว่า  "เพราะผมมักยืนกรานเสมอว่า  ขอรับน้อยลงสักสองส่วนสิบ"  สร้างความงุนงงให้กับเหล่านักศึกษายิ่งขึ้น 

เขามองหน้านักศึกษาทุกคนที่มีสายตาเต็มไปด้วยความอยากรู้แห่งความสำเร็จของเขา  ในที่สุด  เขาจึงเริ่มต้นเล่าชีวิตจากช่วงที่เขาตกอับที่สุด  เขาบอกว่าเขาเจอหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งโดยบังเอิญ  มีบทสัมภาษณ์นายลีเจอะไค่  ซึ่งเป็นลูกชายของนายลีกาชิง  มหาเศรษฐีชาวฮ่องกง  นั่นคือบทความที่จุดประกายให้มุมมองของเขาเปลี่ยนไป

คนสัมภาษณ์ถามนายลีเจอะไค่ว่า  "คุณพ่อของคุณสอนเคล็ดลับอะไรให้คุณในการทำการค้า"

นายลีตอบว่า  "ท่านไม่ได้สอนเคล็ดลับอะไรเกี่ยวกับเรื่องการค้าหรือการหาเงิน  แต่ท่านเน้นสอนวิธีการวางตัวที่เหมาะสมให้ผม"

นายลีพูดต่อว่า  "คุณพ่อย้ำเตือนผมอยู่เสมอ  ลูกจะร่วมมือทำการค้าอะไรกับใครก็ได้  หากลูกได้รับส่วนแบ่งของกำไรมา  เจ็ดส่วนสิบอาจจะดูสมเหตุสมผล  แปดส่วนก็พอได้  แต่ตระกูลลีของเรา  "รับแค่หกส่วน"  ก็เพียงพอแล้ว"

เมื่อพูดมาถึงตอนนี้  เขาซึ่งยืนอยู่บนเวทีพูดอย่างเน้นย้ำว่า  "บทสัมภาษณ์บทนี้  ผมบรรจงอ่านไม่ต่ำกว่าร้อยเที่ยว  และในที่สุด  ผมก็คิดว่าผมสามารถเข้าใจถึงแก่นแท้ของมัน  จุดสูงสุดของการวางตัวก็คือ  "ความใจกว้าง"  เพราะฉะนั้น  "ความหลักแหลม"ที่สุดของมนุษย์ก็คือ "ความใจกว้าง"

ลองคิดสักนิดจะตระหนักว่า  นายลีกาชิงมักจะยินดีให้คนอื่นได้มากกว่าอีกสองส่วน  มันจึงเป็นสาเหตุที่ว่า  ใครๆก็อยากร่วมมือร่วมทุนกับนายลีกาชิง  เพราะมีแต่ได้กับได้

แม้นายลีกาชิงมักจะยินดีที่จะรับแค่หกส่วนแทนที่จะรับแปดส่วน โอกาสการทำธุรกิจจึงเพิ่มขึ้นมากมาย  ใครมีโปรเจ็คหรือโอกาสก็มักจะมาหาเขาก่อน  ลองคิดดูว่าถ้าเขารับเต็มจำนวนทั้งแปดส่วน  โอกาสร้อยครั้งอาจจะลดลงมาเหลือไม่กี่ครั้ง  สรุปแล้ว  ส่วนไหนจะได้เงินมากกว่า  นั่นคือเคล็ดลับของความสำเร็จ"

"ผมประสบความล้มเหลวในช่วงแรกของชีวิต  ล้วนมาจากการคิดเล็กคิดน้อยไม่ยอมให้มีอะไรเล็ดลอดหรือเสียเปรียบใคร  ตรงกันข้าม  กลับพยายามเค้นหาผลประโยชน์จากคู่ค้าให้มากเข้าไว้  เพราะคิดว่ากำไรยิ่งสูง  ก็ย่อมหมายถึงความสำเร็จที่หอมหวาน  ในที่สุด  อาจดูดีเหมือนมีกำไรดีในวันนี้  แต่กลับพ่ายแพ้เสียอนาคตและโอกาสไปหมด"

ก่อนจบการปราศัย  เขาได้หยิบเอาหนังสือพิมพ์เก่าๆออกมาจากกระเป๋าเอกสาร  นั่นก็คือบทความที่เขาเอ่ยถึง  หลายๆปีนี้  เขานำมันติดตัวเสมอ  เพียงเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจเตือนสติตัวเขาเอง  บนช่องว่างของหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น  เขาใช้พู่กันจีนเขียนตัวหนังสือเล็กๆอย่างบรรจงว่า..... 
"เจ็ดส่วนสิบอาจจะดูสมเหตุสมผล  แปดส่วนก็คงได้  แต่ผมขอแค่หกส่วนสิบก็เพียงพอแล้ว"

นักธุรกิจในวงการอสังหาริมทรัพย์ผู้นี้  นามว่านายหลิน เจิ่น เจีย  เป็นประธานบริษัท ฉวนเซิ่น พัฒนาอสังริมทรัพย์ จำกัด แห่งกรุงไทเป  ปัจจุบันเขาเป็นเศรษฐีระดับต้นๆของใต้หวัน เขาบอกว่า  ที่เล่ามาทั้งหมดนั้น  ก็คือจุดเริ่มต้นของที่มาของทรัพย์สินหมื่นล้านเหรียญของเขาในวันนี้
 
         ***********

การมุ่งหาผลประโยชน์สูงสุด
เป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆเขาก็ทำกัน
แต่หากรู้จักแบ่งปันผลประโยชน์ให้ผู้อื่น
เขาผู้นั้นคือคนเหนือคน

คนใจกว้างที่ซื่อสัตย์ 
หนทางชีวิตเขาจะทั้งกว้างทั้งยาวไกลกว่าเสมอ

ที่มา "ขจรศักดิ์"

1 ความคิดเห็น:

แค่หกส่วนก็พอ

ที่กรุงไทเปมีผู้รับเหมาก่อสร้างคนหนึ่ง  เป็นคนหนุ่มที่ชาญฉลาดที่รู้กันทั้งวงการ  มีหัวการค้าเป็นเลิศ  ทำงานคล่องแคล่วว่องไว  พร้อมลุยงานหนัก...