ใครคนนึงบอกเสมอว่า
ชีวิตนี้...สั้นนัก อยากทำอะไร ให้รีบทำ
รักใคร ... ก็ให้บอกว่ารัก อย่าปล่อยให้วันนี้ผ่านไป
เพราะชีวิตเรา .... อาจจะมีแค่วันนี้ก็ได้ ใครจะไปรู้
ที่มา http://pantip.com/topic/32735148
วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2557
ช่วงเวลาดีๆ ....
ช่วงเวลาดีๆ .... มักจะผ่านไปเร็วเสมอ
ถ้าใครกำลังมีความสุข .... ก็ขอให้รักษาช่วงเวลานี้ไว้ให้นานเท่านาน ก่อนที่มันจะเดินผ่านเราไป
ที่มา http://pantip.com/topic/32735148
ถ้าใครกำลังมีความสุข .... ก็ขอให้รักษาช่วงเวลานี้ไว้ให้นานเท่านาน ก่อนที่มันจะเดินผ่านเราไป
ที่มา http://pantip.com/topic/32735148
วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2557
อย่าปิดกั้นที่จะทำสิ่งใด เพียงเพราะแค่มี ”บางคน” ล้มเหลวให้เห็น
อย่าปิดกั้นที่จะทำสิ่งใด เพียงเพราะแค่มี ”บางคน” ล้มเหลวให้เห็น
อย่าถอยหลังให้สิ่งใด เพียงเพราะคุณแค่ “เคย” ล้มเหลว
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php/52442-เล่นหุ้นเหรอ-ไม่เอาอ่ะ-มีแต่คนขาดทุนเยอะแยะ!!!
อย่าถอยหลังให้สิ่งใด เพียงเพราะคุณแค่ “เคย” ล้มเหลว
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php/52442-เล่นหุ้นเหรอ-ไม่เอาอ่ะ-มีแต่คนขาดทุนเยอะแยะ!!!
กฎ 10,000 ชั่วโมง ของมัลคอล์ม แกลดเวลล์ (Malcolm Gladwell)
บิล เกตส์ ก่อนที่บิลเกตส์ จะกบฏต่อชีวิตมหาวิทยาลัย เขามี " โอกาส – ความพยายาม – การฝึกฝน" ในเรื่องคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่อายุ 15-16 ปี เป็นระดับหนักหน่วง 8 ชั่วโมงต่อวัน 7 วันต่อสัปดาห์ ความรู้ความชำนาญในเรื่องคอมพิวเตอร์ของเขาสูงกว่านักศึกษาระดับปริญญาตรี หลายสิบหลายร้อยเท่า เขาจึงสามารถทิ้งใบรับปริญญาอย่างไม่ใยดีได้ ใครก็ตามที่คิดจะเอาอย่างเพียงแค่เดินออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อแสวงหาความ สำเร็จด้วยตนเอง ขณะที่ข้างในกลวง หรือไม่เจ๋งจริง ก็อย่าหวังว่าจะประสบความสำเร็จเหมือนบิลเกตส์ เดอะบีตเทิลส์ ก่อนที่พวกเขาจะโด่งดังก็ต้องผ่านกฎ 10,000 ชั่วโมงเช่นกัน ไม่เพียงแต่การเล่น หรือซ้อมในเมืองลิเวอร์พูลเท่านั้น แต่มีช่วงหนึ่งที่พวกเขาไปเล่นที่คลับระบำเปลื้องผ้าแห่งหนึ่งในฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมัน ชื่อ "อินทรา" ที่นั่นเขาเล่นดนตรีสัปดาห์ละ 7 วัน แต่ละคืนมากกว่า 5 ชั่วโมงขึ้นไป ชั่วโมงบินของบีทเทิลส์จึงสูงลิ่ว ว่ากันว่า ตอนที่พวกเขาประสบความสำเร็จใน พ.ศ. 2507 เดอะบีทเทิลส์แสดงสดไปแล้ว 1,000 ครั้ง ขณะที่วงดนตรีปัจจุบันส่วนใหญ่แสดงกันไม่ถึง 1,200 ครั้งตลอดชีวิตนักดนตรีของพวกเขา
สตีฟ จอบส์ เป็นบุตรบุญธรรมของสามีภรรยาชนชั้นแรงงานใยย่าน "ซิลิคอล วัลเลย์"แหล่งอุตสาหกรรมซอฟแวร์และบริษัทไอทีชั้นนำของประเทศอเมริกา จึงไม่ต้องแปลกใจว่าสาเหตุที่ สตีฟ จ๊อบส์ผู้โด่งดังในด้านไอทีเช่นทุกวันนี้ส่วนหนึ่งย่อมเกิดจากเบ้าหลอม จากสภาพแวดล้อมที่เขาเติบโตขึ้นมาในแหล่งนี้ ครอบครัวจ๊อบส์เลี้ยงลูกบุญธรรมของพวกเขาให้เรียนรู้การทำงานมาตั้งแต่เด็กๆ พอล จ๊อบส์ พ่อบุญธรรมยังสอนให้สตีฟตัวน้อยเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างในโรงงาน เกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆถึงแม้ว่าตัวพ่อบุญธรรมเองจะมีความรู้ จำกัดเพราะเขาเป็นเพียงช่างเครื่องให้กับบริษัทผลิตเลเซอร์เท่านั้นก็ตาม กล่าวได้ว่าพ่อบุญธรรมเป็นผู้จุดประกายความสนใจเรื่องอิเล็กทรอนิกส์ให้กับ สตีฟ จ๊อบส์ ส่วนแม่บุญธรรมจะสอนให้เขาหัดอ่านเขียนได้ตั้งแต่ก่อนเข้าโรงเรียน ครอบครับจ๊อบส์มีเพื่อนบ้านเป็นวิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านอิเล็กทรอนิกส์ทำงาน ที่ Hewlett Packard ชื่อว่า แลร์รี่ แลง( Larry Lang ) เขาสอนความรู้เกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์ให้สตีฟ จ๊อบส์ มากมายมหาศาล และด้วยความฉายแววความเก่งออกมาตั้งแต่เด็กๆตอนที่อยู่เกรดสี่ ทำให้ครูที่โรงเรียนเสนอให้เขาข้ามไปเรียนชั้นมัธยมได้เลย เขามักจะไปฟังบรรยายที่บริษัท Hewlett Packard หลังเลิกเรียนบ่อยๆ ต่อมาสตีฟวัย 15 ปีถูกจ้างให้ทำงานบริษัทนี้ในช่วงฤดูร้อน โดยทำงานร่วมกับ สตีฟ วอซเนียก ( Steve Wozniak ) เพื่อนรุ่นพี่ที่โรงเรียน Homestead High School เหมือนกัน หลังจากจบชั้นมัธยมเขาเข้าเรียนต่อที่วิทยาลัยรีด ซึ่งค่าเทอมที่นี่แพงมาก พ่อแม่บุญธรรมของเขาไม่มีเงินมากพอที่จะส่งเรียนให้จบได้ เขาจึงตัดสินใจดร็อปเรียนหลังจากเข้ามหาวิทยาลัยได้เพียง 6 เดือน แม้จะดร็อปเรียนแล้ว เขาก็ยังต้องเตร็ดเตร่อยู่แถวมหาลัยอีก 18 เดือนด้วยการสิงอยู่ตามห้องเพื่อนเพราะไม่มีหอพักให้อยู่แล้ว ชีวิตความเป็นอยู่ค่อนข้างอัตคัดฝืดเคือง เขาต้องเก็บกระป๋องโค้กไปขายได้เงินกระป๋องละ 5 เซนต์และนำเงินที่ได้ไปซื้อข้าวประทังชีวิตกิน พอถึงทุกๆวันอาทิตย์เขาต้องเดินข้ามเมืองเป็นระยะทาง 7 ไมล์เพื่อที่จะได้กินอาหารดีๆที่โบสถ์ฟรีเพียง 1 มื้อ ในปี 1974 สตีฟ จ๊อบส์ เข้าสมาคมที่ชื่อว่า " Homebrew Computer Club " เป็นสมาคมอย่างไม่เป็นทางการของเหล่าผู้มีงานอดิเรกที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ในซิลิคอนวัลเลย์ ซึ่งสมาชิกชมรมนี้ประกอบไปด้วยผู้ที่จะกลายเป็นแฮกเกอร์ฝีมือฉกาจและผู้ ประกอบการด้านไอที หลังจากนั้น สตีฟ จ๊อบส์ เริ่มต้นหางานทำโดยได้งานเป็นเจ้าหน้าที่เทคนิคที่อาตาริ ผู้ผลิตวีดีโอเกมที่ได้รับความนิยมอย่างสูง เขาได้รับมอบหมายงานให้สร้างแผ่นลายวงจรพิมพ์ ( Circuit board ) โดยบริษัทเสนอจะมอบเงินให้ 100 ดอลลาร์ต่อชิพแต่ละตัวที่ถูกลดลงไปในเครื่อง เขาจึงได้ร่วมกับสตีฟ วอซเนียกซึ่งตอนนั้นวอซเนียกทำงานประจำอยู่ที่ Hewlett Packard พวกเขาสามารถลดจำนวนการใช้ชิพลงได้ถึง 50 ตัว ซึ่งเป็นการออกแบบที่แน่นหนามากจนเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการถอดแบบเพื่อทำซ้ำใน แนวประกอบชิ้นส่วนของเครื่องในโรงงาน หลังจากนั้นในปี 1976 สตีฟ จ๊อบส์ มีอายุได้ 20 ปี ชีวิตเขาก็มาถึงกาลจุดเปลี่ยนเพราะสตีฟ จ๊อบส์ และเพื่อนคือสตีฟ วอซเนียก ทั้งสองร่วมมือกันผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลออกมาขาย เขาต้องขายสมบัติทุกอย่างที่มี อันประกอบด้วยรถแวนเก่าๆ 1 คัน เครื่องคิดเลข 2 เครื่อง เพื่อเป็นทุนในการทำธุรกิจ โดยรวบรวมทุนได้ 1,300 เหรียญ แต่ละวันเขานั่งวุ่นอยู่กับทรานซิสเตอร์ ขลุกอยู่กับสายไฟ ทำงานหามรุ่งหามค่ำกับวงจรไฟฟ้า จัดการนำชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ทั่วไปที่ไม่มียี่ห้อมาประกอบเข้ากันภายในกล่อง พลาสติกและสถานที่ผลิตของพวกเขาคือโรงรถของพ่อบุญธรรมของสตีฟ จ๊อบส์นั่นเอง เขาไม่ได้ลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อจะได้นอนตื่นสายและเอ้อระเหยลอยชายทั้ง วันแล้วนั่งรอให้สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น เขาทั้งสองรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ดีมาก เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่พวกเขาได้นำเสนอออกสู่สายตาได้แก่เครื่อง Apple I ซึ่งตั้งราคาขายไว้ที่ 666.66 ดอลล่าร์สหรัฐ แน่นอน สตีฟ จ๊อบส์ ผ่านกระบวนการฝึกฝนกว่า 10,000 ชั่วโมงอย่างไม่ต้องสงสัย ผมเชื่อ ว่ามนุษย์คนหนึ่ง หากพื่้นฐานเป็นคนที่มีสุขภาพและมันสมองดี ประกอบกับได้รับการฝึกฝนจากการที่ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเหมือนคนจนตรอก แล้ว จะทำให้คนผู้นั้นมีภูมิคุ้มกันและมีพลังแฝง รวมไปถึงความทะเยอทะยานที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไม่ย่อท้อ ไม่ว่าจะประสบกับปัญหาร้ายแรงอย่างไรก็ตาม คนผู้นี้จะสามารถล้มและลุกขึ้นมาใหม่ได้เสมอ และเขาจะสามารถยืนหยัดและก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างลำพังได้อย่างมาดมั่นด้วย ตัวของเขาเอง
" You've got to find what you love " Jobs says.เรา ควรหาสิ่งที่เรารักให้เจอและจงทำมัน แต่หากเรายังหาสิ่งที่รักไม่เจอจงอย่าหยุดที่จะหามัน และเราจะรู้ได้เองเมื่อเราพบในสิ่งที่เรารักจริงๆ
ไทเกอร์ วูดด์ นักกอล์ฟระดับโลก มีคนเคยถามเขาว่า คุณใช้เวลาในการซ้อมกอล์ฟมากขนาดไหนต่อวัน? ไทเกอร์ วูดด์ ตอบว่า ตลอดเวลา
วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นมหาเศรษฐีระดับ 2 ของโลก เขาเป็นตัวอย่างของนักลงทุน ที่ให้ความสำคัญกับคุณค่าของหุ้นที่เขาลงทุน (Value Investor) ปรัชญาการลงทุนของนายบัฟเฟตต์ คือ "กฎข้อที่หนึ่ง: อย่ายอมเสียเงิน และกฎข้อที่สอง: อย่าลืมกฎข้อ 1″ เขายึดถือและใช้กฎนี้ในการลงทุนอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 50 ปี
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ส่วนตัวผมเชื่อว่า ดร.นิเวศน์ มีประสบการณ์การลงทุนมากกว่า 10,000 ชั่วโมงเป็นแน่แท้
"ความ สำเร็จ" ที่เราเห็นในชีวิตของคนระดับโลกอย่าง บิล เกตส์, สตีฟ จ็อบส์, วงเดอะบีทเทิลส์ หรือจะเป็นกรณีสายการบินเกาหลีที่ทำเครื่องบินตกซ้ำซากจนเป็นที่เข็ดขยาด แต่กลับปฏิรูปตัวเองจนกลายเป็นหนึ่งในสายการบินที่มีความปลอดภัยสูงที่สุดใน โลก เรื่องของเด็กจีนที่เรียนเลขเก่งมากกว่าเด็กตะวันตก เพราะมาจากครอบครัวทำนาปลูกข้าว รวมถึงเรื่องบรรดานักกฎหมายชั้นนำในนิวยอร์ก ที่ส่วนใหญ่มาจากครอบครัวช่างตัดเย็บเสื้อผ้า แม้แต่เหตุการณ์เด็กอัจฉริยะที่มีไอคิวสูงกว่าไอน์สไตน์ แต่กลับโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีชีวิตล้มเหลว ฯลฯ สิ่งเหล่านี้มีอะไรแอบแฝงมากกว่า "ความฉลาด" "ความเก่ง" "ความทุ่มเท" และ "พันธุกรรม" ตามความเชื่อของคนทั่วไป ปัจจัยที่ทำให้คนเราประสบความสำเร็จในระดับสูงสุด หรืออาจไม่ประสบความสำเร็จเลยแม้จะมีระดับสติปัญญาและความพยายามเท่าๆ กัน คือ "โอกาส" ในการเข้าถึง "การฝึกซ้อม" ในทักษะที่ตัวเองรักและถนัดไม่ต่ำกว่า 10,000 ชั่วโมง เป็นอย่างน้อย และต้องมีผู้ให้การสนับสนุนการฝึกซ้อมเป็นไปอย่างต่อเนื่องกรณีของบิลเกตส์ และวงเดอะบีเทิลส์ ถือว่าเขาได้โอกาสในการเข้าถึงสิ่งที่รักได้เร็ว และมีเวลาอยู่กับสิ่งๆ นั้นวันละไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมง แม้ว่าบางเหตุการณ์จะเป็นการบังคับในตัวกลายๆ กับการต้องเล่นดนตรีหามรุ่งหามค่ำแบบไม่มีวันหยุดเลยในหนึ่งสัปดาห์ จนช่วงเวลาแห่งความสำเร็จมาถึงในปี 1964 ที่ประชาชนเริ่มรู้จักวงเต่าทอง ปรากฏว่าเดอะบีทเทิลส์ แสดงสดไปแล้วกว่า 1,200 ครั้ง หรือความฉลาดล้ำเกินหน้าเด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน จนเกิดอาการเบื่อหน่ายที่ต้องเรียนหนังสือ และต้องย้ายไปเรียนในโรงเรียนเอกชนที่มีชมรมคอมพิวเตอร์ และนำพาให้บิล เกตส์ ได้มีโอกาสเขียนโปรแกรมด้วยระบบที่มีการตอบสนองแบบฉับพลัน ตั้งแต่ตอนที่เรียนอยู่ชั้นเกรดแปดในปี 1968 และเขาได้คลุกกับเรื่องจักรกลด้วยการเขียนโปรแกรมแบบไม่พักตลอด 7 ปี จนประสบความสำเร็จเป็นไมโครซอฟต์ในปัจจุบัน
ไม่ใช่แค่เรื่องโอกาสเพียง อย่างเดียว ความสำเร็จที่เกิดขึ้นได้ ส่วนหนึ่งมาจากการปลูกฝังของคนที่เป็นพ่อแม่ ที่พร้อมเปิดโอกาสให้ลูกๆ ได้ฝึกฝนในสิ่งที่รักถึง 10,000 ชั่วโมง ด้วยความรัก เห็นได้จากกรณีของคริส แลงแกน ที่มีความเป็นอัจฉริยะสูงได้ A ทุกวิชา แต่พื้นฐานครอบครัวไม่ดี ผู้เป็นมารดาไม่ได้สนใจมากพอต่อเรื่องการเรียนของลูก ทำให้แลงแกนต้องถูกตัดสิทธิ์จากทุกการศึกษา เพราะมารดาไม่ได้กรอกเอกสารทางการเงินของครอบครัว เพื่อขอรับทุน จนต้องลาออกจากมหาวิทยาลัย และมีชีวิตที่ตกต่ำเรื่อยมา ทั้งๆ ที่เขามีไอคิวสูงกว่าไอน์สไตน์ด้วยซ้ำ
มัลคอล์ม แกลดเวลล์ (Malcolm Gladwell) เป็นนักประพันธ์หนังสือแนวสารคดี (non-fiction) อย่าง The Tipping Point และ Blink โดยหนังสือแต่ละเล่มที่เขียนขึ้นจะอัดแน่นไปด้วยความรู้แปลกใหม่ และมักปิดท้ายด้วยข้อสรุปที่สวนทางกับความเชื่อของคนส่วนใหญ่ในสังคม จนจุดประกายให้เกิดการอภิปรายโต้เถียงกันอย่างกว้างตามมา อีกทั้งยังมีเสน่ห์เล่าเรื่องได้สนุกสนาน กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของคนอ่านได้ตลอดเวลา
เปรียบเทียบให้เห็นภาพ
ถ้า คุณทำสิ่งที่คุณรักวันละ 1 ชั่วโมง ใน 1 ปี มี 365 วัน ก็แค่ 365 ชั่วโมง ต้องใช้เวลาถึง 10 ปี ถึงจะได้ 3,650 ชั่วโมง ต้องใช้เวลาถึง 30 ปีถึงจะมีชั่วโมงบินถึง 10,000 ชั่วโมง ดังนั้นคาถาย่อย่นหนทาง จึงควรกล่าวได้ว่า ทำมันและอยู่กับสิ่งที่คุณรักให้มากขึ้น
Luck is where opportunity meets preparation. โชค(โอกาส) เราอาจควบคุมไม่ได้ แต่การเตรียมพร้อม เราเป็นเจ้าของที่รับผิดชอบมัน หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์
ที่มา http://kritchakorn.blogspot.com/2011/08/10000.html
วันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2557
ถ้าอยากเป็นเศรษฐีเงินล้าน
ถ้าอยากเป็นเศรษฐีเงินล้าน
สิ่งที่เราต้องทำ
ไม่ใช่การขวนขวายหาเงินล้านให้ได้เหมือนเศรษฐีเหล่านั้น
แต่สิ่งที่เราต้องทำก็คือ
พัฒนาตัวเองให้มีคุณสมบัติเหมือนเศรษฐีเหล่านั้น
แล้วเงินล้านจะตามมาเอง
ผมคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้
หลังจากที่เมื่อคืนประชุมแผนงานปีนี้กับกลุ่มวิทยากรและนักเขียนของ stock2morrow
เชื่อมั้ยครับผมขนลุกเมื่อได้เจอกับคนเก่งๆ จากทุกวงการ
อาทิ วงการหุ้น วงการอสังหาริมทรัพย์
วงการ startup วงการ app
และอีกมากมายกว่า 50 คน
ทุกคนต่างที่มา แต่ล้วนประสบความสำเร็จเหมือนๆ กัน
บางคนเป็นถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาล
บางคนเป็นนักลงทุนพอร์ตร้อยล้าน
บางคนเป็นเจ้าของคอนโดหลายโครงการมูลค่าเป็นพันล้าน
บางคนเป็นเจ้าของธุรกิจเครือข่ายที่มีรายได้หลายล้านต่อเดือน
แต่เวลาที่ทุกคนขึ้นมาพูดบนเวทีคนละไม่กี่นาที
ทุกคนพูดถึงหลักการที่เค้าประสบความสำเร็จเหมือนกันทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นการตั้งเป้าหมาย การทำสิ่งที่รัก การทำเพื่อคนอื่น
ยิ่งให้ยิ่งได้ แล้วสิ่งที่ต้องการจะตามมาเอง
พูดง่ายๆ ว่า คนสำเร็จทำสิ่งที่คนสำเร็จทำ
เค้าก็เลยสำเร็จขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนคนไม่สำเร็จ ก็ยังยืนยันจะทำสิ่งที่คนไม่สำเร็จทำ
โดยไม่คิดจะถามสักคำว่าคนสำเร็จเค้าทำอะไรบ้าง
ก็เลยไม่สำเร็จอยู่อย่างนั้น
ความสำเร็จทิ้งร่องรอยไว้ให้เราเดินตามเสมอ
เพียงแต่เราสนใจจะแกะรอยมันหรือเปล่าเท่านั้นเอง
เดินเข้าไปถามคนสำเร็จสิครับ
ว่าเขาทำอะไร ถึงสำเร็จขนาดนี้
อย่าไปคิดเอง เออเอง ว่าทำแบบนี้มั้งถึงจะสำเร็จ
ชีวิตเราไม่ได้ยืนยาวขนาดนั้น
ที่จะมานั่งลองผิดลองถูกด้วยตัวเองครับ
หลายคนเข้าใจผิด ไปมุ่งที่จำนวนเงินที่อยากได้
โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งที่เราต้องทำคือ
"พัฒนาตัวเองให้เหมือนคนสำเร็จ"
ไม่ใช่ตัวเงิน
โลกนี้ยุติธรรมเสมอครับ
ถ้าคิดและลงมือทำแบบคนสำเร็จ
เราย่อมสำเร็จ
มันเป็นเหตุเป็นผลโดยไม่มีข้อยกเว้น
อย่าไปเลียนแบบจำนวนเงินในธนาคารของเศรษฐีครับ
แต่จงเลียนแบบวิธีคิดของพวกเขา
แล้วไม่นาน จำนวนเงินในบัญชีเรา
จะเพิ่มพูนขึ้นอย่างที่เราคิดไม่ถึง
ที่มา http://www.stock2morrow.com/news/index.php?id=30
สิ่งที่เราต้องทำ
ไม่ใช่การขวนขวายหาเงินล้านให้ได้เหมือนเศรษฐีเหล่านั้น
แต่สิ่งที่เราต้องทำก็คือ
พัฒนาตัวเองให้มีคุณสมบัติเหมือนเศรษฐีเหล่านั้น
แล้วเงินล้านจะตามมาเอง
ผมคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้
หลังจากที่เมื่อคืนประชุมแผนงานปีนี้กับกลุ่มวิทยากรและนักเขียนของ stock2morrow
เชื่อมั้ยครับผมขนลุกเมื่อได้เจอกับคนเก่งๆ จากทุกวงการ
อาทิ วงการหุ้น วงการอสังหาริมทรัพย์
วงการ startup วงการ app
และอีกมากมายกว่า 50 คน
ทุกคนต่างที่มา แต่ล้วนประสบความสำเร็จเหมือนๆ กัน
บางคนเป็นถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาล
บางคนเป็นนักลงทุนพอร์ตร้อยล้าน
บางคนเป็นเจ้าของคอนโดหลายโครงการมูลค่าเป็นพันล้าน
บางคนเป็นเจ้าของธุรกิจเครือข่ายที่มีรายได้หลายล้านต่อเดือน
แต่เวลาที่ทุกคนขึ้นมาพูดบนเวทีคนละไม่กี่นาที
ทุกคนพูดถึงหลักการที่เค้าประสบความสำเร็จเหมือนกันทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นการตั้งเป้าหมาย การทำสิ่งที่รัก การทำเพื่อคนอื่น
ยิ่งให้ยิ่งได้ แล้วสิ่งที่ต้องการจะตามมาเอง
พูดง่ายๆ ว่า คนสำเร็จทำสิ่งที่คนสำเร็จทำ
เค้าก็เลยสำเร็จขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนคนไม่สำเร็จ ก็ยังยืนยันจะทำสิ่งที่คนไม่สำเร็จทำ
โดยไม่คิดจะถามสักคำว่าคนสำเร็จเค้าทำอะไรบ้าง
ก็เลยไม่สำเร็จอยู่อย่างนั้น
ความสำเร็จทิ้งร่องรอยไว้ให้เราเดินตามเสมอ
เพียงแต่เราสนใจจะแกะรอยมันหรือเปล่าเท่านั้นเอง
เดินเข้าไปถามคนสำเร็จสิครับ
ว่าเขาทำอะไร ถึงสำเร็จขนาดนี้
อย่าไปคิดเอง เออเอง ว่าทำแบบนี้มั้งถึงจะสำเร็จ
ชีวิตเราไม่ได้ยืนยาวขนาดนั้น
ที่จะมานั่งลองผิดลองถูกด้วยตัวเองครับ
หลายคนเข้าใจผิด ไปมุ่งที่จำนวนเงินที่อยากได้
โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งที่เราต้องทำคือ
"พัฒนาตัวเองให้เหมือนคนสำเร็จ"
ไม่ใช่ตัวเงิน
โลกนี้ยุติธรรมเสมอครับ
ถ้าคิดและลงมือทำแบบคนสำเร็จ
เราย่อมสำเร็จ
มันเป็นเหตุเป็นผลโดยไม่มีข้อยกเว้น
อย่าไปเลียนแบบจำนวนเงินในธนาคารของเศรษฐีครับ
แต่จงเลียนแบบวิธีคิดของพวกเขา
แล้วไม่นาน จำนวนเงินในบัญชีเรา
จะเพิ่มพูนขึ้นอย่างที่เราคิดไม่ถึง
ที่มา http://www.stock2morrow.com/news/index.php?id=30
เข็มทิศนำเทรน DMI
ในการเดินทางในชีวิตจริง เราอาจจะต้องใช้ทั้งเข็มทิศ และแผนที่ คอยบอกเส้นทางในการเดินทาง และสภาพของเส้นทางที่เราจะเดินทางผ่าน ส่วนในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ถ้าราคาหุ้นเป็นแผนที่เดินทาง เข็มทิศ ก็คงจะเป็น Indicator ชื่อ DMI – Directional Movement Index ซึ่งสามารถหาใช้งานได้ในโปรแกรมกราฟที่ได้มาตรฐานทั่วไป
DMI หรือ Directional Movement Index แค่ชื่อก็บอกแล้วว่า Indicator นี้ใช้บอกทิศทาง ก็คือ มันเป็น Indicator ทีใช้ในการบอก ทิศทางของราคา หรือ Trend นั่นเอง ซึ่ง DMI นั้นเป็น Indicator ที่ถูกสร้างจากการประกอบร่างของ Indicator 2 ตัว คือ
Plus/Minus Directional Index (+DI/-DI) มีหน้าที่ ในการบอกทิศทางของราคาว่าเป็น Trend Up ขาขึ้น หรือ Trend Down ขาลง หรือ Sideway พักตัวไปข้างๆ
Average Directional Index (ADX) มีหน้าที่ บอกพลังของ Trend ถ้ามีค่ามากก็แปลว่า Trend มีพลังแข็งแรงมาก มีค่าน้อยก็แปลว่า Trend มีพลังน้อย
ที่มา http://www.stock2morrow.com/news/index.php?id=46
5 นิสัยทางการเงินที่ควรสอนให้ลูกรู้
เพราะความสำเร็จทุกความสำเร็จมักเริ่มต้นที่บ้าน ดังนั้นความสำเร็จด้านการเงินก็เหมือนกันที่ต้องเริ่มปลูกฝังตั้งแต่ตอนเด็กๆ ซึ่งในความเห็นของผม ผมคิดว่ามันเป็นหน้าที่ที่สำคัญของคนเป็นพ่อเป็นแม่ครับที่จะช่วยลูกสิ่งแรกที่ควรสอนลูกคือการสอนให้รู้จักการออม คือ ยิ่งเริ่มเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี ผมยังจำได้ดีถึงกระปุกหมูที่ผมหยอดตอนเด็กๆ ทุกวันกลับจากโรงเรียนเหลือเงินบาทสองบาทก็เอามาหยอด พอหยอดเต็มแล้วก็ทุบแตกเอาเงินไปฝากธนาคาร แล้วแม่ก็ซื้อตัวใหม่มาให้หยอดต่อ มันไม่ใช่แค่การหยอดเงินหรอกครับ แต่มันเป็นการหยอดนิสัยทางการเงินที่ดีให้กับเด็กๆ ครับนิสัยที่สองที่ต้องให้เกิดขึ้นให้ได้กับเด็กๆ คือ นิสัยระมัดระวังเรื่องค่าใช้จ่าย ให้รู้จักการคิดก่อนจ่ายว่าของที่จะซื้อนั้นถูกหรือแพง จำเป็นหรือไม่จำเป็น ตอนลูกผมเด็กๆ เวลาไปเที่ยวต่างประเทศ เวลาไปช็อปปิ้งลูกอยากได้ของ ภรรยาผมมักให้เครื่องคิดเลขแล้วสอนให้ลูกกดว่า ถ้าแปลงเป็นเงินบาทแล้วแพงไหม สมกับราคาไหม ถ้าอยากได้จริงๆ และสมเหตุสมผลก็ซื้อ แต่ต้องให้คิดก่อนซื้อ อีกอย่างคือ ต้องหัดรอให้ได้ก่อนจะซื้อ ถึงจะได้เห็นคุณค่าของๆ ที่จะซื้อ ตอนเด็กๆ กว่าผมจะซื้อลูกฟุตบอลลูกหนึ่ง ผมต้องทยอยเก็บเงินทุกวันเป็นเดือนกว่าจะซื้อได้ พอซื้อได้นะ โอ้โห...ทะนุถนอมลูกบอลเตะเสร็จเช็ดซะสะอาดทุกวันนิสัยที่สามคือ นิสัยให้รู้จักคุณค่าของเงิน ต้องให้เค้ามีประสบการณ์ทำงานเล็กๆ น้อยๆ เช่น ล้างจาน กวาดบ้าน และได้รับรางวัลเป็นเงินเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้เด็กรู้ว่ากว่าจะได้เงินมาต้องทำงานแลกมา ทำให้รู้คุณค่าของเงิน ทำให้เค้าไม่ใช้เงินเกินตัว รู้ถึงความยากลำบากในการหาเงินนิสัยที่สี่คือ ฝึกให้ลูกบริหารเงินเอง ซึ่งลูกโตหน่อย การให้เงินลูกเป็นรายสัปดาห์ หรือรายเดือน ทำให้เค้ารู้จักการวางแผนการเงินด้วยตนเอง ทุกวันนี้ลูกสาวผมทั้งสองคน เรียนอยู่ต่างประเทศได้งบประมาณเงินที่จะใช้จ่ายรายเดือน เค้าต้องวางแผน จดบันทึกรายรับ รายจ่าย รายเหลือทุกเดือน มันทำให้เกิดนิสัยและความรู้การวางแผนการเงินภาคปฏิบัติง่ายๆ ด้วยตัวเองนิสัยที่ห้าคือ ฝึกนิสัยให้เรียนรู้เรื่องการเงิน การลงทุน ซึ่งเมื่อเด็กโตขึ้นพอรู้พอสอนได้เด็กควรจะรู้ว่าการออมเงินและการลงทุน ไม่ใช่มีแค่ฝากธนาคารเท่านั้น ยังมีเครื่องมือการเงินอื่นๆ อีกหลายอย่าง ผมและภรรยาผมเปิดบัญชีให้ลูกซื้อ ขายกองทุนเป็นชื่อเค้าเอง ให้เค้าเซ็นต์เอกสารเองในใบสมัครทำประกันแบบสะสมทรัพย์ ทำให้เค้าได้เริ่มซึมซับ คุ้นเคยเครื่องมือการเงินหลายๆ อย่างตั้งแต่เด็กน่าเสียดายนะครับที่นิสัยพวกนี้ไม่มีการเรียน การสอนในโรงเรียน ก็คงเป็นหน้าที่ของพ่อแม่แหละครับ ที่จะช่วยสร้างนิสัยการเงินเหล่านี้ให้กับลูกๆ ของเราเอง
ที่มา http://www.stock2morrow.com/news/index.php?id=62
ที่มา http://www.stock2morrow.com/news/index.php?id=62
จะเทรดกำไร ต้องเข้าใจธรรมชาติของการรอ
ผมมีโอกาสเป็นวิทยากรอบรมเรื่องการลงทุนสายเทคนิคบ่อยอยู่บ่อยครั้ง และทุกครั้งผมจะเน้นย้ำชัดเจนทุกครั้งว่าการฟังวิทยากรพูดหน้าห้องนั้นมันยังไม่ใช่ขั้นตอนการเรียนรู้ที่แท้จริง มันเป็นเพียงการรับฟัง:-
1) ประโยชน์ของเครื่องมือ และ
2) วิธีการใช้ เท่านั้น
แล้วต้องนำกลับไปพิจารณาไตร่ตรองให้ละเอียดถี่ถ้วน ซึ่งช่วงนี้แหละคือช่วงของการเรียนรู้อย่างแท้จริง และเมื่อเกิดความเชี่ยวชาญ จึงจะนำไปใช้ได้. และผมเชื่อว่าผู้เข้าอบรมจะเห็นประโยชน์และข้อจำกัดของเครื่องมือจริงก็ต่อเมื่อยกตัวอย่างของจริงให้ดู. เปิด Chart จริง วิเคราะห์กันจะๆ ไปเลย. ซึ่งมันดี แต่...
มันมีจุดบอดครับ เพราะหนึ่งเรื่องที่ไม่สามารถสมมุติขึ้นมาได้คือ "แรงกดดันระหว่างการเทรด" ซึ่งจะต้อง
i) ใช้เงินจริง. มีความรู้สึกได้-เสียเงินจริง และ
ii) รอ Price action ให้ปรากฏ
และการรอนี่แหละ คือความกดดันที่ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าเรื่องเงินเลย. ในการยกตัวอย่าง ถ้าราคาหุ้นยังไม่เกิด Chart pattern หรือสัญญาณอะไร เราก็เลื่อน Chart ไปเรื่อยๆ ยิ่งราคาบีบตัวไม่ไปไหนก็เลื่อนต่อไปอีก. พอ Breakout ก็ว่ากันตามเรื่องไป. แต่ชีวิตจริงมันทำแบบนั้นไม่ได้ เราต้องรอแท่งเทียนแต่ละวันให้จบ. ถ้าราคายังไมไปไหนก็ต้องรอต่อไปอีกวัน บางทีกว่าที่หุ้นจะเริ่มขึ้นจริง ดูกัน 1-2 เดือน แต่ยกตัวอย่างกันแค่ 4-5 นาที ในการเทรดจริง ระหว่างรอมันเกิดคำถามขึ้นเยอะ:-
- หน้าตักมีจำกัด จะรอหุ้นตัวนี้ หรือจะไปใส่หุ้นตัวอื่นก่อนดีมั้ย?
- ถ้ารอหุ้นตัวนี้และมันยังไม่มาเสียที เราจะเสียโอกาสมั้ย?
- เพิ่งเข้าหุ้นได้ มันพักฐาน ไม่ไปไหนมา 2 Wk แล้ว แต่ยังไม่โดน Stop จะอย่างไรดี เห็นหุ้นที่คนอื่นเข้ามันขึ้นทุกวัน เปลี่ยนดีมั้ย?
- เข้าไปเทรด TF เล็ก หลายรอบหน่อยจะดีกว่ามั้ย?
เพราะหลังจากซื้อหุ้นก็เฝ้าหุ้นกัน ทำให้รอกันไม่ค่อยได้ หนีไปเทรด TF เล็กกันเสียส่วนใหญ่ พอเทรด TF เล็กๆ ก็จะเก็บกิน Trend ใหญ่ได้ไม่สุด กำไรก็น้อยตาม แล้วก็มาต้ังคำถามกับตัวเองว่าความรู้ก็ดี มี Stop แต่ไฉน Port ไม่โตสักที ก็เพราะไม่ทำความเข้าใจธรรมชาติของการรอ. เราไปมองว่าการรอมีเพียงมิติเดียว มันไม่ใช่นะครับ สังเกตุกันดีๆ มันมีอะไรมากกว่านั้น
- นอกเหนือจาก "ระยะเวลาของการรอ" แล้ว
- ยังมีเรื่อง "ระยะห่างระหว่างเรากับการรอนั้นๆ" ด้วย.
เราดูเข็มนาฬิการอให้ครบ 1 นาที มันอึดอัดยิ่งกว่าการรอ 1 นาทีเฉยๆ ฉันใด การดูหรือเฝ้าหุ้นอย่างใกล้ชิดเกินไปก็จะทำให้การรอนั้นๆ อึดอัดเพิ่มขึ้นทวีคูณฉันนั้น ดังนั้นต้องสร้างระยะห่างระหว่างเรากับการเทรดให้พอดี เลือกหุ้นให้ดีพอซื้อ ก็วาง Stop แล้ว ก็รอเฉยๆ ดูราคา รับรู้ราคา และทำความเข้าเงินที่เข้าไปเทรดก้อนนี้อยู่เหนือการกำหนดของเราแล้ว ต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของมัน ที่สำคัญมันใช้เวลา สั่งขึ้นไม่ได้ ขึ้นเร็วคือดี ขึ้นช้าหน่อยก็ต้องไม่เป็นไร หลุด Stop ก็ออก และรอรอบใหม่ อย่าไปมองว่าต้องทำกำไรทุกวัน และคาดหวังให้มันขึ้นทุกวัน เราไม่สามารถขายได้ที่จุดสูงสุดของราคาทุกครั้งหรอก. เพราะราคาจะต้องลงมาหน่อยนึงเสมอก่อนที่จะเห็นว่าระดับก่อนหน้าคือจุดสูงสุด ถ้าอยู่ใกล้หุ้น ถ้าเฝ้าหน้าจอมีโอกาสที่จะตกใจขายหุ้นออกไปก่อนได้สูง เทคนิคที่ผมใช้ได้ผลจริงคือ อย่าไปเฝ้ากำไรหรือราคาหุ้น ให้ดู Price action อย่างเดียวพอ
ในการเทรด "หุ้น" ถือ Run trend จะให้ผลตอบแทนในระยะยาวสูงที่สุด. แต่จะ Run trend ได้จริงนั้น จะต้อง "รอ" ให้ได้. รอให้ได้จริงนั้นจะต้องเข้าใจธรรมชาติของการรอครับ. หุ้นไม่ใช่แค่เพียงพาหนะของการหาเงินแต่เป็นพาหนะของการสร้างความมั่งคั่ง อย่ามัวแต่เก็บเหรียญบาทในตลาดที่สร้างให้คุณเป็นมหาเศรษฐีได้
ขอให้โชคดีในการลงทุนกันทุกคนครับ
ที่มา http://www.stock2morrow.com/news/index.php?id=106
เก็บเดือนละ 5,000 ยกระดับฐานะชีวิตคุณได้
เก็บเถอะครับ เพื่ออนาคตของคุณ
คุณเชื่อป่ะว่า แค่เก็บเงินเดือนละ 5,000 บาท วันนี้
จะยกระดับฐานะชีวิตคุณได้
วิธีการอ่ะมี แต่คุณจะตั้งใจทำจริงๆ หรือเปล่าครับ
ผมไม่ได้ชวนคุณไปซื้อหวย
หรือชวนคุณไปลงทุนแบบโลภๆ นะครับ
หากคุณอยากยกระดับชีวิตคุณจริงๆ
มี 2 สิ่งที่คุณต้องทำครับคือ
“วินัย และ ความรู้การเงิน”
หากคุณออมปีแรกเดือนละ 5,000 บาท
ปีที่ 2 ออมเพิ่ม 5% เป็นเดือนละ 5,250 บาท
ปีต่อๆ ไปก็ออมเพิ่มปีละ 5% ไปเรื่อยๆ
นอกจากออมเงินตามนี้แล้ว
รู้จักการจัดสรรการลงทุน
พยายามทำผลตอบแทนของเงินก้อนนี้
ให้ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 10%
ถ้าตอนนี้คุณเริ่มออมที่อายุ 25 ปี
หากคุณทำตามนี้ไปเรื่อย
เมื่อคุณเกษียณที่อายุ 60 ปี
คุณจะมีเงิน 29,814,076 บาท !!!!
หากหลังเกษียณคุณเอาเงินก้อนนี้ไปลงทุนต่อ
เน้นความปลอดภัยของเงินต้นให้ได้สัก 4%คุณจะถอนเงินมาใช้ได้เดือนละ 111,327 บาท
และปีต่อไปถอนเพิ่มอีก 3%ได้จนถึงอายุ 85 ปี
เรื่องออมเงินต่อเนื่องทุกเดือนและออมเพิ่ม
คุณต้องใช้วินัยและการยืนหยัดของคุณ
ส่วนเรื่องผลตอบแทนเฉลี่ย 10% ในระยะยาว
มันเป็นไปได้ครับ แต่ไม่ใช่วิธีเอาไปฝากแบงค์แน่ๆ
เอาแบบง่ายๆ ไปออมในกองทุนหุ้นแบบ Passiveเช่น กองที่ลงท้ายด้วย SET อ่ะครับ
กองแบบนี้ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่าตลาด
อดีต 39 ปี ของตลาดหุ้นไทย
ทำผลตอบแทนเฉลี่ยก็ 12% แล้ว
ถ้าคุณไปลงกองแบบนี้แล้วได้เฉลี่ย 12% เหมือนอดีต
ตอนที่คุณอายุ 60 ปี คุณจะมีเงิน
เพิ่มเป็น 45,392,260 บาท !!!!!
และเช่นกัน
เงินก้อนนี้จะทำให้คุณสามารถถอนเงินมาใช้หลังเกษียณ
เพิ่มเป็นเดือนละ 169,496 บาท
และปีต่อไปถอนเพิ่มอีก3%ได้จนถึงอายุ 85 ปี
ถ้าตอนนี้คุณอายุ 25 ปี ใช้สูตรนี้ได้เลยครับ
แต่ถ้าคุณอายุมากกว่า 25 ปี
คุณก็ต้องออมมากกว่า 5,000 บาทครับ
แต่หากเก็บเก่งกว่านี้
หรือเก็บเพิ่มได้มากกว่านี้
หรือมีฝีมือบริหารผลตอบแทนให้ได้สูงกว่านี้
ก็ยินดีด้วยนะครับ
ที่คุณจะได้รวยมากขึ้นหรือเร็วขึ้นกว่านี้
อ่านถึงตอนนี้แล้วพอไหวไหมครับ
ต้องไหวใช่ไหมครับ
ถ้าอยากยกระดับฐานะของคุณในชาตินี้
คุณเชื่อป่ะว่า แค่เก็บเงินเดือนละ 5,000 บาท วันนี้
จะยกระดับฐานะชีวิตคุณได้
วิธีการอ่ะมี แต่คุณจะตั้งใจทำจริงๆ หรือเปล่าครับ
ผมไม่ได้ชวนคุณไปซื้อหวย
หรือชวนคุณไปลงทุนแบบโลภๆ นะครับ
หากคุณอยากยกระดับชีวิตคุณจริงๆ
มี 2 สิ่งที่คุณต้องทำครับคือ
“วินัย และ ความรู้การเงิน”
หากคุณออมปีแรกเดือนละ 5,000 บาท
ปีที่ 2 ออมเพิ่ม 5% เป็นเดือนละ 5,250 บาท
ปีต่อๆ ไปก็ออมเพิ่มปีละ 5% ไปเรื่อยๆ
นอกจากออมเงินตามนี้แล้ว
รู้จักการจัดสรรการลงทุน
พยายามทำผลตอบแทนของเงินก้อนนี้
ให้ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 10%
ถ้าตอนนี้คุณเริ่มออมที่อายุ 25 ปี
หากคุณทำตามนี้ไปเรื่อย
เมื่อคุณเกษียณที่อายุ 60 ปี
คุณจะมีเงิน 29,814,076 บาท !!!!
หากหลังเกษียณคุณเอาเงินก้อนนี้ไปลงทุนต่อ
เน้นความปลอดภัยของเงินต้นให้ได้สัก 4%คุณจะถอนเงินมาใช้ได้เดือนละ 111,327 บาท
และปีต่อไปถอนเพิ่มอีก 3%ได้จนถึงอายุ 85 ปี
เรื่องออมเงินต่อเนื่องทุกเดือนและออมเพิ่ม
คุณต้องใช้วินัยและการยืนหยัดของคุณ
ส่วนเรื่องผลตอบแทนเฉลี่ย 10% ในระยะยาว
มันเป็นไปได้ครับ แต่ไม่ใช่วิธีเอาไปฝากแบงค์แน่ๆ
เอาแบบง่ายๆ ไปออมในกองทุนหุ้นแบบ Passiveเช่น กองที่ลงท้ายด้วย SET อ่ะครับ
กองแบบนี้ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่าตลาด
อดีต 39 ปี ของตลาดหุ้นไทย
ทำผลตอบแทนเฉลี่ยก็ 12% แล้ว
ถ้าคุณไปลงกองแบบนี้แล้วได้เฉลี่ย 12% เหมือนอดีต
ตอนที่คุณอายุ 60 ปี คุณจะมีเงิน
เพิ่มเป็น 45,392,260 บาท !!!!!
และเช่นกัน
เงินก้อนนี้จะทำให้คุณสามารถถอนเงินมาใช้หลังเกษียณ
เพิ่มเป็นเดือนละ 169,496 บาท
และปีต่อไปถอนเพิ่มอีก3%ได้จนถึงอายุ 85 ปี
ถ้าตอนนี้คุณอายุ 25 ปี ใช้สูตรนี้ได้เลยครับ
แต่ถ้าคุณอายุมากกว่า 25 ปี
คุณก็ต้องออมมากกว่า 5,000 บาทครับ
แต่หากเก็บเก่งกว่านี้
หรือเก็บเพิ่มได้มากกว่านี้
หรือมีฝีมือบริหารผลตอบแทนให้ได้สูงกว่านี้
ก็ยินดีด้วยนะครับ
ที่คุณจะได้รวยมากขึ้นหรือเร็วขึ้นกว่านี้
อ่านถึงตอนนี้แล้วพอไหวไหมครับ
ต้องไหวใช่ไหมครับ
ถ้าอยากยกระดับฐานะของคุณในชาตินี้
แผลในปาก หายเร็วขึ้นได้ด้วยวิธีสุดง่าย
วิธีรักษาแผลในปากสุดง่าย ไม่จำเป็นต้องเสียเงินซื้อยามาทาก็หายได้หากทำตามวิธีเหล่านี้
แผลในปาก ปัญหากวนใจที่ใคร ๆ ก็ต้องเคยเจอ ไม่ว่าจะเผลอกัดลิ้น กัดกระพุ้งแก้มตัวเองด้วยความซุ่มซ่าม ดื่มกินของร้อน ๆ เกินไป หรือไม่ก็อุณหภูมิในร่างกายร้อนเกินไปจนเกิดแผลขึ้น เป็นทีไรก็แสนจะหงุดหงิด งั้นเราจะทำอย่างไรดีละถึงจะสามารถทำให้แผลในปากเหล่านี้หายไปได้ วันนี้กระปุกดอทคอมหาคำตอบมาให้แล้วค่ะ จากเว็บไซต์ beautyhealthtips.in ขอบอกเลยว่าวิธีเหล่านี้ไม่ยาก แถมยังให้แผลหายเร็วได้อย่างแน่นอนเลย
ดื่มน้ำให้มาก ๆ
การดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยลดการก่อตัวของแผลได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการปวดของแผลได้อีกด้วยละค่ะ ดังนั้นอย่าขี้เกียจที่จะหยิบน้ำมาดื่มบ่อย ๆ เลยนะคะ ไม่งั้นแผลหายช้าไม่รู้ด้วยนะ
บ้วนปากด้วยน้ำเย็นผสมเกลือ
น้ำเย็นและเกลือช่วยทำให้ช่องปากของคุณสะอาดขึ้น และยังช่วยให้เชื้อแบคทีเรียในปากลดลงอีกด้วย หากมีแผลในช่องปาก ควรจะบ้วนปากด้วยน้ำเย็นผสมเกลือวันละ 2 - 3 ครั้ง ก็จะช่วยรักษาแผลในปากได้ แถมน้ำเกลือยังช่วยทำให้ปากของคุณสดชื่นอีกด้วย
รับประทานอาหารเย็น ๆ
หากคุณกำลังเป็นแผลในปาก ขอแนะนำให้รับประทานอาหารเย็น ๆ อย่างเช่นไอศกรีม หรือน้ำเย็น ๆ เป็นต้น เพราะอาหารเย็น ๆ จะช่วยทำให้ปากของคุณชุ่มชื่นมากขึ้น
หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มร้อน ๆ หรือทานอาหารรสจัด
การดื่มเครื่องดื่มร้อน ๆ หรือรับประทานอาหารที่มีรสเผ็ดจะยิ่งทำให้แผลอักเสบมากขึ้น และอาจจะทำให้เกิดแผลเพิ่มได้อีกด้วย
หยุดใช้น้ำยาบ้วนปากชั่วคราว
ถ้าหากคุณเป็นคนที่ใช้น้ำยาบ้วนปากเป็นประจำล่ะก็ ให้หยุดใช้ก่อนชั่วคราว เพื่อป้องกันไม่ให้เชื่อโรคแพร่กระจายไปทั่วปาก หรือเข้าไปในแผล แต่ถ้าอยากบ้วนปากก็ควรเปลี่ยนมาใช้น้ำมันจากใบชาเพื่อช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อโรคและแบคทีเรียแทน
รับประทานขิงและกระเทียมให้มากขึ้น
กระเทียมและขิงสามารถช่วยลดการก่อตัวของแผลในปากได้ ดังนั้นถ้าอยากให้แผลในปากหายเร็วขึ้น ก็ควรเติมขิงหรือกระเทียมลงไปในอาหารที่รับประทานทุกวัน
นอกจากวิธีที่บอกไปข้างต้นแล้วรักษาสุขภาพช่องปากให้สะอาดอยู่เสมอ รับประทานที่อุดมไปวิตามิน และหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอัดลม ก็สามารถช่วยทำให้แผลหายเร็วขึ้นได้ แต่ถ้าหากทำทุกวิธีแล้วแผลในปากก็ไม่ยอมหายสักทีกลายเป็นแผลเรื้อรัง การไปพบทันตแพทย์น่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php/64927-แผลในปาก-หายเร็วขึ้นได้ด้วยวิธีสุดง่าย
วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2557
ภูกระดึง
สถานที่ท่องเที่ยวประมาณนี้ สามารถคำนวณระยะทางวางแผนการเดินได้ โซนเส้นสีดำเดินเที่ยวได้ ยกเว้นทางน้ำตกเพ็ญพบต้องรอเจ้าหน้าที่ประกาศว่ามีช้างมาหรือไม่ ส่วนโซนสีเขียวๆ พวกผาส่องโลก โหล่นเจดีย์ ไปไม่ได้ เป็นเขตป่า ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่
ที่มา http://pantip.com/topic/32682786
วันอังคารที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2557
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
แค่หกส่วนก็พอ
ที่กรุงไทเปมีผู้รับเหมาก่อสร้างคนหนึ่ง เป็นคนหนุ่มที่ชาญฉลาดที่รู้กันทั้งวงการ มีหัวการค้าเป็นเลิศ ทำงานคล่องแคล่วว่องไว พร้อมลุยงานหนัก...
-
ผมไม่เคยรู้จักหลวงปู่สุภา พระเกจิชื่อดัง กระทั่งทราบข่าวท่านละสังขารทางหนังสือพิมพ์ พอได้อ่านคอลัมสกู๊ปหน้า 1 ไทยรัฐ วันที่ 5 กันยายน 2...
-
ฝั่งทะเลอันดามัน 1.หมู่เกาะสิมิลัน หมู่เกาะที่โดดเด่นด้วยน้ำทะเลสีฟ้าใสและหาดทรายขาวนวลละเอียดราวกับผงแป้ง หัวใจของสิมิลันคือ หินเรือใบที่โ...
-
" ....... Goal without Action , Just Dreaming ........ " "....... เป้าหมายที่ไม่ลงมือทำ มันก็แค่ความฝันตื่นหนึ่ง .....