วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

อิฐ 2 ก้อน -

ชื่อ:  574617_322998804432930_1964294376_n.jpg
ครั้ง: 1484
ขนาด:  17.6 กิโลไบต์

" ..อย่าให้ความผิดพลาดของ “อิฐที่ไม่ดี” เพียง “2 ก้อน”
ทำให้เราต้องทำลายกำแพงดีๆ จนพัง.."
อาจารย์พรหม หรือพระวิสิทธิสังวรเถร
วัดป่าพิญาณใกล้เมืองเพิร์ธ ออสเตรเลีย

ช่วงก่อตั้งวัดป่าโพธิญาณเมื่อปี 2526 พระอาจารย์พรหมเล่าว่าหลังจากซื้อที่ดินแล้ว
เงินก็แทนไม่เหลือ ต้องสร้างวัดด้วยมือของตัวเอง ตั้งแต่ผสมปูน จนถึงการก่อกำแพงอิฐ
ท่านเล่าว่าตอนที่ลงมือทำก็รู้สึกว่าได้ทำอย่างประณีตที่สุด จนกระทั่งกำแพงอิฐเสร็จสิ้นลง
แต่พอถอยออกมายืนดู ก็พบว่าก่ออิฐพลาดไป 2 ก้อน อิฐกำแพงเรียงเรียบสวย
แต่มีอยู่ 2 ก้อนที่เอียงๆ พระอาจารย์พรหมขอเจ้าอาวาสทุบกำแพงทิ้งเพื่อก่อใหม่
แต่เจ้าอาวาสไม่ยอม

จากนั้นเป็นต้นมาทุกครั้งที่พระอาจารย์พรหมพาแขกเยี่ยมวัด
ท่านจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่พาแขกเดินผ่านกำแพงบริเวณนี้
เพราะอายที่ก่ออิฐผิดพลาดไป 2 ก้อน

จนกระทั่งวันหนึ่ง พระอาจารย์พรหมกำลังเดินกับผู้มาเยี่ยมวัดคนหนึ่ง
เขาเห็นกำแพงอิฐนี้แล้วก็เปรยขึ้นมาว่า “กำแพงนี้สวยดี”
พระอาจารย์พรหมถามด้วยอารมณ์ขันว่า
“คุณลืมแว่นสายตาไว้ในรถหรือเปล่า คุณไม่เห็นหรือว่ามีอิฐ 2 ก้อนที่ก่อผิดพลาด
จนกำแพงดูไม่ดี”

แต่แล้วผู้มาเยี่ยมชมคนนี้ก็เอ่ยประโยคที่ทำให้พระอาจารย์พรหมเปลี่ยนแปลง
ทัศนคติทั้งหมดที่เคยมีต่อกำแพงนี้ พร้อมกับเปลี่ยนแง่มุมที่มีต่อชีวิต

ผู้เยี่ยมชมคนนั้นบอกว่า “ผมเห็นอิฐที่วางไม่ดีสองก้อนนั้น
แต่ผมก็ได้เห็นด้วยว่ามีอิฐอีก 998 ก้อนที่ก่อไว้อย่างสวยงาม”

"นับเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือนที่อาตมาสามารถมองเห็นอิฐก้อนอื่น ๆ บนกำแพงนั้น
นอกเหนือจากเจ้า 2 ก้อนที่เป็นปัญหา ไม่ว่าจะเป็นอิฐที่อยู่ด้านบน ด้านล่าง ด้านซ้าย
และด้านขวาของเจ้าอิฐ 2 ก้อนนั้นล้วนแต่เป็นอิฐที่ก่อไว้อย่างดีไม่มีที่ติ
ยิ่งไปกว่านั้น จำนวนอิฐที่ดีมีมากกว่าเจ้าอิฐไม่ดี 2 ก้อนนั้น”

ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา สายตาของพระอาจารย์พรหมเฝ้ามองแต่อิฐ 2 ก้อนนั้น
ท่านยอมรับว่าสายตาของท่านมืดบอดต่อสิ่งอื่นๆ ท่านอยากทลายกำแพง
เพราะมองเห็นแต่อิฐ 2 ก้อนที่ผิดพลาด แต่ทันทีที่ความรู้สึกเปิดกว้าง
มองเห็นอิฐก้อนดีๆ จำนวนมากบนกำแพงนี้ กำแพงเดิมที่อยากทลายก็กลับงดงามขึ้นมาทันที “ใช่...กำแพงนี้สวยดี” พระอาจารย์พรหมหันไปบอกกับผู้มาเยี่ยมคนนั้น

จนถึงวันนี้ พระอาจารย์พรหมก็นึกไม่ออกแล้วว่าอิฐก้อนที่ผิดพลาด 2 ก้อนนั้น
อยู่ตรงส่วนไหนของกำแพง ทัศนคติในการมองโลกที่เปลี่ยนแปลง
ทำให้ อิฐ 2 ก้อนนั้นเลือนหายจากความทรงจำ

พระอาจารย์พรหมเปรียบเปรยว่าคู่ชีวิตที่ตัดสัมพันธ์หรือหย่าร้างกันก็เพราะ
ทั้งคู่เพ่งมองแต่ “อิฐที่ไม่ดี 2 ก้อน” ในตัวคู่ชีวิตของเขา

คนที่คิดท้อแท้ อยากฆ่าตัวตายก็เพราะเรามองเห็นแต่ “อิฐ 2 ก้อน” ในตัวเราเอง
ทั้งที่ในความเป็นจริง นอกจาก “อิฐ 2 ก้อน” ที่ผิดพลาดแล้ว ยังมี “อิฐก้อนที่ดี”
และ “อิฐก้อนที่ดีจนไม่มีที่ติ” มากมายอยู่ในตัวเรา เพียงแต่เรามองไม่เห็นเท่านั้น

ท่านอาจารย์พรหมเตือนสติว่า
" ..อย่าให้ความผิดพลาดของ “อิฐที่ไม่ดี” เพียง “2 ก้อน”
ทำให้เราต้องทำลายกำแพงดีๆ จนพัง.."

ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=31909
ลืมปิดประตู

มีนายทหารผู้ใหญ่ท่านหนึ่งด้วยค​วามรีบร้อนที่จะไปธุระหลังจากเข​้าห้องน้ำแล้วก็รีบออกมา โดยที่ลืมรูดซิปกางเกง

พอเดินออกมาจากห้องน้ำก็บังเอิญ​เจอกับทหารหญิงที่หน้าประตู ทหารหญิงด้วยความหวังดีจึงกระซิ​บบอก นายทหารผู้ใหญ่ท่านนั้น

ทหารหญิง : " ท่านคะ ลืมปิดประตูค่ะ "

นายทหารผู้ใหญ่ตอบกลับมา " อะไรกันผมปิดเรียบร้อยแล้ว "

พลางชี้ไปที่ ประตูห้องน้ำแล้วรีบเดินออกไปทั​นที ไม่ทันที่ทหารหญิงจะพูดอะไรต่อ

เดินมาได้สักครู่ก็พบกับนายทหาร​อีกคนหนึ่ง นายทหารคนนั้นเห็นว่าท่าน ลืมรูดซิปกางเกง จึงเข้าไปกระซิบบอกท่านว่า

" ท่านครับ ท่านลืมรูดซิปกางเกง ครับ "

ท่านอุทานออกมาเบา ๆ " ตายล่ะ มิน่าเล่าเมื่อกี้นี้เจอกับทหาร​หญิง

เค้าบอกว่าผมไม่ได้ปิดประตูแต่ว​่าผม ไม่เข้าใจ ดีนะนี่ที่คุณบอกผม ขอบใจมาก "

รุ่งขึ้นนายทหารผู้ใหญ่ท่านนั้น​ก็บังเอิญพบกับทหารหญิงคนเมื่อว​านอีกครั้ง

ท่านจึงกระซิบถามทหารหญิงว่า

" เมื่อวานที่ผมลืมปิดประตูน่ะไม่​ทราบว่าคุณเห็นนายร้อยหนุ่ม ๆยืนอยู่ข้างใน บ้างไหม "

ทหารหญิง : " ดิฉันไม่เห็นเลยค่ะท่าน เห็นแต่จ่าแก่ ๆ หัวล้านแดงเถือก ยืนคอตกอยู่คนเดียว

แถมถือถุงทะเลเหี่ยว ๆ 2 ใบด้วยค่ะ "




ขนมปัง หรือ ไก่ทอด

หลังจากเฝ้าดูยอดขายที่ตกต่ำลงมา 3 เดือนของไก่ทอดเคนตั๊กกี้

ผู้พันแซนเดอร์ส(คนคิดสูตร KFC)ได้โทรศัพท์หาพระสันตปาปาเพื่อขอความช่วยเหลือ

พระสันตปาปากล่าว

"พ่อจะช่วยอะไรลูกได้บ้าง"

ผู้พันตอบ"

ผมอยากให้คุณพ่อช่วยเปลี่ยนบทสวดประจำวันจาก"ขอบคุณพระเจ้าที่ประทานขนมปังให้แก่เรา " เป็น

"ขอบคุณพระเจ้าที่ประทานไก่ทอดให้แก่เรา ถ้าหากคุณพ่อทำได้นะ ผมจะบริจาคให้วาติกัน 10 ล้านดอลลาร์"

พระสันตปาปาตอบ

"พ่อเสียใจนะลูกนั่นเป็นบทสวดของพระผู้เป็นเจ้า พ่อเปลี่ยนแปลงไม่ได้หรอก"

หลังจากนั้นอีกเดือนหนึ่ง ยอดขายยังคง ตกต่ำลงกว่าเก่าอีก ผู้พันเริ่มเครียดจึงโทรหาพระสันตปาปาอีกครั้ง

"ฟังนะครับคุณพ่อ ผมต้องการความช่วยเหลือของท่านมาก ผมจะบริจาค 50 ล้านดอลลาร์ถ้าท่านเปลี่ยน

คาถาในบทสวดจาก "ขนมปัง" เป็น "ไก่ทอดเท่านั้นเอง"

พระสันตปาปาตอบกลับมาว่า

"ลูกเริ่มทำให้พ่อลังเลแล้วนะ ผู้พันแซนเดอร์ส โบสถ์สามารถใช้เงินที่ลูกบริจาค ทำประโยชน์แก่สาธารณชนได้มากมาย

แต่พ่อคงต้องขอยืนกราน นั่นเป็นบทสวดของพระผู้เป็นเจ้า พ่อคงเปลี่ยนแปลงไม่ได้"

ผู้พันแซนเดอร์สต้องผิดหวังกลับไปอีกครั้ง แต่เมื่อสองเดือนผ่านไปพร้อมกับยอดขายที่ย่ำแย่ถึงขีดสุด

"คุณพ่อครับ นี่เป็นคำขอร้องครั้งสุดท้าย ถ้าพ่อเปลี่ยนคำในบทสวดจาก"ขนมปัง" เป็น "ไก่ทอด"

ผมจะบริจาคให้สำนักวาติกัน 100 ล้านดอลลาร์

พระสันตปาปาตอบ

"ขอเวลาพ่อคิดก่อนนะ แล้วพ่อจะติดต่อกลับไป"

วันต่อมา พระสันตปาปาเรียก ประชุมบิชอปทั้งหมดในคณะและเริ่มแถลงว่า

"พ่อมีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายนะ ข่าวดีคือ KFC กำลังจะบริจาคเงินให้สำนักวาติกันของเรา 100 ล้านดอลลาร์"

เหล่าบิชอปต่างพากันปลาบปลื้มกับข่าวดีนี้ บิชอปท่านหนึ่งจึงถามถึงข่าวร้ายบ้าง

พระสันตปาปาตอบ

"ข่าวร้ายก็คือ เราคงต้องยกเลิกสัญญากับบริษัทขนมปังฟาร์มเฮาส์แล้วน่ะ"
 


           ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=31851

วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Mark Douglas ทัศนคติแห่งการเก็งกำไร


Mark Douglas เซียนหุ้นที่เป็นที่ยอมรับกันว่า เขามีความชำนาญ และแนวคิดที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับแง่มุมทางด้านจิตวิทยาการลงทุนเป็นอย่างสูง ในระดับต้นๆของโลก โดยเขาได้เคยเขียนหนังสือหุ้นไว้สองเล่มที่โด่งดังมาก และถือเป็น Must Read! เลยทีเดียวนั่นก็คือ The Discipline Trader และ Trading in The Zone

Douglas เริ่มต้นการเก็งกำไรในตลาด Future ในปี 1978 โดยขณะนั้น เขาทำงานเป็นผู้บริหารของบริษัทแห่งหนึ่ง จนเมื่อมีโบรกเกอร์โทรมาชักชวนให้เขาลงทุน เขาจึงเริ่มเข้าสู่เส้นทางการเก็งกำไรในทองคำ และหลังจากนั้นมา เขาก็หลงใหลในการเก็งกำไรเป็นอย่างมาก เขาตัดสินใจลาออกจากงานผู้บริหาร และสมัครเข้าทำงานใน Merrill Lynch ด้วยการเป็นโบรกเกอร์แทน!!!!

ภายใน 9 เดือน Douglas ก็หมดตัว!!! เขาสูญเสียเงินสะสมทั้งหมดที่มีไปกับการเก็งกำไร แต่นั่นกลับกลายเป็นพลังให้เขาลุกขึ้นต่อสู้ และก้าวเดินต่อไปในเส้นทางที่เขาเลือก เพราะอย่างน้อยเขาได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากการสูญเสียที่เกิดขึ้น ซึ่งก็คือ เขาเรียนรู้ว่าแท้จริงแล้วการเก็งกำไรนั้น มันคือการต่อสู้กับจิตใจของเราเอง โดยมุมมอง และทัศนคติของเขานั้น มีส่วนสำคัญมากกว่าสิ่งอื่นใดในการเก็งกำไร และนั่นทำให้เขาเชื่อว่าสิ่งที่เขาคิด คือสิ่งที่สำคัญมาก และนั่นทำให้หลังจากนั้น เขาเริ่มเขียนบันทึกประจำวันอย่างละเอียด

"ผมได้เขียนถึงพฤติกรรมการเก็งกำไรของผม สภาวะจิตใจของผม และสภาวะจิตใจที่เกิดขึ้นกับของลูกค้าของผม โดยผมได้เขียนบันทึกเกี่ยวกับรูปแบบพฤติกรรมที่ผมสังเกตเห็น ไม่เพียงแต่เฉพาะจากตัวของผม แต่รวมถึงทุกๆคนที่อยู่ในออฟฟิส และจากนักเก็งกำไรในห้องค้า (Floor Trader) ซึ่งผมรู้จักอีกด้วยครับ"

หลังจากเขาเทรดมาได้ 3 ปี เขายังไม่สามารถที่จะทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ จนทั้งครอบครัว และเพื่อนฝูงของเขาต่างคิดว่าเขาบ้าที่ตัดสินใจออกมาจากงานบริหารที่ทำอยู่ แทบจะไม่มีใครที่ยอมรับเขาเลย และเขารู้สึกได้ถึงความกลัวที่ยังซ่อนอยู่ในใจ แต่นั่นก็ไม่ทำให้เขาหันหลังกลับ เขาใช้ความพยายามอย่างหนักที่จะทำตามความฝัน ในที่สุดจุดเปลี่ยนในชีวิตของเขาก็มาถึง

"เมื่อผมคิดได้ว่าผมจะต้องทำได้!! (ซึ่งผมจำไม่ได้ว่ามันใช้เวลานานแค่ไหน) และหลังจากที่ผมรู้สึกได้อย่างนั้น ความกลัวของผมก็หายไป ผมตระหนักถึงคุณค่าในตัวของผมมากกว่าที่เคยเป็น ผมรู้สึกว่าผมยังสามารถคิดได้ ผมยังสุขภาพดีอยู่ ผมมีพรสวรรค์ และเมื่อผมตระหนักถึงคุณค่าในตัวของผมได้ ความกลัวทุกอย่างก็หายไปในทันที ผมเห็นรูปแบบพฤติกรรมที่คอยปิดกั้นความสำเร็จของตัวผม และของนักเก็งกำไรคนอื่นๆ ซึ่งเป็นรูปแบบที่จะขัดขวางเราจากความสำเร็จ และมันทำให้ผมเห็นในสิ่งที่นักเก็งกำไรจำเป็นต้องทำเพื่อความสำเร็จของพวกเขา หลังจากนั้นในช่วงหน้าร้อนปี 1982 ผมจึงเริ่มต้นเขียนหนังสือ The Discipline Trader และก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนของผมขึ้นครับ"

Douglas อธิบายรูปแบบพฤติกรรมที่คอยขัดขวางนักเก็งกำไรจากความสำเร็จ ว่าความผิดพลาดต่างๆ เช่นการที่คุณมักจะเข้าซื้อเร็วเกินไป ก่อนที่ตลาดจะมีสัญญาณเกิดขึ้น หรือไม่ก็ช้าเกินไป หลังจากที่ตลาดเกิดสัญญาณขึ้นนานแล้ว หรือแม้กระทั่งการขาดทุนมากขึ้นกว่าเดิม จากการที่คุณเลื่อนจุดตัดขาดทุนของคุณออกไป ความผิดพลาดนี้มันเกิดมาจากความกลัวหลักๆ 4 ชนิด ที่นักเก็งกำไรชั้นยอดนั้นจะคอยจัดการกับมันอยู่เสมอ

ความกลัว 4 ชนิด นั่นก็คือ ความกลัวที่จะผิดพลาด ความกลัวที่จะขาดทุน ความกลัวที่จะพลาดโอกาสไป และสุดท้ายคือความกลัวที่จะปล่อยให้กำไรหลุดลอยไป ซึ่งเขาพบว่า ความกลัวทั้ง 4 ชนิดนี้คือตัวการหลักๆที่ทำให้เราทำในสิ่งที่ผิดในการเก็งกำไรมากกว่า 90% ซึ่งความกลัวดังกล่าวมันถูกบ่มเพาะมาจากวัฒนธรรมและสังคมของพวกเราเอง มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ใครสักคนจะเติบโตมาโดยไม่เคยเรียนรู้ที่จะต้องกลัวบางสิ่ง

สำหรับนักเก็งกำไรนั้น พวกเราตกอยู่ในสถานการณ์ที่อาจขาดทุนได้ตลอดเวลา แต่พวกเราไม่ต้องการที่จะยอมรับมัน เพราะหากเรายอมรับมัน มันจะทำให้เรารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่เราต้องสูญเสียบางสิ่งไป พวกเขาจึงพยายามหนีความจริง และจากการที่เราพยายามหนีมัน นั่นทำให้ทุกๆอย่างยิ่งแย่ขึ้นไปอีก

Douglas แนะนำว่า คุณต้องเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงความเชื่อของคุณ โดยการเปลี่ยนมุมมองและให้ความหมายกับคำว่าขาดทุนเสียใหม่ว่าการขาดทุนจริงๆแล้วมันหมายความว่าอะไร สิ่งที่สำคัญก็คือ คุณจะต้องเปลี่ยนแปลงความเชื่อของคุณหลายๆอย่างที่เป็นตัวการทำให้คุณตีความหรือแปลความหมายกับสิ่งที่เกิดขึ้นจากตลาดในทางลบหรือด้วยความรู้สึกเจ็บปวด คุณจะต้องสร้างความเชื่อและทัศนคติชุดใหม่ขึ้นมา ที่จะทำให้คุณสามารถตีความหรือแปลความหมายกับสิ่งที่เกิดขึ้นจากตลาดได้อย่างไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือไร้ความกังวลต่างๆ รวมถึงความเชื่อชุดใหม่ที่จะทำให้คุณสามารถทำสิ่งต่างๆได้อย่างเต็มความสามารถของคุณ

สิ่งที่แยกนักเก็งกำไรหรือนักลงทุนชั้นยอดออกจากคนทั่วๆไป นั่นคือนักเก็งกำรชั้นยอดนั้นเข้าใจเป็นอย่างดีว่า การลงทุนซื้อ-ขาย แต่ละครั้งนั้น ผลลัพธ์ของมันไม่มีความเกี่ยวเนื่องกับการซื้อขายครั้งที่ผ่านๆมาเลย ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาสามารถทำสิ่งต่างๆได้อย่างเหมาะสม มันก็เหมือนการโยนเหรียญหัวก้อย ผลของการโยนเหรียญครั้งนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับครั้งที่แล้วหรือครั้งไหนๆ

สิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่มักไม่ได้ให้ความสนใจ เมื่อพวกเขาเริ่มต้นเข้ามาเก็งกำไรหรือลงทุนนั่นก็คือ พวกเขาไม่ได้คิดว่ามันมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของจิตใจมาก จริงๆแล้วตลาดนั้นไม่สามารถที่จะบังคับหรือไม่มีผลต่อคุณในการกำหนดมุมมองการรับรู้ หรือแปลความหมายของสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดของตัวคุณเองเลย แต่มันเกิดขึ้นมาจากกลไกทางจิตวิทยาในตัวคุณซึ่งจะคอยควบคุมการรับรู้และแปลผลของสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในตัวของคุณเอง และในฐานะที่คุณเป็นนักเก็งกำไรหรือนักลงทุน ถ้าหากว่าคุณต้องการที่จะทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอแล้วล่ะก็ สิ่งที่คุณจะต้องทำเพื่อให้เกิดกำไรที่สม่ำเสมอขึ้นมาก็คือ การควบคุมกระบวนการในการรับรู้ และแปลความหมายของสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ในทางที่คุณจะสามารถทำสิ่งต่างๆได้อย่างเหมาะสม และไร้ความวิตกกังวลนั่นเอง

ซึ่งสิ่งที่เป็นตัวการสำคัญอย่างหนึ่งก็คือ “ความกลัว” นั่นเอง เนื่องจากจิตใจของเรานั้นถูกออกแบบมาให้หลักเลี่ยงจากความเจ็บปวด จากกลไกทางจิตวิทยาที่อยู่ทั้งใต้จิตสำนึกของเราและจิตสำนักของเราเอง และนี่คือตัวการใหญ่ตัวหนึ่งที่พวกเรามักจะมองข้ามมันไป ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าความกลัวนั้น นอกจากจะทำให้จิตใจของเราอ่อนแอลงไป แต่มันทำให้มุมมองหรือวิสัยทัศน์ของเราย่ำแย่ลงไปด้วย ความกลัวนั้นจะทำให้มุมมองของเราแคบลงไปเพราะเรามัวแต่เพ่งอยู่กับสิ่งที่เรากลัว ซึ่งจะมีผลต่อการรับรู้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่เข้ามาในทุกๆช่วงขณะเวลานั่นเอง

ยิ่งในเรื่องของการเก็งกำไรหรือการลงทุนแล้ว มันยิ่งเป็นเรื่องที่อยู่ภายในจิตใจของเราเองขึ้นอีก เนื่องจากจริงๆแล้วตลาดนั้นไม่ได้สร้างข้อมูลที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดขึ้นมาด้วยตัวของมันเองเลย สิ่งที่มันสร้างขึ้นมาคือข้อมูลดิบ ซึ่งสามารถทำให้เรารับรู้มันในแนวทางที่เจ็บปวดขึ้นมาหรือในแนวทางที่พึงพอใจขึ้นมาควบคู่กันไปอยู่ตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่น สมมุติว่าคุณได้เข้าไปซื้อหุ้นไว้ แต่ภาพของตลาดโดยรวมนั้นกลับกลายเป็นขาลง และโชคร้ายเหลือเกินที่การเด้งขึ้นมาในแต่ละครั้งมันทำให้ผมตัดสินใจถือมันต่อไป เพราะช่วงที่ตลาดเด้งสวนขึ้นมานั้น จะทำให้เกิดความหวังขึ้นมานั่นเอง และจุดนี้เองที่ความกลัวของคุณจะเข้ามามีผลทำให้คุณจดจ่อความสนใจไปที่การเด้งขึ้นมาของตลาดเพียงอย่างเดียว เนื่องจากคุณได้ให้ความสำคัญกับการเด้งขึ้นมาของตลาดมากกว่าอย่างอื่น และทำให้คุณจะพยายามทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อจะบอกกับตัวเองว่าคุณจะไม่เป็นอะไร คุณจะพยายามหาเบาะแสเพื่อให้คุณสบายใจว่ามันจะเด้งขึ้นมาอีก และถึงแม้ว่าตลาดยังจะเคลื่อนที่เป็นขาลงต่อไป คุณก็จะไม่อยากรับรู้มัน คุณจะพยายามมองและรับรู้ว่าการเด้งขึ้นมาในแต่ละครั้งของตลาดเป็นจุดกลับตัวขึ้นของมัน แต่มันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น คุณจะเริ่มยอมรับความจริงเมื่อราคามันตกไปจนแทบไม่เหลืออะไรแล้ว.....

ตลาดหุ้นมันไม่ใช่อะไรอื่น มันเป็นเพียงสิ่งสะท้อนอารมณ์ความโลภและความกลัวของนักลงทุน ซึ่งส่งผลต่อระดับราคา มันไม่มีเหตุผลและไม่ใช่ตรรกะ ในตลาดหุ้น 1+1 อาจไม่ได้เท่ากับ 2 ดังนั้น เลิกหาเหตุผลให้มัน แต่จงเข้าใจในสิ่งที่มันเป็น และเมื่อตลาดคือสิ่งที่สะท้อนอารมณ์และจิตใจของมนุษย์ เมื่อคุณอยากเข้าใจมัน ชนะมัน และทำเงินจากมัน คุณก็ต้องเข้าใจอารมณ์และจิตใจของมนุษย์ ซึ่งมันก็คือการเข้าใจจิตใจของตัวเอง ดังนั้นจงพัฒนาการรับรู้ บริหารจิตใจและอารมณ์ของตัวคุณให้ดี แล้วคุณจะพบว่าเคล็ดลับความสำเร็จในการลงทุนไม่ได้อยู่ที่ไหน มันอยู่แค่....ภายในใจของคุณเองนี่แหละ

ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=31836
ข้อความสั้นๆจาก Anthony Bolton


ผมไม่เคยมีเป้าหมายสำหรับหุ้นแต่ละตัวที่ผมถืออยู่ ผมคิดว่าถ้าเรามีราคาเป้าหมายอยู่ในใจ ซื้อเท่านี้ จะขายที่ราคานี้เหมือนกับว่าคุณสามารถคาดการณ์อนาคตได้ซึ่งในความเป็นจริงมันแทบจะเป็นไปไม่ได้

ในระยะสั้น ราคาหุ้นมักจะอยู่ในระดับที่สมดุลกัน มันเป็นสมดุลที่เปราะบางมากๆ สถานการณ์หรือข่าวที่เปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อย จะทำให้สมดุลราคาหุ้นเปลี่ยนแปลงไปตาม

ในระยะยาว ราคาหุ้นส่วนใหญ่จะเคลื่อนไหวไปตามความสามารถในการทำกำไรของบริษัท ถ้าบริษัทยังคงดีและทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ก็ไม่สามารถมีอะไรมาขวางราคาหุ้นได้ ด้วยเหตุนี้การคาดการณ์ผลกำไรจึงเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่นักลงทุนมืออาชีพ นักวิเคราะห์หรือผู้จัดการกองทุนสมควรที่จะทำ แต่ผมคิดว่าการประเมิณคุณภาพของธุรกิจและความได้เปรียบเชิงแข่งขันมีความสำคัญมากกว่า


****************

ผมคิดอยู่เสมอว่า "ตลาดกระทิง" เป็นจุดเริ่มต้นของ "ตลาดหมี" ที่ยาวนาน และมันก็กลับกันด้วย ถ้าเราเอากระดาษมา 1 แผ่น "ตลาดหมี" ก็เปรียบเหมือน รอยขาดของกระดาษ นักลงทุนเห็นกระดาษขาดก็เกิดความตกใจ แต่โชคดีมันมีข่าวดี ก็เปรียบเสมือนเราเอาอะไรซักอย่างไป"ปะ" มันเอาไว้ มันจึงเป็นจุดเริ่มต้นของตลาดกระทิง ปัญหามันก็ยังคงอยู่และดำเนินต่อไป มันยังคงมีรอยขาด เพียงแต่นักลงทุนมองไม่เห็นมันก็เท่านั้นเอง จะว่าไปมันก็เหมือนกับรูปคนที่คุณพอมองแบบหนึ่ง มันจะเป็นรูปคนยิ้ม แต่พอมองอีกแบบหนึ่งมันก็จะเป็นรูปคนหน้าบูดบึ้ง สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคือ วิธีที่คุณมองรูป หาใช่ตัวรูปที่เปลี่ยนไป

*****************

หลายๆครั้ง ตลาดกระทิง จะดำเนินไปยาวนานกว่าที่คนคาดกันเอาไว้ และหลังจากกระทิงอันร้อนแรง ตลาดหมีก็จะเริ่มจดๆจ้องๆที่จะมาออกมา ก่อนเกิดขึ้นจริง

อย่าลืมว่าแนวโน้มระยะยาวของตลาดคือ การขึ้น ดังนั้นการที่เรามองโลกไปในทางบวกจึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ถ้าคุณพลาดวันดีๆเพียงไม่กี่วันในตลาดกระทิง ผลตอบแทนของคุณจะถดถอยลงอย่างมากทีเดียว


*****************
นักลงทุนผู้ประสบความสำเร็จ จะเพิกเฉยต่อข้าวร้ายที่เกิดขึ้นในตลาด
          ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=31824

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ชื่อ:  images.jpeg
ครั้ง: 1317
ขนาด:  6.1 กิโลไบต์


ขอขอบคุณ ทุกท่าน ผมเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมแสดงความยินดีกับ ชั้นเรียน 2012


มีคนมากมายมาร่วมยินดีกับพวกคุณ ขอเสียงปรบมือให้กับทุกท่าน โดยเฉพาะคุณแม่ ไม่มีของขวัญวันแม่ชิ้นใดมีค่าเหมือนการได้เห็นลูกๆของคุณเรียนจบในวันนี้

ผมนึกถึงลูกๆของผมเองทุกครั้งที่มางานแบบนี้ เพราะ ผมคงดีใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว แต่พวกคุณกลับไม่ร้องเลย

ผมต้องขอบอกว่า จริงๆแล้วผมจบมาจากอีกมหาลัยหนึ่งซึ่งเป็นคู่แข่งกับมหาลัยนี้ แต่ผมก็ยินดีเป็นอย่างมากที่ได้มาแสดงความยินดีกับพวกคุณในวันนี้ และมันเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายเลยเพราะปีก่อนๆคุณมีบุคคลสำคัญมากมายมาร่วมแสดงความยินดี



ทุกคนที่มาล้วนเป็นคนเก่งและมีความสามารถ มีบทบาทสำคัญกับประเทศนี้


ตอนที่ผมเรียนจบ มันคล้ายๆกับตอนนี้มาก ตอนนั้นเมื่อ 1983 มันเป็นปีแรกที่มหาลัยของผมรับผู้หญิงเข้ามาเรียน และ ทุกคนฟังเพลง Michael Jackson และ เต้น Moonwalk



เรายังใช้ Walkman ไม่ใช่ iPods ถนนหลายๆเส้นยังคงอันตราย และ Time Square ก็ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวเหมือนปัจจุบัน มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตที่ แต่มันมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกันอยู่ ในตอนนั้นเราเรียนจบและต้องออกไปเจอกับสภาพเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว มันเป็นเวลาของการเปลี่ยนแปลง เป็นเวลาของความไม่แน่นอน


ทั้งๆที่พวกคุณเพิ่งจะเริ่มเรียนปีแรก จะมีคนกว่า 5 ล้านคนที่จะตกงาน ตั้งแต่นั้น คุณจะเห็นพ่อแม่ของคุณทำงานอย่างหนัก เพื่อนที่หางานทำไม่ได้ พวกคุณจะจบออกไปเหมือนกันตอนที่ผมเรียนจบ


สำหรับผู้หญิงแล้ว พวกคุณจะต้องเจอกับปัญหาที่วุ่นวายกว่า คุณจะได้เงินเดือนคุ้มค่างานหรือไม่ ?? คุณจะให้เวลากับครอบครัวได้มากแค่ไหน ?? คุณจะดูแลตัวเองได้ดีแค่ไหน ??

ทั้งๆที่ผู้หญิงมีบทบาทมากขึ้นในปัจจุบัน แต่สภาพเศรษฐกิจในตอนนี้ทำให้ทุกอย่างเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม


ไม่แปลกที่ความเชื่อมั่นต่อสถาบันจะลดลง เมื่อข่าวดีไม่ได้รับความสนใจมากเท่าข่าวร้าย ทุกวันคุณได้รับสื่อต่างๆที่บอกว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นไปไม่ได้ สื่อต่างๆที่บอกว่าคุณทำไม่ได้


แต่ผมจะบอกกับพวกคุณว่า ไม่ว่ามันจะยากเพียงใด ผมมั่นใจว่าพวกคุณจะทำได้ ผมได้เห็นความสามารถของพวคุณในด้านต่างๆ และ ผมมั่นใจว่าพวกคุณสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้


และนี่คือสิ่งที่พวกเราต้องการให้พวกคุณเป็น เพื่อนสร้างสรรค์สิ่งต่างๆให้เกิดขึ้น


ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่า สถานการณ์มันจะดีขึ้นไหม ??ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าเราจะหาวิธีมาแก้ปัญหาได้หรือไม่ ?? เพราะ เราต่างรู้วิธีอยู่แล้ว

เรารู้ว่า สิ่งต่างๆจะดีขึ้นได้ ถ้าทุกคนได้รับการศึกษาที่เท่าเทียม ถ้าทุกคนได้รับการฝึกฝนให้เหมาะกับงานที่จะได้รับ


เรารู้ว่า สิ่งต่างๆจะดีขึ้น ถ้าเราลงทุนเพิ่มเติมเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ พลังงานใหม่ๆ เพื่อมาทนแทนการนำเข้าและเพื่อช่วยลดมลพิษที่กำลังทำร้ายโลกของพวกเรา


เรารู้ว่า สิ่งต่างๆจะดีขึ้น ถ้าผู้หญิงถูกปฎิบัติเท่าเทียมกับผู้ชายในทุกๆด้าน


เรารู้เราควรจะทำอะไร คำถามก็คือ พวกเราจะทำได้ไหม ?? พวกเราจะทำสิ่งต่างๆเหล่านั้นได้หรือไม่ ?? และผมเชื่อมั่นว่าพวกคุณทำได้


ทุกวันนี้ ไม่เพียงแค่ ประชากรผู้หญิงเป็นครึ่งหนึ่งของประเทศนี้ แต่เป็นครึ่งหนึ่งของกำลังคนงานของประเทศนี้


ผู้หญิงมีบทบาทมากในสังคมปัจจุบันและจะยิ่งมีบทบาทมากขึ้นไปอีก


แต่พวกคุณจะไปได้ไกลแค่ไหน จะประสบความสำเร็จมากแค่ไหน มันขึ้นอยู่กับตัวพวกคุณเองว่า พวกคุณต้องการมันมากแค่ไหน คุณจะต้องไคว่คว้ามัน เพราะ มันจะไม่มาหาคุณ


อย่าเพียงแค่เข้าไปเกี่ยวข้อง หรือ ต่อสู้เพื่อที่นั่งของคุณ แต่ สู้เพื่อจะอยู่เหนือคนเหล่านั้น

มีคนบอกว่าหน้าที่ที่สำคัญที่สุดคือการเป็นประชาชน และ เมื่อ 225 ปีก่อนประชาชนเหล่านี้เองได้ร่างหนังสือขึ้นมา แต่ในหนังสือนั้นไม่มีลายเซ็นของผู้หญิงเลย แต่ผมมั่นใจว่าผู้หญิงเหล่านั้นเองเป็นผู้อยู่เบื่องหลังลายเซ็นของผู้ชายทั้งหลาย

หนังสือเล่มนั้นสร้างสรรค์สิ่งต่างๆให้เกิดขึ้นกับสังคม สร้างความเปลี่ยนแปลง และ เปิดโอกาสให้กับคนทุกคนและมันยังคงส่งผลมาถึงทุกวันนี้



ประชาชนเหล่านั้นทราบดีว่า พวกราจะไม่หยุดยิ่ง พวกเราจะเดินไปข้างหน้า และ จะไขว่คว้าทุกโอกาสที่เข้ามา


คุณต้องทำ ไม่ใช่เพื่อตัวคุณเอง แต่เพื่อคนรอบค้างของคุณ มีผู้หญิงเพียงแค่ 3% เท่านั้นที่เป็นผู้บริหารในบริษัทใหญ่ๆ และ ผู้หญิงมีส่วนเกี่ยวข้องน้อยมากในสภา

ผมไม่ได้บอกว่าคุณจะประสบณ์ความสำเร็จหากได้เป็นผู้บริหารหรือเข้ามามีบทบาทในสภา แต่ผมมั่นใจว่าผู้หญิงจะทำได้ดีกว่า และ มีบทบาทมากกว่าหากผู้หญิงเป็นส่วนหนึ่งของสภา



ก่อนที่ผู้หญิงอย่าง Barbara Mikulski และ Olympia Snowe และคนอื่นจะเข้ามาอยู่ในสภา เราทำการค้นคว้าเรื่องโรคมากมายที่มีความเกี่ยวข้องกับผู้ชายเท่านั้น จนกระทั่ง Patsy Mink และ Edith Green เข้ามาอยู่ในสภาและสร้างความเปลี่ยนแปลง จนทำให้พวกเรายอมรับและเปลี่ยนแปลงสังคม จนกระทั่ง Lilly Ledbetter กล้าที่จะยืนขึ้นและบอกว่ามันไม่ถูกต้อง และ ผู้หญิงควรจะได้สิทธิเท่าเทียมกับผู้ชาย

ดังนั้นแล้วมันขึ้นอยู่กับพวกคุณ พวกคุณคือตัวกำหนดความเปลี่ยนแปลง อย่าหยุดนิ่ง อะไรจะเกิดขึ้นหรือไม่นั้น มันอยู่ที่ตัวพวกคุณเอง



อย่ารอให้คนอื่นแสดงออกเพื่อสิ่งที่ถูกต้องหรือควรจะเป็น แต่จงเป็นคนที่แสดงออกเพื่อสิ่งที่คุณเองคิว่าถูกต้อง


จงดูคนรุ่นก่อนเป็นตัวอย่าง ผู้หญิงจบการศึกษามากกว่าผู้ชาย และ มันเกิดขึ้นเพราะผู้หญิงในสมัยก่อนได้สร้างรากฐานเอาไว้



เพื่อนของผมตอนเรียนมัธยม คุณครูบอกกับเธอว่าเธอไม่เหมาะกับการเป็นเจ้านาย แต่เหมาะกับการเป็นเลขามากกว่า เธอไม่ฟังที่ครูบอกและเข้าเรียนมหาลัย เธอประสบความสำเร็จมากมาย เธอได้เข้าไปทำงานในสภาและตอนนี้เธอก็เป็นเลขาอย่างที่ครูเธอบอกจริงๆ เพียงแต่เธอเป็นเลขาของกรมแรงงาน และ เธอชื่อ Hilda Solis


ปริญญาใบนี้ได้เปิดโอกาสให้คุณมองย้อนกลับไป เพื่อช่วยเหลือคนรุ่นหลัง สนับสนุนให้คนเหล่านั้นได้รับการศึกษา ได้รับโอกาส จงเป็นคนชี้แนะ จงเป็นตัวอย่างให้กับคนอื่น



และ จงอย่าลืมว่า บุคคลจะชี้นำและชี้แนะเด็กๆได้ดีที่สุดก็คือพ่อแม่ ดังนั้น จงเชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อมั่นในความสามารถของคุณ และ ใช้มันให้เกิดประโยชน์ที่สุด

และสุดท้ายนี้ และเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด จงมีความพยายาม ไม่มีสิ่งใดได้มาง่ายๆ ไม่มีใครสำเร็จโดยไม่ล้มเหลว จงเรียนรู้จากความผิดพลาด และ อย่ายอมแพ้ เหมือนที่ผมไม่ยอมแพ้



ถึงแม้บางทีผมต้องทำงานที่ผมไม่ชอบ ถึงแม้ผมต้องย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ ผมยังคงพยายาม ผมเขียนจดหมาย ส่งไปตามชุมชนต่างๆ จนวันหนึ่ง ชุมชนเล็กๆใน Chicago เสนองานให้ผม


มันเป็นชุมชนที่เป็นไปด้วยความรุนแรง และ ปัญหาระหว่างอันธพาล เมื่อผมไปถึง สิ่งแรกที่ผมต้องการทำคือจัดประชุม ปรึกษา และ พูดคุย เพื่อหาทางแก้ไขปัญหานั้น แต่ กลับไม่มีใครมาเลย


ผมรู้สึกผิดหวังมาก และ ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ ผมคิดที่จะเลิก ที่จะยอมแพ้ เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมงานของผม แต่ในระหว่างนั้น ผมมองออกไปเห็นกลุ่มเด็กขว้างปาก้นหินใส่กำแพงตึก เด็กเหล่านั้นไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้ให้ทำ ผมหันไปถามเพื่อนร่วมงานคนนั้นว่า ถ้าคุณเลิก ถ้าคุณยอมแพ้ แล้วใครล่ะ จะช่วยเหลือเด็กเหล่านั้น

ผมและคนอื่นๆตัดสินใจที่จะสู้ต่อ ที่จะลองอีกครั้ง พวกเราให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆแก่ชุมชนนั้น ถึงแม้มันจะไม่มาก แต่ ทีละน้อยเราค่อยๆเปลี่ยนแปลงชุมชนนั้นให้ดีขึ้น ชุมชนนั้นยังคงเต็มไปด้วยกลุ่มอันธพาล แต่ความเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆเหล่านั้น เป็นสิ่งที่นำไปสู่ชัยชนะที่ใหญ่ขึ้นในปัจจุบัน


ความอดทนและพยายามในตอนนั้น ผมต้องยอมรับว่าผมได้มันมาจากคนที่เลี้ยงดูผมมา จากผู้หญิงที่สร้างให้ผมเป็นผมในวันนี้


ผมโตขึ้นมากับคุณแม่ที่ส่งตัวเองเรียนหนังสือจนจบและทำงานหาเงินเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว และผลักดันให้ผมเรียนจนจบเหมือนกัน เมื่อแม่ผมเสียชีวิต ยายของผมก็เข้ามาดูแลผมกับน้องสาวแทน

คุณยายเรียนจบเพียงมัธยม เธอเป็นพนักงานธนาคาร เธอทำงานอย่างยากลำบากจนได้เป็นรองประธานของธนาคารนั้น เพราะ เธอพยายามและไม่ยอมแพ้


จากนั้นผมได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่มาช่วยเหลือผมตอนที่ผมไปทำงานที่บริษัททนายแห่งหนึ่ง เธอช่วยเหลือผมมากมายจนสุดท้ายเราก็มีครอบครัวด้วยกัน เราผ่านอะไรมามากมาย เราต่างมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงาน และ มีหน้าที่รับผิดชอบต่อครอบครัวของเรา

สิ่งที่ทำให้เธอสู้มากับผมได้ถึงวันนี้ก็เพราะ เธอเองก็มาจากครอบครัวที่ไม่ยอมแพ้ จากครอบครัวที่ต่อสู้ด้วยความพยายาม



ดังนั้นจงจำไว้ว่า ไม่ว่าคุณจะเริ่มทำธุรกิจหรือ อะไรก็ตาม จงจำไว้ว่ามันจะเต็มไปด้วยความสำเร็จและความล้มเหลว

ท้ายนี้ขอแสดงความยินดีกับพวกคุณทุกคน

ขอบคุณมากครับ
              ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=31772

วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

คุณลุงคนนี้ ญาติใครครับ แหะๆ

1. รู้มั้ยว่าทำไม คุณลุง ถึงพาเพื่อนแห่กันไปดูหนังทีละ 18 คน...

ก็เพราะโรงเขาประกาศไว้ว่า ต่ำกว่า 18 ห้ามเข้า น่ะสิ(!!)


2. คุณลุงไปร้านขายทีวี ถามคนขายว่า "ไม่ทราบว่าที่นี่มีทีวีสีขายรึเปล่า"

คนขายตอบว่า "มี" คุณลุงเลยบอกว่า "งั้นเอาสีเขียวมาเครื่องนึง" (!!)


3. คุณลุงเข้าไปเดินดูของในร้านจีฉ่อย เห็นกระติกน้ำทำจากโลหะอันหนึ่งวางอยู

่แล้วถามอาอึ้มว่า "อึ้ม ไอ้ที่วอบแวบสีเงินๆ นั่นอะไร"

อึ้มตอบว่า "กระติกน้ำไง" "แล้วมันทำอะไรได้มั่ง"

"ก็ใส่ของร้อนก็ร้อนนาน ใส่ของเย็นก็เย็นนาน"

คุณลุงเห็นว่าน่าสนใจ เลยตกลงซื้อมาอันนึง

วันรุ่งขึ้น คุณลุงก็เอากระติกน้ำที่พิ่งซื้อมาไปที่ทำงาน

ตั้งอวดบนโต๊ะอย่างภาคภูมิ

หัวหน้าคุณลุงเห็นเข้าเลยถามขึ้น "อะไรนั่นน่ะ"

"กระติกน้ำครับ" "แล้วมันมีอะไรพิเศษรึ"

"ก็ใส่ของร้อน ก็เก็บความร้อนได้ หรือใส่ของเย็น ก็เก็บความเย็นได้"

หัวหน้าเลยถามว่า "แล้วใส่อะไรมาล่ะ" คุณลุงยืดก่อนจะตอบว่า

"กาแฟร้อน 2 แก้ว กับไอติม 1 ถ้วยครับ" (!!)


4. ทุกครั้งหลังถ่ายเอกสารเสร็จ คุณลุงจะเอาฉบับก๊อปปี้มาตรวจทานเทียบกับต้นฉบับ

เพื่อเช็คดูว่ามีคำไหนสะกดผิดรึเปล่า (!!)


5. คุณลุงจะยิ้มทุกครั้งที่ฟ้าผ่า เพราะนึกว่ามีคนกำลังถ่ายรูปเขาอยู่ (!!)


6. รู้ป่าวว่า ทำไมคุณลุงถึง กดโทรศัพท์เบอร์ฉุกเฉิน(911)ไม่ได้

ก็เพราะเขาหาเบอร์ 11 (สิบเอ็ด) บนแป้นไม่เจอน่ะสิ (!!)


7.คุณลุงเพิ่งซื้อคอมพิวเตอร์มาใหม่เครื่องหนึ่ง เล่นไปซักพักก็เจอปัญหา

คุณลุงเลยลองกดที่ HELP บนแป้น F1 ผ่านไปพักใหญ่ คุณลุงหงุดหงิดมาก

เลยโทรไปต่อว่าร้านที่เขาซื้อคอมมา "ผมกด F1 ตามที่เครื่องบอก

เวลาที่มีปัญหา แล้วก็รออยู่เป็นชั่วโมง ยังไม่เห็นมีใครมาช่วยเลย"


8. คุณลุงไปหาหมอในสภาพหูบวมแดงน่ากลัว หมอถามว่าไปโดนอะไรมา

คุณลุงตอบว่า "ผมกำลังรีดผ้าอยู่ แล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้น แต่แทนที่จะหยิบโทรศัพท์มาพูด

ผมดันเผลอ เอาเตารีดขึ้นมาแนบหูน่ะสิ"

"โอ้ว เดียร์" หมออุทานเป็นภาษาฝรั่งด้วยความเวทนา

"แล้วหูอีกข้างทำไมถึงแดงเหมือนกันล่ะ" หมอถามต่อ

"ก็ไอ้บ้านั่นเสือ_ โทรกลับมาอีกรอบอ่ะดิหมอ" (!!)


9. หลังจากใช้ความพยายาม ต่อจิ๊กซอว์อยู่นานในที่สุดคุณลุงก็ต่อเสร็จ

เขาเอาไปอวดเพื่อนด้วยความภูมิใจ "เป็นไง เนี่ยฉันใช้เวลาต่อแค่ 5 เดือนเองนะโว้ย"

เพื่อนคุณลุงงงที่เขากล้าอวด " 5 เดือนเหรอ ! แถวบ้านฉันเรียกว่าโคตรนานเลยนะนั่น"

"แกนี่ไม่รู้อะไร" คุณลุงไม่ยอมลดละ "ดูที่กล่องนี่ เห็นมั้ย มันบอกว่า

’สำหรับ 4 - 7 ปี ’แต่ฉันใช้เวลาแค่ 5 เดือนเอง"


 
         ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=31746

วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2555




มีคนถามองค์ทะไลลามะ ว่า
"แปลกใจอะไรในชีวิตที่สุด ? "
ท่านตอบว่า : “ มนุษย์.....เพราะ

เขาสละสุขภาพเพื่อหาเงิน
แล้วก็สละเงิน เพื่อให้สุขภาพฟื้นกลับมา

เขาห่วงอนาคตมากจนไม่มีความสุขกับปัจจุบัน ผลก็คือ
เขาไม่อยู่ทั้งปัจจุบันและอนาคต

เขาอยู่เหมือนจะไม่มีวันตาย
และท้ายสุด เขาก็ตายไปโดยไม่ได้มีชีวิตอยู่จริง ๆ...”
        ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=31627 
...ลูก สิงโต : พ่อเรา เป็น . . . " นักล่า "
ลูกเสือชีต้า : พ่อเรา เป็น . . . " นักวิ่ง "
...ลูกลิง : พ่อเรา เป็น . . . " นักปีนต้นไม้"
...ลูก ไก่ : พ่อเรา เป็น . . . " นักเก็ต "


เก็บเงินได้

แม่ถามลูกชาย “ ถ้าลูกเก็บเงินได้บนถนน ลูกจะเก็บเข้ากระเป๋าตัวเองหรือเปล่าจ๊ะ”?

ลูกชายตอบ “ ผมไม่ทำอย่างนั้นแน่นอนครับแม่ “

แม่พยักหน้าด้วยความพอใจ “ แล้วลูกจะทำอย่างไรล่ะ” ?

ลูกชายตอบ “ ผมก็จะใช้เงินจนหมดเกลี้ยงนะสิครับ




คนขี้ลืม

จาฎุพัจน์ไปหาหมอด้วยท่าทีมีความวิตกกังวล หมอถามว่าเขามีเรื่องสงสัยอะไรหรือ

“ ไม่รู้ว่าผมเป็นอะไร หมู่นี้ผมขี้ลืมขนาดหนัก จำอะไรไม่ได้เลย ผมมานี่จอดรถไว้ที่ไหนก็จำไม่ได้ จำ

ไม่ได้ว่าผมมานี่ทำไมแล้วจะไปไหนต่อไป หมอช่วยผมได้ไหมครับ ช่วยบอกว่าผมจะต้องทำอะไรก่อน”

“เอ้อ คุณจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลล่วงหน้าก่อนละกัน แล้วผมจะบอกว่าคุณจะต้องทำอะไร”

หมอบอกด้วยน้ำเสียงที่ปราณี




สาเหตุของการตาย

ชายคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูสวรรค์เพื่อรอการพิจารณาจากเซ็นต์ปีเตอร์ หลังจากท่านเซ็นต์ได้เช็คประวัติของชายคนนี้แล้วก็กล่าวว่า

ฟังนะ จากประวัติของเจ้า เจ้าไม่เคยทำอะไรดีเลย แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรบาปเหมือนกัน เอาอย่างนี้

ถ้าเจ้าสามารถเล่าเรื่องการกระทำของตนที่คิดว่าดีที่สุดได้ ข้าจะให้เจ้าเข้าสวรรค์

ชายคนนั้นนึกตรองชั่วครู่ก่อนจะเริ่มเล่า ขณะที่ผมขับรถอยู่บนทางหลวงในตอนดึก ผมได้ยินเสียงร้องของผู้หญิงให้ช่วยจากข้างทาง

ในซอยเปลี่ยวๆ ผมสังหรณ์ใจจึงเลี้ยวเข้าไปดู แล้วก็จริงอย่างที่คาด แก็งค์มอเตอร์ไซค์ประมาณ 50 คนได้มั้งครับท่าน

กำลังรุมจะปู้ยี่ปู้ยำสาวน้อยผู้น่าสงสารอยู่ ผมเห็นแล้วทนไม่ได้ครับท่าน ผมจอดรถแล้วรีบลงไปทันที ผมเดินตรงเข้าไปที่หัวหน้ามันเลยล่ะ

โดยไม่พูดไม่จา ผมก็ซัดหน้ามันเปรี้ยง มันก็ล้มลงไปนอนกองกับพื้น เลือดกลบปากเลยทีเดียว ผมหันหลังกลับไปตวาดพวกลูกน้องมันว่า

จำไว้ ถ้าไม่อยากเจ็บตัวอย่างลูกพี่พวกแก ก็ปล่อยผู้หญิงคนนั้นไปแล้วก็รีบๆ ไสๆ หัวไปซะ

ท่านเซ็นต์ปีเตอร์ฟังแล้วรู้สึกประทับใจมาก โอ้ ยอดจริงๆ เรื่องมันเกิดขึ้นนานรึยังล่ะ

อ๋อ ก็ประมาณ ครึ่งชม.ที่แล้วล่ะครับท่าน
        ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=31601&s=f678fb7415f14309eb3cc31b677a8112
      


วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เวลาตลาดหุ้นไทยปิดจะมาเล่น FOREX
ตามรูปนี้ซื้อทิ้งไว้ตัวละ 1 เซนต์
ส่วนพอร์ตหุ้นติดลบไม่ตามตลาดสามร้อยกว่าบาท
ที่ลบแค่นี้คือเราขายตัวที่ถึงกำหนด Cut Loss ไปแล้ว
ก็ขาดทุนเยอะเหมือนกัน  เพราะเรา Cut Loss ตามเส้น 35
ไม่ได้ Cut Loss ตามเปอร์เซนต์ของกำไลขาดทุนจากเงินต้น
ไม่มีใครอยากขาดทุน  ไม่มีใครอยากเสียเงินต้น
แต่คัทไปแล้วก็สบายใจและภูมิใจที่เราเองมีระเบียบวินัย
และมั่นคงกับระบบเทรดที่ยังสร้างกำไลให้เรามากกว่าขาดทุน
ไม่ต้องไปลอกเลียนแบบเซียนที่เราชื่นชอบ  หรืออาจารย์ที่สั่งสอนเรามา
เพราะถ้าเราคอยซื้อ-ขายตามท่านเหล่านั้น เราก็ไม่รู้ว่าท่านจะเข้าซื้อหุ้นตัวใหน 
ที่ราคาเท่าไหร่  จะขายออกตอนใหน  ซึ่งเหมือนยืมจมูกคนอื่นหายใจ
เราจะไม่สามารถเอาตัวรอดจากตลาดหุ้นได้ด้วยตัวเองซะที



    ระบบเทรดง่าย ๆ สไตล์  FREEDOM TRADER
    ไม่ได้เก่งอย่างเซียน  อย่าไปเลี่ยนแบบเซียน
    อย่าใช้  Indicators จนไม่รู้ว่าจะอ่านค่าจากตัวใหน
    ถ้าจะใช้ ต้องศึกษาให้รู้ท่องแท้อย่างเซียนก่อนใช้
    เพราะถ้าไม่รู้จริงแล้วไปใช้อย่างเค้า จะอ่านค่าไม่ได้
    ระบบก็จะมั่ว 
    อยากเก่ง Indicators ควรไปซื้อหนังสือ โต้คลื่นหุ้น รู้ทันเทคนิค
    ของพี่ Wave Riders มาอ่านซะ




สุนทรพจน์ ของ แอรอน ซอคิน นักเขียนบทภาพยนต์ออสการ์..
ชื่อ:  Picture-133.png
ครั้ง: 44
ขนาด:  337.9 กิโลไบต์

แอรอนเป็นนักเขียนบทภาพยนต์ที่ได้รับรางวัลออสาร์ ... ผู้แปลได้สรุปสุทรพจน์ของเขาที่
          สำคัญๆ ที่เขาได้มีโอกาสไปพูดให้กับมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในวันที่ 13 พ.ค ที่ผ่านมา
แอรอนเริ่มด้วยการเล่าเรื่องว่า ........มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องของสามี ภรรยา ที่แต่ง
          งานกันมานานแล้ว  วันหนึ่ง ภรรยาพูดขึ้นมาว่า เป็นเวลากว่า 40 ปีแล้ว ที่สามีไม่ได้บอกรักเธอ

          นับตั้งแต่วันแต่งงาน  สามีของเธอ ตอบกลับมาว่า “ ถ้าผมเลิกรักคุณ หรือ เปลี่ยนใจ ผมจะบอก

          คุณแล้วกัน”.....
เป็นเวลานานพอสมควรที่ผมเคยนั่งในที่ๆพวกคุณนั่ง

นับตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้ ผมอยากจะบอกทุกคนที่มีส่วนร่วมทำให้ผมได้นั่งตรงนั้นว่า

ผมยังไม่เคยเปลี่ยนใจ.....

วันนี้ 13 พฤษภาคม ...เป็นวันที่พวกคุณจะเป็นบัณฑิตใหม่

หลังจากนี้ไป มันจะมีเวลาที่คุณประสบความสำเร็จ จะมีเวลาที่คุณผิดหวัง

และบางครั้งที่ทุกๆอย่างก็อยู่เหนือการควบคุมของคุณ


ในช่วงฤดูร้อนของปี 1983 หลังจากที่เรียนจบ ผมย้ายไปอยู่นิวยอร์ค เพื่อเริ่มต้นการเป็นนัก
          เขียนโดยการทำงานเล็กๆน้อยๆเลี้ยงตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น บาร์เทนเดอร์ ...คนเก็บตั๋ว...คนขับรถ
อย่างไรก็ตาม ผมได้ตัดสินใจพลาดครั้งหนึ่งในชีวิต

โดยการเสียเวลาเกือบสิปปีไปกับการติดโคเคน....ซึ่งในตอนนั้นแค่คิดว่าจะลองดูเท่านั้น

แต่ปัญหาก็คือ ในครั้งแรกที่คุณคิดจะลอง คุณก็จะติดมันไปตลอดกาล

และคุณก็เข้าใกล้ความตายมากขึ้น.... สิ่งที่ผมกลัวคือ ผมจะไม่สามารถเขียนหนังสือได้
          หากปราศจากมัน
แต่เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้ฉลองให้กับ 11 ปีที่เลิกใช้มัน ....ภายใน 11 ปีนั้น

ผมเขียนซีรีย์หนังสามเรื่อง ภาพยนต์สามเรื่อง ละครเวที และได้รางวัล Academy ...

สิ่งที่ผมอยากจะบอกพวกคุณในวันนี้คือ ..... หมั่นพัฒนาเข็มทิศของตัวเอง และเชื่อมั่นกับ
          มัน  พร้อมที่จะเสี่ยง ...กล้าที่จะผิดหวัง และจำไว้ว่า คนแรกที่ชนกำแพงมักจะเป็นคนที่เจ็บ
ในสมัยที่ผมเรียนอยู่ ผมจะแชร์ห้องพักร่วมกัน 5 คน

เพื่อนร่วมห้องของผมคนหนึ่งชื่อ ‘’คริส” ....... เราขาดการติดต่อกันตั้งแต่เรียนจบ ...

ผมไม่ทราบแน่ชัดว่าเขาเสียชีวิตไปแล้วเมื่อไร...แต่ครั้งสุดท้ายที่ผมได้เจอเขาคือ

ตอนที่ผมกำลังอ่านบทความเกี่ยวกับไวรัสชนิดหนึ่งที่แพร่กระจายทั่วประเทศ

ชื่อว่า “Acquired Immune Deficiency Syndrome” หรือเรียกสั้นๆว่า AIDS

ในขณะนั้น ทางการวิจัยได้ขอทุนจากรัฐบาลเป็นจำนวน 35 ล้านดอลลาร์สำหรับการค้น
          คว้า เพื่อการรักษา แต่พวกเขาเห็นว่ามันมากไป ทำให้พวกเขาเหล่านั้นต้องจากไป
ที่ผมพยายามจะบอก ไม่ใช่ว่าหากคริสมีโอกาสอ่านบทความนั้นจะทำให้เขามีชีวิตต่อไป

แต่สิ่งที่ผมเห็นคือ คนเรามักจะคาดหวังในตัวคนอื่นน้อยลง

อย่าลืมว่า เราเป็นสมาชิกคนหนึ่งในโลก หากมีอะไรที่เราสามารถทำได้  เพื่อยกระดับมัน

เราก็ควรที่จะทำ .... ซึ่งบางอย่างก็ทำได้ง่ายมาก จากตัวคุณเอง  เพียงแค่ สุภาพ, เคารพ
          และเมตตา  สำหรับบัณฑิตปี 2012 ทุกคน ผมขอให้คุณเจอสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต
เจอคนบางคนในชีวิต ที่คุณแคร์มากกว่าแคร์ตัวเอง ...

คนบางคนที่ทำให้คุณพูดคำว่า “เรา”

ก่อนคำว่า ฉัน ....

ขอให้คุณเจอคนที่ดี เพื่อนร่วมงานที่ดี....

นักเบสบอลกล่าวว่า .... บางทีเขาไม่ต้องดูว่าลูกที่ตีไป เข้าโฮมรันรึเปล่า

เพียงแต่ว่ามันจะรู้สึกได้เอง.... ดังนั้น ผมขอให้คุณรู้สึกแบบนั้นในช่วงเวลาสำคัญๆของชีวิต

ช่วงเวลาที่คุณตั้งความหวังไว้สูง และไปถึงจุดหมายนั้น ....

ช่วงเวลาที่ทั้งหมดหายไป ... และตอนนั้นคุณต้องกางปีกตัวเองออกมา

ช่วงเวลาที่บางอย่างมันหายไปอย่างรวดเร็ว และคุณต้องพยายามดึงมันกลับมา..

สำหรับพวกคุณในวันนี้ ยินดีกับความสำเร็จของพวกคุณครับ
          ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=31504

วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

กฏแปดข้อของ ไบรอัน เคนนี่

ชื่อ:  images.jpeg
ครั้ง: 2015
ขนาด:  7.4 กิโลไบต์

เป็นเกียรติมากที่ได้มาอยู่กับพวกคุณในวันนี้

ผมมีกฏแปดข้อที่ผมใช้ในการดำเนินชีวิตและอยากจะแชร์ให้พวกคุณในวันนี้


ข้อที่หนึ่ง หากคุณไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่คุณต้องการ อย่างน้อยคุณควรจะรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่คุณไม่ต้องการ

ตอนที่ผมยังเป็นเด็ก ผมมักจะไปทำงานกับพ่อของผม

พ่อโตขึ้นในฟาร์มในไอซ์แลนด์ ด้วยเหตุบางอย่างทำให้พ่อรู้ว่า การทำงานในฟาร์มเป็นสิ่งที่พ่อไม่ต้อง

การ

พ่อจึงไปนิวยอร์ค เพื่อไปเป็นตำรวจ

ผมเห็นอะไรมากมาย คนใส่สูทบนรถไฟ พวกใช้เวลาสามชั่วโมงต่อวันบนรถไฟ และห้าวันต่อ

อาทิตย์ ....

ในตอนนั้นผมก็ยังไม่รู้ว่าผมต้องการจะทำอะไร

รู้แค่ว่านี้เป็นสิ่งที่ผมไม่ต้องการ

ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันเกิดขึ้นตอนไหน

แต่สุดท้ายก็รู้ตัวเองว่าต้องการเป็นผู้สื่อข่าว

และพยายามทำให้มันเกิดขึ้น


ข้อสองคือ ... ทำในสิ่งที่คุณสนใจ

ทำในสิ่งที่คุณรักที่จะทำ และทุ่มเทตัวเองให้กับมัน

บางทีมันไม่ได้สำคัญว่าคุณจะได้เงินเท่าไร หากในแต่ละวันคุณมีความสุขกับมัน


ข้อสามคือ ....ไม่มี “ตรงนั้น”

นี้เป็นประโยคจากนักเขียนคนหนึ่ง ผมว่าเธอพูดถูก

คำว่า “ ตรงนั้น” ในนิยามของการทำงาน ,ความฝัน ,บ้านริมทะเล มันไม่มีอยู่ข้างนอก

ทั้งหมดอยู่ในตัวคุณเอง

ความสุขที่แท้จริง ความพอใจที่แท้จริง อยู่ข้างในคุณเอง

เมื่อคุณยังเด็ก คุณอาจจะคิดว่า ถ้าคุณได้ทำงานที่นั้น ได้คบกับผู้หญิงคนนั้น หรือ ชายคนนั้น

มีบ้านแบบนั้น ...เงินเดือนเท่านั้น หากคุณได้ทั้งหมดนั้น คุณจะมีความสุขในที่สุด

แต่นั้นก็ไม่เสมอไป ...ผมเคยเป็นคนคุมรายการชกมวยรายการหนึ่ง

เราต้องสัมพาษณ์นักมวย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักชกระดับโลก และเป็นผู้ชนะ

นักชกเหล่านี้มักจะเล่าเรื่องเหมือนๆกัน ก็คือ พวกเขาฝึกซ้อมอยู่เสมอ

เพื่อให้ได้ไปอยู่จุดสูงสุด ตลอดเวลาเขาต้องคิดเสมอว่า เขาต้องเป็นแชมป์

แต่มันแตกต่างออกไปเมื่อเขาเป็นแชมป์

จุดหมายที่น้อยคนจะได้สัมผัส ...และเมื่อคนส่วนน้อยเหล่านั้นได้อู่ตรงจุดนั้น

พวกเขาจะเข้าใจว่า มันไม่มีอะไรที่เปลี่ยนไปเลย

อาจจะเงินมากขึ้นเล็กน้อย แต่คุณก็ยังสามารถล้มละลายในตอนสุดท้ายได้เสมอ

คุณมีคนสนใจคุณมากขึ้น.... แต่ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าใครคือเพื่อนแท้จริงของคุณ

บางครั้ง การไปถึงจุดหมาย ไม่ได้สามารถเปลี่ยนในสิ่งที่คุณเป็นได้

ชัยชนะ เป็นแค่ทางเดินชีวิตหนึ่งของคุณ ไม่ใช้ปลายทางของทั้งหมด

ข้อสี่ .... ชีวิตของเราสั้น

ใช้ชีวิตให้เหมือนกับคุณจะตายในวันพรุ่งนี้ ... เรียนรู้ให้เหมือนกับคุณะมีชีวิตอยู่ตลอดไป

ข้อห้า ....กระตือรือร้น และ ปรารถนาอยู่เสมอ

ข้อหก ...และนี้คือสิ่งที่ผมชอบมาก “ ท้าทายความเชื่อดั้งเดิม”

เราทุกคนเติบโตขึ้นมา โดยการฟังคนอื่นๆมากมาย และมันฝังแน่นในตัวเราเอง

และสิ่งที่ทำให้เราทำตามก็คือ ความกลัว

กลัวที่จะต้องยืนอยู่นอกคนหมู่มากในสิ่งที่เขาทำกัน

แต่เชื่อผมเถอะ คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่เกิดจากการที่เขามองและทำสิ่งที่แตกต่างออกไป


ข้อที่เจ็ด .... ช่วยเหลือผู้อื่น เหมือนกับที่คุณต้องการ

ผมเคยทำงานในบริษัทประกัน และ CEO ของผมเคยบอกความลับที่ทำให้เขาประสบความเร็จ

เขากล่าวว่า ทุกคนที่เดินเข้ามาในบริษัท เพราะว่าเขาต้องการอะไรบางอย่าง

เขาบอกว่า เขาพยายามที่จะให้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการทุกอย่าง

และในสิ่งที่เขาทำนี้ ได้ทำให้เขากลายเป็น CEO ในทุกวันนี้

มาถึงข้อสุดท้าย ..... คนที่มองโลกตอนอายุ 50 เหมือนกับตอนอายุ 20 คนนั้นเสียเวลาชีวิตไป 30 ปี

มูฮัมมัด เป็นคนพูดประโยคนี้ ถึงแม้ว่า ชีวิตที่ผ่านมาคุณได้เรียน และใช้ชีวิต แต่มันก็เพิ่งเริ่มต้น

คุณยังคงต้องพัฒนาความคิดและการมองชีวิตของคุณ

คุณต้องเรียนรู้ต่อไป .... ล้อมรอบตัวเองด้วยคนที่คิดบวก

เปิดใจ ... อยากรู้อยากเห็น....

และสุดท้าย หากคุณเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในห้อง...ห้องนี้คงไม่เหมาะสำหรับคุณ

และนี้คือแนวทางการดำเนินชีวิตของผมทั้งแปดข้อ

ยินดีกับพวกคุณทุกคนในที่นี้
ขอบคุณครับ


ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=31265&s=64020298112d8f655d5453cd2f908b6f 
ชอบตอนท้องฟ้าจำลอง
พวกชอบพิมพ์เร็ว ๆ อ่านทางนี้..นี่แน่ะ พิมพ์เร็ว แถมไม่ยอมตรวจทาน อาจจะเป็นแบบนี้ก็ได้


• " ลูกชายผมสองขวบมีไข่สูงมากให้กินพาราได้ไหม ขอคำตอบด่วนครับ"


• " แฟนเป็นคนเสียวดังมากครับ ผมอายคนอื่นเค้า ผมจะเตือนเธอยังไงดีครับ"


• " กลุ้มใจจัง แฟนเราเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองสูง ไม่ค่อยจะอมใครง่าย ๆ"


• " มีพี่ที่ทำงานคนนึงเพิ่งเข้ามาทำงาน เธอเป็นลูกน้องผมแต่อายุแก่กว่าผมมาก ผมจะสอยเธอยังไงดีครับถึงจะไม่น่าเกลียด"


• " สามีมีปัญหาในการนอนค่ะเค้าชอบนอนหนุนหมอย นิ่ม ๆ ไม่ทราบว่าเพื่อน ๆ พอจะรู้จักยี่ห้อดี ๆ มั้ยคะ"


• " ถ้าง่วงก็ลองเคี้ยวหมาฝรั่งดูสิคะเผื่อจะหาย"


• " ถ้าพิจารณาความเสี่ยวแล้วคาดว่าคุ้มถ้าลงทุนต่อไป"


• " เดือนหน้าดิฉันจะมีเพื่อนฝรั่งมาเที่ยวเมืองไทย เค้าชอบช้างมากค่ะ ช่วยแนะนำทัวร์ที่มีโปรแกรมขี้ช้างให้หน่อยได้มั้ยคะ"


• " เจอรูแฟนเก่าในโทรศัพท์มือถือแฟน หมายความว่ายังงัย"


• " อยากไปเที่ยวท้องฟ้าจำลอง ที่ปิดไฟมืด ๆ แล้วฉายภาพดาวน่ะค่ะไม่ทราบว่าเข้าชมฟรีรึต้องเสียตัวด้วยรึป่าวคะ"


• " ข่าวดีค่ะปลื้มใจอยากบอก ไปขยายรูแต่งงานมาแล้ว ออกมาสวยมาก ๆ


ขนาดแฟนเป็นคนไม่ค่อยพูด ยังออกปากชม ไม่รู้มาก่อนว่าดีแบบนี้ เพื่อน ๆ ไปขยายที่ไหนกับบ้างคะ"


• " พี่ ๆ ครับ ผมจะไปสอบใบขับขี่พรุ่งนี้แต่ผมยังไม่ชำนาญ เรื่องการถอยรถเข้าซ่องเลย ใครพอแนะนำเทคนิคได้บ้างครับ"


• " อาจารย์คะ ปีนี้ข้อสอบวิทย์จะเน้นอกเรื่องอะไรคะ หนูจะได้เตรียมตัวมาแต่เนิ่น ๆ"


• " ถามเลขาค่ะ พานายฝรั่งไปไหนดีไม่ชอบซิสเลอร์เลย วันก่อนไปกินกับนายฝรั่ง หลายคน สั่งไส้กรอกรวมกินกันแล้วปรากฏว่าบรรยากาศเงียนมาก ๆ"


• " ผมมีปัญหากับแฟนใหม่ของเธอครับ ไม่น่าคิดมากเลย แค่โทรเรียกเธอมาเจอเพราะอยากเลียร์ให้มันสบายใจทั้งสองฝ่าย"


• " ขอถามหน่อยค่ะ ใบพลูเดี๋ยวนี้หาซื้อได้ที่ไหน คุณยายข้างบ้านกินแต่ หมาเปล่า ๆ มานานแล้ว บอกว่าเคี้ยวไม่อร่อย"


• " หนูแอบชอบเค้าอยู่ ทำไงหนูถึงจะได้รูถ่ายของเค้าคะ"


• " แถวสี่พระยามีร้านอัดรูดี ๆ มั้ยครับ อ้อ แล้วรูขนาด 4" x 6" นี่จะเล็กไปมั้ยครับ"


• " จะไปเชียงใหม่ค่ะหนุ่มคนเมืองที่ไหนพอแนะนำได้บ้างคะ อยากถามว่า ขนมจีนน้ำเจี๊ยวที่ไหนอร่อยบ้าง"

 
พอร์ตเย็นวันศุกร์ติดลบอยู่สองพันกว่าบาท
จะเอาพอร์ตปิดตลาดวันศุกร์มาลงบันทึกไว้
ก็เข้าบัญชีไม่ได้  บอกว่าปิดปรับปรุง
ตั้งแต่เมื่อวาน  ยังไม่เปิดเให้เข้าเลย
ของโบรก CGS  ปิดปรับปรุงบ่อยมาก
สงสัยจะต้องมองหาโบรกใหม่ไว้ซะแล้ว

วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สุทรพจน์ของ ทิม คุก (CEO of Apple)





ชื่อ:  images.jpeg
ครั้ง: 1911
ขนาด:  5.8 กิโลไบต์



เป็นเกียรติและโอกาสอย่างมากที่ได้มาอยู่กับพวกคุณในวันนี้

ในการได้กลับมาในที่ๆรู้สึกเหมือนบ้าน....ที่ๆผมได้ค้นพบความทรงจำดีๆหลายอย่าง

ที่แห่งนี้มีความหมายกับผมมาก


การที่ได้มาอยู่ตรงนี้ เป็นในสิ่งที่ผมเป็นทุกวันนี้

เพราะว่าพ่อแม่ได้เสียสละมากเกินกว่าที่เขาควรจะทำ

เพราะอาจาร์ย เพื่อน คนคอยแนะนำ ...ที่พวกเขาแคร์มากกว่าที่เขาควรเป็น

และเพราะ สตีฟ จ็อป และแอปเปิ้ล ที่ให้โอกาสผมทำงานสำคัญมาเป็นเวลากว่า 12 ปี

ในวันนี้ ผมจึงอยากจะแชร์ประสบการณ์ของตัวเอง ที่ผมได้เจอมา

รวมถึงเส้นทางชีวิตที่ผมเดินทางมา

การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผม มาจากการตัดสินใจเพียงอย่างเดียว

คือการร่วมทำงานกับแอปเปิ้ล...การทำงานที่นี้ ไม่ได้เป็นแพลนชีวิตที่ผมขีดไว้

แต่กลับกลายเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของผม.....

ในความเป็นจริงแล้ว ยังมีการตัดสินใจอย่างอื่นอีกในชีวิตของผม

อย่างเช่น การตัดสินใจมา ออเบิล ....

ตอนที่ผมเรียนอยู่ มัธยมปลาย อาจาร์ยบางคนแนะนำให้ผมเรียนที่ ออเบิล

บ้างก็แนะนำให้เรียน มหาวิทยาลัยอัลบลามา ...แต่ยังไงด็ตาม การตัดสินใจของผม ค่อนข้างจะชัดเจน

การตัดสินใจทำงานที่แอปเปิ้ลในปี 1998 เป็นอะไรที่ไม่ชัดเจนแต่แรก

มันคงจะยากหากจะให้พวกคุณจินตนาการถึงแอปเปิ้ลใน สิบกว่าปีที่แล้ว

แอปเปิ้ลในวันนั้นแตกต่างกับวันนี้อย่างสิ้นเชิง

ในปี 1998 แอปเปิ้ลไม่มี Mac หรือ IPAD หรือ แม้กระทั่ง IPOD

ในขณะที่บริษัทเริ่มผลิต Mac ยอดขายในขณะนั้นขาดทุนแทบทุกปีจนเกือบจะต้องปิดบริษัทไป


ไม่กี่เดือนก่อนหน้าที่ผมเข้ามาทำงานที่แอปเปิิ้ล ไมเคิล เดล CEO และเจ้าของบริษัท คอมพิวเตอร์เดล

ได้ตอบคำถามว่า เขาจะทำอย่างไรเพื่อแก้ไขปัญหาที่แอปเปิ้ลเจอ

เดล ตอบว่า เขาจะปิดบริษัท และคืนเงินแก่ผู้ถือหุ้น

ในการกล่าวประโยคนี้ ไมเคิล เดลทำให้เราทราบถึงความแตกต่าง

และความกล้าที่เขาพูดในสิ่งที่คนอื่นๆคิด

แอปเปิ้ลในวันนั้น ไม่เหมือนอย่างในวันนี้

ในตอนนั้น ผมยังทำงานให้กับ คอมแพค บริษัทคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ไม่เพียงแค่ว่าคอมแพคมีการทำงานที่ดีกว่าแอปเปิ้ล

แต่บริษัทแม่ก็ยังตั้งอยู่ที่แท็กซัส ใกล้กับ ออเบิล ฟุตบอล

หากใช้เหตุผลเพื่อตัดสินใจ ...ผลประโยชน์สูงสุด และค่าใช้จ่าย คอมแพคดูเหมือนจะเป็นสถานที่ทำงานที่เหมาะสมที่สุดของผม

ทุกๆคนที่ผมรู้จัก รวมถึง CEO คนหนึ่งที่คอยให้คำปรึกษา

บอกกับผมว่า มันจะดูโง่มากหากผมลาออกจากคอมแพคเพื่อไปอยู่กับแอปเปิ้ล


ในการตัดสินใจทำงานกับแอปเปิ้ล

ผมต้องคิดให้ไกลกว่า การเป็นวิศวกร

วิศวะ มักจะสอนให้ตัดสินใจเป็นกระบวนการ ปราศจากอารมณ์

เมื่อถึงเวลาที่เราต้องตัดสินใจ เรามักจะคิดถึงต้นทุนและผลกำไร

ว่าทางไหนให้ผลลัพธ์เหล่านี้ดีกว่ากัน

แต่มันก็มีบางเวลาในชีวิตของเราที่การตัดใจแบบนั้น ไม่ใช้ทางที่ถูกเสมอไป

บางทีการเชื่อมั่นในสันชาติญาณและจิตวิญญาณของตัวเองดูเหมือนจะเป็นทางที่เหมาะสมที่สุด




การตัดสินใจโดยใช้สัญชาติญาณ คุณต้องทิ้งความคิดของการวางแผนชีวิตอย่างเป็นขั้นตอน


การรับรู้โดยสัญชาติญาณ มักจะเกิดขึ้นชั่วครู่ และถ้าหากคุณเปิดใจ และฟังสิ่งนี้

มันมีศักยภาพเพียงพอที่จะนำทางให้คุณเพื่อให้คุณตัดสินใจสิ่งที่ถูกที่สุดได้


ในวันนั้นของปี 1998 ผมได้ตัดสินใจฟังในสิ่งที่ผมเชื่อมั่น

ไม่ใช่เชื่อสมองด้านซ้ายของผม หรือแม้กระทั่ง เชื่อคนที่รู้จักผมดีที่สุด

มันยากที่จะตอบว่าทำไมผมต้องทำตามในสิ่งที่ผมเชื่อ

และจนถึงวันนี้ผมก็ยังตอบไม่ได้ แต่ผมใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที ในตอนที่ได้คุยกับสตีฟ จ๊อป

ผมอยากจะทิ้งเหตุผลทั้งหมดไปกับลม และร่วมงานกับแอปเปิ้ล

ความเชื่อของผมรู้ดีว่า การร่วมงานกับแอปเปิ้ลเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิต

ที่จะได้ทำงานกับอัจฉริยะที่สร้างสรรค์ที่สุด

และทีมที่สามารถทำให้บริษัทกลับมาเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอเมริกา

หากสัญชาติญาณของผมพ่ายแพ้ให้กับสมองซีกซ้ายของผมในวันนั้น

ผมก็ไม่แน่ใจว่าในวันนี้ผมจะไปอยู่ตรงไหน แต่มั่นใจว่าผมคงไม่ได้มายืนต่อหน้าพวกคุณในวันนี้


นี้เป็นบทเรียนที่น่าประหลาดใจ

ผมพยายามคิดย้อนไปถึงความรู้สึกที่ไม่มั่นใจว่าชีวิตจะเดินไปทางไหน

บางส่วนในตัวผมเองพยายามที่อยากจะมี แผนชีวิต 25 ปีเพื่อเป็นแนวทางให้กับชีวิตตัวเอง

ในขณะที่ผมเรียนอยู่ พวกเราได้ทำแบบฝึกหัด ให้ทำแผนชีวิต 25 ปี

ผมได้ค้นพบแผนของผมเอง ตอนอายุ 22 เพื่อที่จะเตรียมรับปริญญา

เอาเป็นว่า ในกระดาษสีเหลืองที่ผมเขียนลงไป มันแทบจะไม่มีความหมายเลย

ชีวิตมักไม่แน่นอน เหมือนลูกบอล

อย่าเข้าใจที่ผมพูดผิดไป การวางแผนชีวิตเป็นสิ่งที่ดี

แต่หากคุณเป็นเหมือนผมที่ชีวิตเหวี่ยงไปมาตลอดเวลา และชีวิตที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าคุณวางแผนไม่ได้ แต่คุณสามารถเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอได้

นักเบสบอลไม่มีทางรู้เลยว่าลูกบอลจะมาเมื่อไร แต่เขาก็ต้องเตรียมรับมือเสมอ
เพราะเขารู้ว่า มันต้องมาอย่างแน่นอน


คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า สัญชาติญาณเป็นอะไรที่ขึ้นอยู่กับโชคชะตา และ โชค

แต่ที่ผมเห็นก็คือ การตัดสินใจโดยใช้สัญชาติญาณสามารถบอกคุณได้ว่า ประตูที่เปิดอยู่ คุณควรเดินเข้าไปในประตูบานไหน

แต่มันไม่ได้เตรียมให้คุณรับมือกับสิ่งที่อยู่หลังประตู

มีคำพูดหนึ่งที่ผมใช้เป็นคติประจำตัว อัปปราฮัม ลินคอน กล่าวไว้ว่า

“ เตรียมตัวให้พร้อม ...และวันหนึ่งโอกาสจะมาหาเรา”

ในธุรกิจ ซึ่งก็เหมือนกับกีฬา สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ตัดสินชัยชนะ คือสิ่งที่เกิดก่อนการแข่งขัน

เราไม่สามารถควบคุมเวลาของโอกาสได้ แต่เราสามารถเตรียมความพร้อมได้

หลักความเชื่อของผมอีกอย่างคือ ผมเชื่อในการทำงาน- การทำงานหนัก

มีหลายๆอย่างสอนให้ผมรู้ว่า คนที่พยายามประสบความสำเร็จแต่ไม่ได้ทำงานหนักไปกับมัน

ท้ายสุดก็เหมือนกับการหลอกตัวเอง

ผมมีโอกาสที่ดีที่ได้ทำงานรอบๆคนเก่ง เราไม่เคยใช้ทางลัด เราสนใจทุกๆรายละเอียด เราคอยแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด ถึงแม้ว่าบางทีมันจะทำให้ทางเดินยาวนานขึ้น

แต่นั้นก็คุ้มค่าในตอนสุดท้าย


เรายอมเสี่ยง โดยที่รู้ว่าบางทีความเสี่ยงอาจทำให้เราล้มเหลว

แต่หากปราศจากความล้มเหลว ความสำเร็จคงไม่เกิดขึ้น

เราจำคำพูดของ ไอสไตน์ ที่กล่าวว่า คนเสียสติมักจะทำสิ่งเดิมซ้ำไปซ้ำมา โดยที่คาดหวังผลลัพธ์ที่ต่างออกไป

เมื่อคุณเอามันมารวมกัน ผมได้เรียนรู้ว่า

ความเชื่อเป็นสิ่งจำเป็นในทุกๆสิ่งที่คุณทำ แต่หากปราศจากความพร้อมและการลงมือทำ ทุกอย่างก็ไม่มีความหมาย



และนี้ก็คือสิ่งที่ผมค้นพบเกี่ยวกับ ความเชื่อ,ความพร้อม, การทำงานหนัก

เชื่อในสัญชาติญาณของตัวเอง และทำงานให้หนักในทุกๆอย่างที่คุณทำเพื่อพิสูจน์ว่าความเชื่อของคุณถูกต้อง


และในบางครั้งเหตุผลก็ไม่ชนะทุกครั้ง

ผมเหลือบทเรียนสุดท้ายที่จะบอกพวกคุณ

ผมคิดว่ามันผิดพลาดหากพูดถึงความสำเร็จโดยที่ไม่ได้พูดถึงความล้มเหลว


บนเส้นทางของผม เจอกับความล้มเหลวหลายครั้ง ถึงแม้ว่าในวันนี้ผมพูดกับคุณถึงการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่ แต่ผมก็เจอกับความล้มเหลว

แต่หลังจากหลายไมล์บนเส้นทางของผม สุดท้ายแล้วมันก็จะผ่านไป

และทำให้คุณฉลาดขึ้น เข้มแข็งขึ้น



ดังนั้น ระบายสีให้ตัวเองเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นว่าคุณต้องการจะไปที่ไหน

เตรียมพร้อม และเชื่อมั่นในตัวเอง และอย่าเสียสมาธิให้กับหลุมบางหลุมในชีวิต

ขอแสดงความยินดีกับบัณฑิตปี 2010 ทุกคน

ขอให้ทุกคนมีความสุขกับเส้นทางที่คุณเลือก

และ ขอบคุณที่ให้ผมมีส่วนร่วมในวันนี้ ขอบคุณครับ

                  ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=31002
คำเตือนสั้นๆของ Peter Lynch
คำเตือนสั้นๆของ Peter Lynch


การลงทุนซื้อหุ้น มักจะถูกยอมรับว่าเป็นการลงทุนที่ดีที่สุดในเวลาที่มันไม่ใช่ เพราะคนจะเข้ามาก็ต่อเมื่อตลาดได้ทำจุดสูงสุดไปแล้ว ผลตอบแทนมันช่างเย้ายวนใจเสียนี้กระไร คนส่วนใหญ่จะทนไม่ได้กับการที่เห็นคนรอบข้างทำเงินได้อย่างมหาศาลในตลาดหุ้น ในขณะที่ตัวคุณเป็นแค่พนักงานกินเงินเดือนอยู่ต่อไป สุดท้ายคุณก็กระโดดเข้ามาในตลาดหุ้น ในจังหวะที่มันไม่ใช่ และคุณก็ผิดหวังจากมัน ตลาดเกิดฟองสบู่ เงินของคุณถูกละลายลงไปในตลาดหุ้น และคุณก็กลับมาสอนลูกหลานของคุณว่าตลาดหุ้นคือสถานที่ที่อันตราย มันเสี่ยงเกินไป มันจะหมดตัวได้

การพยายามคาดการณ์ว่าหมีจะมาเมื่อไร เป็นสิ่งที่โง่เขลามาก คุณพยายามจับจังหวะตลาดเข้าๆออกๆ เพื่อที่ว่าจะหลีกหนีสภาวะตลาดหุ้นถล่มในวันเดียว -3% แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้เลยว่า การที่พวกเขาไม่มีหุ้นในวันที่ตลาด +3% เป็นเรื่องที่น่ากลัวยิ่งกว่า

Peter Lynch

          ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=31006
คำเตือนสั้นๆของ Peter Lynch
คำเตือนสั้นๆของ Peter Lynch


ตลาดหุ้นเป็นสถานที่ที่ผู้มีอายุน้อยได้เปรียบผู้มีอายุมาก พ่อแม่อาจจะไม่ได้รู้เรื่องหุ้นไปมากกว่าคุณ แน่นอนพวกท่านมีเงินลงทุนมากกว่า แต่คุณมีสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุด คือ เวลา ยิ่งคุณเริ่มลงทุนเร็วเท่าใดก็จะยิ่งดีเท่านั้น ความจริงแล้วในระยะยาวเงินเล็กๆน้อยๆที่ลงทุนเร็ว จะเติบโตเร็วกว่าเงินก้อนโต ที่ลงทุนช้า

ในอดีตที่ผ่านมาผลตอบแทนโดยรวมจากหุ้นอยู่ที่ 10% เพื่อที่จะได้ 10% นี้คุณจะต้องสัญญากับหุ้นว่าคุณจะไม่มีวันทอดทิ้งเธอ ไม่ว่ายามทุกข์หรือสุข เหมือนกับการ"แต่งงาน" ระหว่างเงินและการลงทุน ถ้าคุณเป็นคนที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ คุณจะกลายเป็นเพียงนักลงทุนที่พอใช้เท่านั้น หากคุณมีความอดทนและความกล้าพอที่จะถือหุ้นนานพอ ความฉลาดไม่ได้ตัดสินว่าเก่งหรือไม่เก่ง สิ่งที่จะตัดสินคือ "วินัย" มากกว่า

การยืนสาบานหน้ากระจกว่าคุณเป็นนักลงทุนระยะยาวเป็นเรื่องที่ง่าย ในประสบการณ์ของผม ถ้าคุณถามคนกลุ่มหนึ่งว่าเป็นนักลงทุนระยะยาวไหม เกือบ100%จะเป็นนักลงทุนระยะยาว แต่บททดสอบว่ายาวจริงหรือไม่นั้นต้องรอตอนที่หุ้นตก

คนที่ยังคิดว่าการปรับฐานหรือหุ้นตกเป็นเรื่องอันตราย แต่มันจะอันตรายก็ต่อเมื่อคุณขายหุ้นเท่านั้น พวกเขาลืมไปอีกอย่างว่า การที่ไม่มีหุ้นในวันที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์เป็นเรื่องที่อันตรายยิ่งกว่า

ในระหว่างช่วง 5 ปีในทศวรรษ 1980 ที่ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นถึง 27% จะมีเพียง 40 วัน ใน 1276 วันเท่านั้นที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างน่าแปลกใจถึง 22% ถ้าคุณพลาดการลงทุนใน 40 วันนั้น ผลตอบแทนของคุณจะเหลือเพียง 4.3% เท่านั้น ซึ่งผลตอบแทนก็ไม่ต่างจากการซื้อพันธบัตร หรือเงินฝากมากนัก แถมความเสี่ยงก็น้อยกว่าการถือหุ้นอีกด้วย

เพราะฉะนั้นเพื่อที่จะได้ผลตอบแทนสูงสุดจากหุ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณอายุยังน้อย และเวลาอยู่ข้างคุณ วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือนำ "เงินเย็น" ของคุณมาลงทุนแล้วทิ้งไว้เลยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณอาจจะบาดเจ็บในช่วงที่หุ้นตก แต่ถ้าคุณไม่ขาย คุณจะไม่ได้ขาดทุนจริงๆ การลงทุนอย่างจริงจังจะทำให้คุณได้ผลตอบแทนเต็มที่ในช่วงเวลาน่าอัศจรรย์ที่หุ้นพากันถีบตัว อย่างไรก็ตามหุ้นที่คุณถืออยู่ คุณจะต้องรู้ดีและสามารถหาเหตุผล 2-3 ประการในการถือหุ้นได้


- Peter Lynch

          ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=31012
พ่อมดกองทุน Windsor "จอห์น เนฟฟ์" : วิบูลย์ พึงประเสริฐ
พ่อมดกองทุน Windsor "จอห์น เนฟฟ์"

วิบูลย์ พึงประเสริฐ


สำหรับนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า บุคคลที่เป็นนักลงทุนต้นแบบอีกคนคือ จอห์น เนฟฟ์ (John Neff)

เนฟฟ์เป็นผู้จัดการกองทุนรวมแวนการ์ด วินเซอร์ (Vanguard Windsor) เขาเน้นหนักไปในการลงทุนแบบเน้นคุณค่าโดยลงทุนในธุรกิจที่ดี มีการเจริญเติบโตต่อเนื่อง จ่ายเงินปันผลสูง และขายเมื่อราคาเกินกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น ผลงานตลอด 30 ปีที่ผ่านมา กองทุนของเขาสามารถครองอันดับสูงสุดห้าอันดับแรกมาตลอด

เนฟฟ์จบการศึกษาด้านการตลาดอุตสาหกรรม และเข้าศึกษาวิชาการเงินการธนาคารภาคค่ำในปี 1954 เขาเริ่มงานเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์กับ The National City Bank of Cleveland จากนั้นก็ทำงานกับ Wellington Management เขายึดหลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่าตามแบบของเบน เกรแฮม (Ben Graham) มาโดยตลอด

ในปี 1984 เนฟฟ์ลงทุนอย่างหนักในหุ้นฟอร์ด (FORD) ในขณะที่ทุกคนกลัวว่าบริษัทกำลังจะไปไม่รอด ขณะนั้นพีอี (P/E) ของบริษัทเท่ากับ 2.5 เท่า เขาซื้อหุ้นฟอร์ดในราคา 14 ดอลลาร์ต่อหุ้น ภายในสามปีราคาหุ้นขึ้นไปสูงถึง 50 ดอลลาร์ต่อหุ้น ทำผลตอบแทนได้สูงถึง 500 ล้านดอลลาร์ให้กับกองทุนที่เขาบริหาร

GYP ratio (Growth & Yield: P/E) = (Earnings Growth + Dividend Yield) / (P/E ratio) เนฟฟ์แนะนำให้เทียบอัตราส่วน GYP บนหุ้นและทั้งพอร์ตของนักลงทุนเทียบกับตลาด

เนฟฟ์จะใช้หลักการง่ายๆ เพื่อเลือกลงทุน 7 ประการดังนี้
1.อัตราส่วน P/E ต่ำ
2.อัตราการเติบโตของกำไรสูงกว่า 7% ขึ้นไป
3.มีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ และเพิ่มขึ้นตลอด
4.ผลตอบแทนที่ได้รับจะต้องสูงกว่าอัตราส่วนพี/อี (P/E)
5.ไม่เป็นธุรกิจที่ขึ้นลงตามรอบที่กำลังจะลง โดยปราศจากการลดลงของอัตราส่วนพี/อีที่ต่ำพอจนน่าลงทุน
6. เป็นบริษัทที่มีความแข็งแกร่งในการสร้างการเติบโต
7. เป็นบริษัทที่มีพื้นฐานที่แข็งแกร่งเหมาะกับการลงทุน


การลงทุนที่ดีที่สุดคือการหาหุ้นดีๆ ที่กำลังทำจุดต่ำใหม่ ดูว่าที่มันลงนั้นลงเพราะข่าวร้ายหรือไม่ หากเราเห็นว่ามันเป็นบริษัทที่ดีที่บางครั้งราคาตกลง ให้เรานำหลักการทั้ง 7 ข้อมาประเมิน ถ้าใช่ก็เป็นโอกาสในการลงทุน

เนฟฟ์แนะนำว่าอย่าไล่ซื้อหุ้นที่มีการเติบโตสูงที่หลายคนสนใจ อัตราส่วนพี/อีที่สูงขึ้นจะผลักดันให้ราคาหุ้นสูงขึ้นจนถึงระดับที่น่าตกใจและเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้ตัวนักลงทุนเอง เขาบอกว่ามีเหตุผล 2 ประการในการตัดสินใจขายหุ้นคือหนึ่งพื้นฐานเริ่มเลวลงหรือสองราคาขึ้นมาสูงถึงจุดที่ต้องการแล้ว

เขาให้ความสำคัญกับอัตราส่วน GYP ในพอร์ตมากกว่า หากตลาดขึ้นสูงมากจนราคาหุ้นที่ต้องการสูงจนเกินไปก็ควรจะถือเงินสดไว้ ประมาณ 20% ของทุนทั้งหมดจนกว่าจะพบโอกาสดีอีกครั้งและโอกาสทำกำไรดีๆ มักจะเกิดหลังจากการตื่นตระหนก (Panic) ของตลาด
          ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=31005&s=2aaa0d2041dc22a6122dd2a75d409992

วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

แค่หกส่วนก็พอ

ที่กรุงไทเปมีผู้รับเหมาก่อสร้างคนหนึ่ง  เป็นคนหนุ่มที่ชาญฉลาดที่รู้กันทั้งวงการ  มีหัวการค้าเป็นเลิศ  ทำงานคล่องแคล่วว่องไว  พร้อมลุยงานหนัก...