วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
เพราะกลัวคืนกำไร เลยขายหมู
เมื่อเข้ามาเทรด ทุกคนทราบดีว่าจิตวิทยาในการลงทุนนะสำคัญ และก็พูดตามๆ กันไปว่าในการที่จะประสบความสำเร็จนั้นเราจะต้องมีจิตวิทยาการลงทุนที่ถูกต้องนะ. ต้องเข้าใจกลไกตลาดทุน (นั่นคือส่วนของความรู้และการวิเคราะห์) และต้องเข้าใจตัวเราเอง. รับมือการขาดทุนได้ใจไม่เสีย และทนกำไรให้สุดได้จริง ไม่หลงระเริงหรือขายหมูไประหว่างทาง. พูดเหมือนๆ กันเพราะฟังมาเหมือนๆ กัน. แล้วมันยังไงต่อ คิดดีๆ ถ้า Concept ฟังดูดีแต่จับต้องไม่ได้ แปลว่ามันใช้ไม่ได้.
ในคลาส TFEX เมือสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา. ผมยื่นคำถามไปว่า TFEX SET50 รอบนี้ใครขายหมูไปบ้าง กว่าครึ่งห้องยกมือ อีกจำนวนไม่น้อยตกรถ แต่เหลือเพียงไม่กี่คนที่ยัง Run trend ขึ้นได้มาจากระดับต่ำพัน. ผมไม่ได้ต้องการวิจารณ์อะไรแม้เราจะรู้ๆ กันอยู่แล้วว่าที่กำไรหรือสำเร็จคือสัดส่วนน้อย. แต่สถิตินี้มันแปลกนะ เพราะผมเชื่อว่าทั้งหมดมีความรู้เรื่อง Technical analysis อย่างน้อยรู้ว่าจุดไหนคือ Stop และมองออกว่าราคาอยู่ในขาขึ้นหรือขาลง และนั่นคือคุณสมบัติขั้นต้นในการ Run trend คำถามคือ ทำไมยังขายหมูกันอยู่
เรื่องนี้น่าสนใจ และเป็นปัญหาเชิงลึกเชิงความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเงิน, วิธีที่เรามองตัวเองและวิธีที่เรามองสภาพแวดล้อมรอบตัว ข้อสังเกตุทั้งที่เกิดขึ้นกับตัวผมเองและกับคนรอบตัว ผมสรุปได้ 3 ข้อดังนี้:-
1. เพราะเรากลัวคืนกำไร ฟังดูผิวเผินนะครับ. แต่การคืนกำไรกระทบใจลึกกว่าที่ใครๆ คิด. สมมุติว่าเราซื้อหุ้น A ที่ 100บ./หุ้น
- พอราคาขึ้นไป 110บ. เราคิดว่าเรากำไร 10บ แล้ว.
- พอราคาขึ้นไป 120บ. เราคิดว่าเรากำไร 20บ. แล้ว.
- พอราคาขึ้นไป 130บ. เราคิดว่าเรากำไร 30บ. แล้ว.
มันเหมือนจะ Ok แต่ชีวิตราคามันไม่ได้ขึ้นอย่างเดียว มันมีพักด้วย. แต่ถ้ายิ่งติดตามอย่างใกล้ชิด เราจะไม่ได้ผูกกับต้นทุนที่ 100บ. อีกต่อไป แต่เราจะผูกใจกับราคาที่สูงสุดล่าสุด หลักฐานคือเมื่อราคาพักฐานหรือย่อลงมาหน่อย ทัังๆ ที่มันยังไม่โดน Stop เราหงุดหงิด
- พอราคาพักฐานมาเหลือ 122บ. โดยหลักการยังกำไรอยู่ 22บ.
แต่ต้นทุนจริงไม่สำคัญอีกต่อไป. เพราะเราผูกใจกับราคา 130บ. ไปแล้ว. สิ่งที่เกิดขึ้นคือเรารู้สึกเจ็บใจ รู้สึกเสียดาย ที่เราคืนกำไร 8บ. "เท่ากันกับการขาดทุน 8บ." และเราก็มักปลอบใจตัวเองว่า "ไม่เป็นไร เก็บกำไรส่วนนึงขึ้นมาก่อน" ลองสังเกตุตัวเองดีๆ เรื่องนี้ถ้าแยกแยะระหว่างการขาดทุนเข้าเนื้อกับการคืนกำไรไม่ได้. โอกาสที่จะ Run สุด Trend แทบเป็นไปไม่ได้เลย.
2. เพราะกลัวคืนกำไร เลยขายหมู และตลาดหุ้นมันเหมือนกลไกอะไรสักอย่างทดสอบขีดจำกัดของเราทั้งในมิติของราคาและเวลา. หลายๆ เราอุตสาห์ถือหุ้นมาตั้งนาน ค่อยๆ ละเลียดขึ้นมา พอเราขายหมูเท่านั้นแหละ. ราคาพุ่งเลย. โคตรแรงและเร็วราวกับตั้งใจแกล้งกัน. อีกข้อสังเกตุหนึ่งที่แปลกคือ ความรู้สึกสุดโต่งไม่ว่าจะดีใจสุดๆ หรือแย่สุดๆ ใจเราแยกแยะไม่ได้. ใจเราสัมผัสแค่ว่ามันสุดโต่งเท่านั้นและเราเสพติดอาการสุดโต่งไปโดยไม่รู้ตัว เหมือนหลายๆ คนเสพติด Drama มีปัญหาไม่จบสิ้น. นี่คือเรื่องเดียวกัน. ทำให้เมื่อเราขายหมูอย่างเจ็บใจไปในรอบนี้. เราจะขายหมูไปทุกรอบ. แย่สุดโต่งแต่มันกลายเป็น Psychological pattern โดยไม่รู้ตัว เกือบทุกรายกรณีเดียวกันหมด. ถ้าได้ Run trend สุดๆ สักครั้งหายเลย แต่เพราะกลัวกำไรมันเลย Run ไม่ได้สักที
3. เพราะกลัวคืนกำไร เลยขายหมู แต่ความต้องการพื้นฐานเพื่อสนอง Self-ego ของเราทุกคนคือ:-
- เราอยากได้ ไม่อยากเสีย
- ตอนได้ อยากได้เยอะๆ ไม่อยากได้น้อยๆ
- เราอยากเป็นฝ่ายถูก ไมใช่ฝ่ายผิด
และไอ้เพราะเราอยากเป็นฝ่ายถูก ไม่ใช่ฝ่ายผิดนี่แหละ เราไปสร้างทัศนคติว่าราคาที่เราขายคือราคาที่ดีแล้ว ไปหาความรู้มารองรับว่าราคาขึ้นมาชนแนว Fibo แล้ว เกิด Bearish div แล้ว "เดี๋ยวมันต้องพักฐาน!!!" หลักฐานคือ รอบที่ TFEX SET50 ขึ้นมารอบนี้ พอเกิด 1,000 จุด หลายๆ คนวิเคราะห์ Chart ว่ามันต้องลงเท่านั้นเท่านี้. ผมสันนิษฐานว่าเขาปิดหน้า Long ไปแล้ว. เพราะมันขัดกับความรู้สึกหากเราซื้อแล้วปิดหน้าซือ และรอซื้อต่อ. ถ้าแบบนั้นเราก็ไม่ต้องขายตั้งแต่ทีแรกสิ. ผลคือเราไปหา "ท่ายาก" มากมายเพื่อเข้าเป็นเหตุผลในการเทรดผิดทาง
เลยมีคนเก่งมากมายที่ไม่ประสบความสำเร็จในการเทรดเสียที ความเข้าใจผิดนี้คือ "วงจรอุบาท" ที่ๆ ส่วนใหญ่หาทางออกไม่เจอ. จะแก้ต้องแก้ที่วิธีคิด และต้องแก้ทั้งหมดพร้อมกัน. จะแก้เรื่องใดเรื่องนึงไม่ได้. ดังนั้นการจด Trading journal จึงควรที่จะเขียนความรู้สึก/หลักคิดของเราในตอนนั้นเข้าไปด้วย ไม่ใช่แค่กลยุทธ์
ที่มา http://www.stock2morrow.com/news/?id=86
วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
ออมในหุ้น
.
ตารางตัวอย่าง..... การออมเงินไว้ในหุ้น เดือนล่ะ 4000 บาท
จากตาราง จะเห็นได้ว่า ถ้าคุณออมเงินไว้ในหุ้น เดือนล่ะ 4000 บาททุกเดือน (ซื้อหุ้น 1 ตัวด้วยเงิน 4000 บาททุกเดือนๆ)
แล้วคุณสามารถทำกำไรจากหุ้นตัวที่ซื้อ ได้ปีล่ะ 10% คุณจะใช้เวลาแค่ 12 ปี ก็จะมีเงิน 1 ล้านบาท
ถ้าคุณออมเงินไว้ในหุ้นเดือนล่ะ 4000 บาททุกเดือน (ซื้อหุ้น 1 ตัวด้วยเงิน 4000 บาททุกเดือนๆ) และทำกำไรจากหุ้นตัวที่ซื้อได้ 15% ต่อปี คุณก็ใช้เวลาแค่ 11 ปีจะมีเงิน 1 ล้าน และ ถ้าทำกำไรจากหุ้นได้ 20% ต่อปี ก็จะใช้เวลาแค่ 10 ปี มีเงิน 1 ล้านบาทครับ
*** แต่ถ้าคุณออมเงินในหุ้น มากกว่าเดือนล่ะ 4000 บาท คุณก็จะมีเงินล้านได้เร็วขึ้นอีกครับ
ที่มา http://pantip.com/topic/32355276
วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
วันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
คนขับรถ หรือว่าใคร ก็รวยได้ถ้าคิดเป็น
คนขับรถของ "หลี่เจียเฉิง" หรือชื่อที่รู้จักในแวดวงธุรกิจทั่วโลกว่า ลีกาชิง ขับรถให้เขามากว่า 30 ปี และจะขอลาออก "หลี่" เห็นว่าเขาทำงานด้วยความตั้งใจและสัตย์ซื่อ จึงจ่ายเช็คจำนวน 2 ล้าน ให้เขา เพื่อใช้ในชีวิตบั้นปลาย คนขับรถบอกว่า ไม่ต้องหรอก เงิน 10-20 ล้าน ผมสามารถหาได้ "หลี่" ประหลาดใจมาก จึงถามว่า คุณทำงานเงินเดือนๆละ 2 หมื่น ทำไมจึงมีเงินสะสมมากมายเช่นนี้ คนขับรถตอบว่า ขณะที่ผมขับรถให้ท่าน ท่านนั่งอยู่ด้านหลัง โทรศัพท์พูดคุยกับผู้อื่นว่า ซื้อที่ดินย่านไหน ผมก็ไปซื้อบ้างเล็กน้อย ท่านพูดว่าจะไปซื้อหุ้นตัวไหน ผมก็ไปซื้อบ้างนิดหน่อย ฉะนั้น จนถึงวันนี้ ผมจึงมีทรัพย์สิน 10-20 ล้านนี่แสดงว่า คุณจะเป็นใคร ไม่สำคัญ แต่คุณอยู่กับใคร สำคัญมากกว่า
อยู่กับล้านกำไรแสน
อยู่กับสิบล้านกำไรล้าน
อยู่กับร้อยล้านกำไรสิบล้าน
ฟางข้าวต้นหนึ่งไม่มีค่าเมื่อใช้มัดผักกาดขาว นั่นคือราคาของผักกาดขาว แต่เมื่อใช้มัดตัวปูใหญ่ ก็เป็นราคาของปูใหญ่
ตามแมลงวันก็ใกล้ห้องสุขา ตามตัวผึ้งก็หาน้ำหวานดอกไม้ อยู่กับคนที่คิดบวก คุณก็จะเป็นคนคิดบวก อยู่กับคนที่คิดลบ คุณก็จะออกปากพูดแต่คำสกปรก
เพื่อนเอ๋ย จงมองดูสิ่งแวดล้อมที่ท่าอยู่ จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงไหม คนโบราณพูดว่า "สิ่งของแยกตามประเภท คนแยกตามกลุ่ม"
ถ้าอายุคุณเกิน 50
1. ควรรู้ว่า ในโลกแห่งความรัก ไม่มีใครผิดต่อใคร มีเพียงใครบางคนไม่รู้จักรักและถนอมใคร
2. ควรรู้ว่า เมื่อประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ก็ต้องรักษาร่างกายของท่าน เมื่อไม่ประสบผลในหน้าที่การงาน ยิ่งต้องให้ตัวเองมีสุขภาพดี
3. ควรรู้ว่า หากมีใครที่รู้จักและเข้าใจคุณ ก็เป็นวาสนายิ่ง แต่ถ้าไม่มีใครรู้จักและเข้าใจคุณ ก็จงรู้จักและเข้าใจตัวเองเถอะ
4. ควรรู้ว่า เพื่อนที่ดี ต้องชื่นชมซึ่งกันและกัน มิใช่เห็นแก่ผลประโยชน์เท่านั้น
5. ควรรู้ว่า กินข้าวต้องกินทีละคำ งานต้องทำทีละอย่าง ไม่มีอะไรที่จะทำสำเร็จในทันที ทุกสิ่งล้วนมีขั้นตอน อย่าเอาแต่เร่งรีบ ควรอยู่อย่างสบายๆ
6. ควรรู้ว่า เพียงแค่สบายๆ ยังไม่พอ ในเวลาที่ควรก็น่าจะเสริมแต่งตัวเองบ้าง ให้วันธรรมดาๆสดใสขึ้นมา
7. ควรรู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีสองด้าน บางครั้งแทบไม่มี ผิด หรือ ถูก สิ่งที่ท่านคิดว่าผิด แต่ผู้อื่นอาจเห็นว่าถูก และสิ่งที่ท่านขวนขวายต่อสู้เพื่อได้มา อาจจะเป็นสิ่งที่คนอื่นกำลังพยายามสลัดทิ้งไป
8. ควรรู้ว่า คุณภาพชีวิตจะดีหรือเลว อยู่ที่จิตใจของท่านตัดสินเอง ท่ามกลางอาหารอันโอชะ เครื่องดื่มเลิศรส แต่แฝงด้วยการเสแสร้ง-หลอกลวง มิสู้มีเพื่อนรู้ใจ 3-4 คน นั่งดื่มชาพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ
9. ควรรู้ว่า ความเหินห่างของพี่น้องในสายเลือด เป็นความเจ็บปวดใจยิ่ง เฉยหน่อย อภัยกันนิด อดทนบ้าง จะทำให้จิตใจเรากว้างขึ้น สงบลง อบอุ่นขึ้น
10. ควรรู้ว่า การปฏิบัติต่อบุพการี อย่าทำอย่างที่คนโง่ทำกัน คือเลี้ยงดูอย่างเสียไม่ได้ แต่พอสิ้นชีวิต กลับทำพิธีเซ่นไหว้ใหญ่โต คนรุ่นบุพการีของเรานั้น พวกเขาผจญความทุกข์ยากมามากมาย กระทำดีต่อพวกท่าน ก็คือการกระทำดีต่อมโนสำนึกของเราเอง แท้จริงพวกเขาไม่ต้องการความฟุ้งเฟ้ออะไร ทุกวันโทรศัพท์ทักทายท่านสักหน่อย หรือถามถึงเรื่องราวในอดีดของท่านสักเรื่อง และอดทนฟังท่านเล่าจนจบ พวกเขาก็พอใจแล้ว
11. ควรรู้ว่า ตำแหน่งและเกรียติยศเป็นเพียงแก้วใบหนึ่ง แต่อุปนิสัยและการอบรมมา จึงจะเป็นสิ่งที่อยู่ในแก้วนั้น ในแก้วผลึก ใช่ว่าจะมีแต่เหล้าองุ่นเลิศรส อาจจะเป็นเพียงน้ำสกปรกแก้วหนึ่งเท่านั้นเอง ในจอกดินเผา ก็มิใช่ว่าจะเป็นเพียงน้ำเปล่า อาจจะเป็นเมรัยชั้นเยี่ยม
12. ควรรู้ว่า ชีวิตของท่านควรจะสงบเรียบ สบายๆ มีความสุข
แปลโดย วันชัย วัฒนนาคะกุล
วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
สิ่งที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จ
สิ่งที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จประกอบด้วย สติปัญญา 1% อีก 99% คือความพยายาม
"โทมัส แอลวา เอดิสัน"
ที่มา http://pantip.com/topic/32291336
"โทมัส แอลวา เอดิสัน"
ที่มา http://pantip.com/topic/32291336
25 สิ่งที่คุณควรเรียนรู้ ก่อนอายุ 25 ปี
พอดีผมขอบอ่านหนังสือครับ เจอบทความน่าอ่าน เลยนำมาแบ่งปันเพื่อน พี่ๆ น้องๆ ชาว Pantip ครับ
1- หัดรับมือความเสี่ยงตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะเมื่อโตขึ้นความเสี่ยงที่ว่าจะหนักหน่วงมากกว่านี้
2- หากคุณอยากประสบความสำเร็จ จงให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน
3- จงพยายามและหัดล้มเหลว เพราะความผิดพลาดนั้นไม่ได้แปลว่าคุณไม่ได้อะไรเลย
4- จงฝันให้ใหญ่ เพราะชีวิตสั้นเกินไปที่จะฝันอะไรครึ่งๆ กลางๆ
5- เพลงคือยารักษาความผิดหวังที่ดีที่สุดและถูกที่สุด จงฟังมันซะ มันช่วยคุณได้

6- หัดออกไปดื่มกับเพื่อนบ้าง เพราะไอเดียต่างๆ มักเกิดขึ้นในวงสนทนา
7- ถ้าไม่ดื่มก็จงไปนั่งคุยกับคนที่ดื่มบ้าง หรือก็ไปพบเจอผู้คนที่ใช้ชีวิตแตกต่างกับคุณบ้าง มันจะทำให้โลกของคุณกว้างขึ้น
8- การเริ่มต้นธุรกิจทั้งที่อายุยังน้อยและไร้ประสบการณ์ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เพราะมันจะเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับการทำธุรกิจครั้งต่อไปของคุณ
9- ถ้ารู้ตัวว่าจะล้มเหลว อย่าไปฝืน ให้รีบล้มเหลวให้เร็วที่สุดและไม่ต้องจมอยู่กับความทุกข์นั้น เพราะมีหลายคนที่เฝ้าดูความล้มเหลวของคุณอยู่ และรอให้คุณแสดงให้เห็นว่าเขาคิดผิด
10- จงเรียนรู้จากผู้คนที่แนวคิดแตกต่างกับคุณ เพราะเขาจะรู้ในสิ่งที่คุณไม่รู้

11- ถ้ามีคนขว้างมะนาวใส่คุณ จงใช้มะนาวพวกนั้นมาคั้นน้ำแล้วแจกจ่ายให้เพื่อนของคุณ มันเป็นวิธีที่ดีกว่าการขว้างมะนาวกลับไปเยอะ
12- ความสำเร็จไม่ใช่ความสุข แต่ความสุขจะนำมาซึ่งความสำเร็จ
13- การที่ไม่อยากเป็นลูกน้องใคร ไม่ได้หมายความว่าคุณพร้อมที่จะเป็นเจ้านายตัวเอง หรือเป็นเจ้าของบริษัท
14- จงเป็นคนโง่ท่ามกลางคนฉลาด เพราะมันจะทำให้คุณเติบโตขึ้นท่ามกลางความท้าทาย
15- เฉพาะคนที่ร่วมต่อสู้ ฝ่าฟัน และเคียงข้างความล้มเหลวเท่านั้น ที่คุณควรร่วมเฉลิมฉลองด้วย

16- อย่าเสียเวลาเอาชนะคนที่ด้อยกว่า เพราะมันไม่ได้ทำให้คุณประสบความสำเร็จมากขึ้น
17- ถ้าคิดจะวัดกับใคร เลือกคู่ต่อสู้ให้ดี เพราะไม่งั้นมันจะยิ่งทำให้คุณเสียเวลาไปเปล่าๆ
18- อ่านหนังสือให้มากเท่าที่จะมากได้ เพราะมันคือวัตถุดิบที่คนจำนวนหนึ่งมองข้ามไป
19- เพื่อนแท้จะไม่ถามว่าคุณหายหัวไปไหนมาตั้งนาน แต่เขาจะช่วยคุณทันทีที่คุณออกปากขอเขา
20- อาชีพในฝันไม่มีอยู่จริง จนกว่าคุณจะสร้างมันขึ้นมา
21- ออกไปเจอโลกภายนอกให้มาก เพราะมันกว้างใหญ่กว่าในบ้านหรูๆ หรือจอมือถือสวยๆ มากนัก และมันทำให้คุณรู้ว่าโลกนี้ยังมีอะไรให้คุณทำอีกบ้าง
22- รู้จักที่จะกล่าวขอบคุณใครก็ตาม เพราะคำนี้มีพลังมากกว่าที่คุณคิด
23- ทุกคนเกิดมาพร้อมเป้าหมายในชีวิต แต่คุณจะไม่มีวันพบจนกว่าคุณจะเริ่มค้นหามัน
24- โลกนี้กว้างใหญ่และน่ากลัว แต่เมื่อคุณโตขึ้น คุณจะรู้ว่านี่คือความจริงที่ต้องเผชิญ ฉะนั้นไม่มีเวลาให้คุณหลบอยู่หลังก้อนหินแล้วนะ
25- ชีวิตนี้ไม่มีอะไรง่าย แต่การมีผู้สนับสนุนจะทำให้คุณเดินทางไปได้ไกลขึ้น

ที่มา http://pantip.com/topic/32291336
1- หัดรับมือความเสี่ยงตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะเมื่อโตขึ้นความเสี่ยงที่ว่าจะหนักหน่วงมากกว่านี้
2- หากคุณอยากประสบความสำเร็จ จงให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน
3- จงพยายามและหัดล้มเหลว เพราะความผิดพลาดนั้นไม่ได้แปลว่าคุณไม่ได้อะไรเลย
4- จงฝันให้ใหญ่ เพราะชีวิตสั้นเกินไปที่จะฝันอะไรครึ่งๆ กลางๆ
5- เพลงคือยารักษาความผิดหวังที่ดีที่สุดและถูกที่สุด จงฟังมันซะ มันช่วยคุณได้
6- หัดออกไปดื่มกับเพื่อนบ้าง เพราะไอเดียต่างๆ มักเกิดขึ้นในวงสนทนา
7- ถ้าไม่ดื่มก็จงไปนั่งคุยกับคนที่ดื่มบ้าง หรือก็ไปพบเจอผู้คนที่ใช้ชีวิตแตกต่างกับคุณบ้าง มันจะทำให้โลกของคุณกว้างขึ้น
8- การเริ่มต้นธุรกิจทั้งที่อายุยังน้อยและไร้ประสบการณ์ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เพราะมันจะเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับการทำธุรกิจครั้งต่อไปของคุณ
9- ถ้ารู้ตัวว่าจะล้มเหลว อย่าไปฝืน ให้รีบล้มเหลวให้เร็วที่สุดและไม่ต้องจมอยู่กับความทุกข์นั้น เพราะมีหลายคนที่เฝ้าดูความล้มเหลวของคุณอยู่ และรอให้คุณแสดงให้เห็นว่าเขาคิดผิด
10- จงเรียนรู้จากผู้คนที่แนวคิดแตกต่างกับคุณ เพราะเขาจะรู้ในสิ่งที่คุณไม่รู้
11- ถ้ามีคนขว้างมะนาวใส่คุณ จงใช้มะนาวพวกนั้นมาคั้นน้ำแล้วแจกจ่ายให้เพื่อนของคุณ มันเป็นวิธีที่ดีกว่าการขว้างมะนาวกลับไปเยอะ
12- ความสำเร็จไม่ใช่ความสุข แต่ความสุขจะนำมาซึ่งความสำเร็จ
13- การที่ไม่อยากเป็นลูกน้องใคร ไม่ได้หมายความว่าคุณพร้อมที่จะเป็นเจ้านายตัวเอง หรือเป็นเจ้าของบริษัท
14- จงเป็นคนโง่ท่ามกลางคนฉลาด เพราะมันจะทำให้คุณเติบโตขึ้นท่ามกลางความท้าทาย
15- เฉพาะคนที่ร่วมต่อสู้ ฝ่าฟัน และเคียงข้างความล้มเหลวเท่านั้น ที่คุณควรร่วมเฉลิมฉลองด้วย
16- อย่าเสียเวลาเอาชนะคนที่ด้อยกว่า เพราะมันไม่ได้ทำให้คุณประสบความสำเร็จมากขึ้น
17- ถ้าคิดจะวัดกับใคร เลือกคู่ต่อสู้ให้ดี เพราะไม่งั้นมันจะยิ่งทำให้คุณเสียเวลาไปเปล่าๆ
18- อ่านหนังสือให้มากเท่าที่จะมากได้ เพราะมันคือวัตถุดิบที่คนจำนวนหนึ่งมองข้ามไป
19- เพื่อนแท้จะไม่ถามว่าคุณหายหัวไปไหนมาตั้งนาน แต่เขาจะช่วยคุณทันทีที่คุณออกปากขอเขา
20- อาชีพในฝันไม่มีอยู่จริง จนกว่าคุณจะสร้างมันขึ้นมา
21- ออกไปเจอโลกภายนอกให้มาก เพราะมันกว้างใหญ่กว่าในบ้านหรูๆ หรือจอมือถือสวยๆ มากนัก และมันทำให้คุณรู้ว่าโลกนี้ยังมีอะไรให้คุณทำอีกบ้าง
22- รู้จักที่จะกล่าวขอบคุณใครก็ตาม เพราะคำนี้มีพลังมากกว่าที่คุณคิด
23- ทุกคนเกิดมาพร้อมเป้าหมายในชีวิต แต่คุณจะไม่มีวันพบจนกว่าคุณจะเริ่มค้นหามัน
24- โลกนี้กว้างใหญ่และน่ากลัว แต่เมื่อคุณโตขึ้น คุณจะรู้ว่านี่คือความจริงที่ต้องเผชิญ ฉะนั้นไม่มีเวลาให้คุณหลบอยู่หลังก้อนหินแล้วนะ
25- ชีวิตนี้ไม่มีอะไรง่าย แต่การมีผู้สนับสนุนจะทำให้คุณเดินทางไปได้ไกลขึ้น
ที่มา http://pantip.com/topic/32291336
วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
Townhouse/ Townhome/ Homeoffice ในเมืองไทยต่างกันอย่างไร
หลายท่านอาจจะเคยสงสัยกันอยู่บ่อยๆนะคะว่า ทาวน์เฮ้าส์, ทาวน์โฮม และ โฮมออฟฟิศ ทั้ง 3 คำนี้แตกต่างกันหรือไม่ และอย่างไร คำว่าทาวน์เฮ้าส์ และทาวน์โฮม ในบ้านเรานั้นมีความหมายที่ใกล้เคียงกันมาก จนหลายๆ ท่านอาจสงสัยว่ามันเหมือนกันหรือไม่ วันนี้ CheckRaka.com จะขอเสนอมุมมอง และความเห็นของเราค่ะว่า บ้านทั้งสามแบบนั้น มีลักษณะเหมือน หรือแตกต่างกันอย่างไร
ทาวน์เฮ้าส์ (Townhouse)
คำว่า "Townhouse" หากแปลตามพจนานุกรมของ Cambridge.org นั้นจะแปลได้ว่า "One of a row of similar houses that are usually joined by a shared wall" แปลง่ายๆ ก็ประมาณว่า "บ้านที่มีหน้าตาคล้ายๆ กัน และมีกำแพงติดกัน หรือร่วมกันเป็นแถวเป็นแนวไป" อาจมีความสูงเพียงแค่ 2 ชั้น อาจใช้วัสดุก่อสร้างพื้นฐาน และใช้พื้นที่ในการเพาะปลูกไม่มาก ตัวอย่างของโครงการหมู่บ้านที่เรียกตัวเองว่าเป็นประเภททาวน์เฮ้าส์ ก็เช่น
ภาพตัวอย่างโครงการทาวน์เฮ้าส์จากบ้านพฤกษา 75 เพชรเกษม-ยอแซฟ โดย Pruksa
ภาพตัวอย่างโครงการทาวน์เฮ้าส์จากโนโว วิลล์ วงแหวน-ลำลูกกา คลอง 5 โดย Supalai
ภาพตัวอย่างโครงการทาวน์เฮ้าส์จากโกลเด้น ทาวน์ ปิ่นเกล้า-จรัญสนิทวงศ์
จาก Goldenland Residence
ทาวน์โฮม (Townhome)
เป็นคำที่เพิ่งนิยมใช้ในช่วงหลังๆ พัฒนามาจากคำว่า Townhouse นั่นเอง เป็นคำที่ไม่มีอธิบายความหมายไว้ใน English Dictionary ทั่วไป แต่เป็นคำที่มักใช้โดยบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในทางการตลาด ให้ดูดีดูทันสมัย เพราะในแง่ภาษาอังกฤษคำว่า "Home" ให้ความรู้สึกของความอบอุ่นในบ้าน หรือความเป็นบ้านของเราเอง ไม่ใช่เพียงแค่ตัวโครงบ้าน (House) หรือ Feeling ของการเป็นบ้านของคนอื่น เป็นต้น ตัวอย่างของโครงการหมู่บ้านที่เรียกตัวเองว่าเป็นทาวน์โฮมก็เช่น กัสโต้ ท่าน้ำนนท์ - พระราม 5 จาก กัสโต้ วิลเลจ (ในเครือ ควอลิตี้เฮ้าส์) และ โมดิ วิลล่า - ลาดกระบัง สุวรรณภูมิ โดย Property Perfect
ตัวอย่างภาพโครงการทาวน์โฮมจากกัสโต้ ท่าน้ำนนท์ - พระราม 5
โดย กัสโต้วิลเลจ (ในเครือ ควอลิตี้เฮ้าส์)
ตัวอย่างภาพโครงการทาวน์โฮมจากโมดิ วิลล่า - ลาดกระบัง สุวรรณภูมิ
โดย Property Perfect
โฮมออฟฟิศ (Homeoffice)
คำว่า "Homeoffice" หากแปลตามพจนานุกรมของ Cambridge.org นั้นจะแปลได้ว่า "An office in someone′s home, or a room in a home with a phone, computer, etc. in it" แปลง่ายๆ ก็ประมาณว่าสำนักงานกึ่งที่พักนั่นเอง มีการออกแบบให้มีพื้นที่สำหรับใช้ทำงานได้สะดวก และมีการออกแบบระบบเพื่อรองรับการใช้งานคอมพิวเตอร์ หรือเครื่องแฟกซ์ไว้เป็นอย่างดี ในบ้านเรา Homeoffice มักจะหมายถึง โครงการบ้านจัดสรรที่ออกแบบมาเพื่อให้เป็นโฮมออฟฟิศโดยเฉพาะ ซึ่งจะต่างจากบ้าน หรือตึกแถวที่นำมาดัดแปลงให้เป็นสำนักงานออฟฟิศในภายหลัง ทำเลที่อาจเป็นที่นิยมสำหรับโฮมออฟฟิศก็เช่น แถวพระราม 3 ทาวน์อินทาวน์ ตัวอย่างโครงการที่เรียกตัวเองว่าเป็นโฮมออฟฟิศก็เช่น บี สแควร์ พระราม 9-เหม่งจ๋าย จาก แสนสิริ และ S-Town Home Office ลาดพร้าว 130 จาก เสนาดีเวลลอปเม้นท์
ตัวอย่างภาพโครงการโฮมออฟฟิศจากบี สแควร์ พระราม 9 - เหม่งจ๋าย โดย Sansiri
ตัวอย่างภาพโครงการ S-Town ลาดพร้าว 130 โดย Sena Development
ข้อแตกต่าง
Townhouse เทียบกับ Townhome
ในบ้านเรานั้น Townhouse กับ Townhome นั้นค่อนข้างจะคล้ายคลึงกันมาก และก็ไม่มีกฎเกณฑ์ หรือหลักการตายตัวว่าแตกต่าง หรือจะต้องแตกต่างกันอย่างไร แต่ถ้าจะแยกแยะความแตกต่างนั้น ก็พอจะแยกแยะได้ดังนี้
(ก) ในแง่ภาพลักษณ์และการวางตำแหน่งสินค้า - ในบ้านเรานั้น เจ้าของโครงการบางราย และผู้บริโภคอาจมองความแตกต่างของคำสองคำนี้ว่าเป็นเรื่องของภาพลักษณ์ (Image) และการวางตำแหน่งสินค้า (Positioning) ของเจ้าของโครงการ ซึ่งก็จะเป็นประมาณว่า ถ้าเป็นบ้านแถวเรียงกัน ใช้วัสดุธรรมดา สูงแค่ 2 ชั้น ราคาไม่สูง ให้ความรู้สึกเหมือนบ้านตึก ก็อาจจัดกลุ่มโครงการตัวเองว่าเป็น Townhouse ส่วนบ้านแถวที่สูงเกิน 2 ชั้น มีดีไซน์สวย ใช้วัสดุที่ดีกว่า ดูโมเดิร์น มีพื้นที่ใช้สอยมากกว่า และให้ความรู้สึกอบอุ่นไม่เหมือนบ้านตึก ก็อาจจัดกลุ่มโครงการตัวเองว่าเป็น Townhome แต่หลักการตรงนี้ก็ไม่ได้เป็นกฎตายตัว เจ้าของโครงการบางรายอาจไม่ได้มองแบบนี้ก็ได้ (เช่น แสนสิริหรือโนเบิล) และโครงการไหนจะเลือกใช้คำไหนก็แล้วแต่เจ้าของโครงการจะเลือก ซึ่งก็คงจะมีเรื่องของ Branding และ Positioning เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
(ข) ในแง่กฎการควบคุมอาคาร - ปกติการก่อสร้างอาคารจะต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวงมหาดไทยฉบับที่ 55 (พศ. 2543) ออกภายใต้ พรบ. ควบคุมอาคาร ซึ่งไม่ว่าโครงการจะเรียกตัวเองว่าเป็น Townhouse หรือ Townhome แต่ถ้าจำนวนชั้นต่างกัน กฎเกณฑ์การก่อสร้างที่ใช้บังคับจะไม่เหมือนกัน กล่าวคือ ถ้า Townhouse หรือ Townhome นั้นมีจำนวนชั้นไม่เกิน 3 ชั้น ตามกฎจะเรียกว่าเป็น "บ้านแถว" ซึ่งในการสร้างบ้านแถวก็จะต้องปฏิบัติตามกฎของบ้านแถว เช่น ต้องมีความกว้างไม่น้อย 4 เมตร สร้างติดกันได้ไม่เกิน 10 คูหา เป็นต้น (คำว่า "บ้านแถว" ในกฎกระทรวงนี้คือห้องแถว หรือตึกแถวที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยซึ่งมีที่ว่างด้านหน้า และด้านหลังระหว่างรั้ว หรือแนวเขตที่ดินกับตัวอาคารแต่ละคูหา และมีความสูงไม่เกิน 3 ชั้น) แต่ถ้าอาคารที่สร้างขายไม่ว่าจะเรียกตัวเองว่าเป็น Townhome หรือ Townhouse ถ้าสูงเกิน 3 ชั้น เช่น 4 ชั้น กฏหมายจะจัดเป็นประเภทอื่นไป เช่นเป็น "อาคารพาณิชย์" หรือ "ตึกแถว" ซึ่งในการสร้างก็ต้องทำตามกฎของอาคารพาณิชย์ หรือตึกแถว เป็นต้น
Homeoffice เทียบกับ Townhouse / Townhome
ส่วน Homeoffice นั้นค่อนข้างจะแตกต่างกับ Townhouse และ Townhome ชัดเจน คือ
(ก) วัตถุประสงค์ - Homeoffice เป็นบ้านที่ออกแบบตั้งแต่แรกมาเลยว่าให้เป็นออฟฟิศสำนักงานกึ่งที่พัก และภายในโครงการอาจมีที่จอดรถส่วนกลางค่อนข้างมากกว่า Townhouse และ Townhome ทั้งนี้ เพื่อความสะดวกในการรองรับลูกค้าที่จะมาติดต่อ หรือเยี่ยมเยียนออฟฟิศภายในโครงการ
(ข) ในแง่กฎการควบคุมอาคาร - Homeoffice มักจะถูกจัดให้เป็น "อาคารพาณิชย์" ซึ่งก็จะต้องปฏิบัติตามกฎการสร้างอาคารพาณิชย์ เช่น ต้องมีที่ว่างอย่างน้อยเท่าไหร่ ต้องมีการร่นแนวอาคารอย่างน้อยเท่าไหร่ เป็นต้น คำว่า"อาคารพาณิชย์" ในกฎกระทรวงคืออาคารที่ใช้เพื่อประโยชน์ในการพาณิชยกรรม หรือบริการธุรกิจ รวมถึงอาคารอื่นใดที่ก่อสร้างห่างจากถนน หรือทางสาธารณะไม่เกิน 20 เมตร ซึ่งอาจใช้เป็นอาคารเพื่อประโยชน์ในการพาณิชยกรรมได้
ตารางสรุปความแตกต่าง
เป็นยังไงกันบ้างคะคราวนี้พวกเราคงน่าจะพอทราบถึงข้อแตกต่างคร่าวๆ ของบ้านทั้ง 3 แบบแล้ว หวังว่าบทความนี้คงจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยเพื่อให้ท่านได้ทราบถึงข้อแตก ต่าง และสามารถนำไปประกอบการเลือกซื้อทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม และโฮมออฟฟิศได้ดีขึ้นนะคะ
ที่มา http://pantip.com/topic/32283331
วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
แค่หกส่วนก็พอ
ที่กรุงไทเปมีผู้รับเหมาก่อสร้างคนหนึ่ง เป็นคนหนุ่มที่ชาญฉลาดที่รู้กันทั้งวงการ มีหัวการค้าเป็นเลิศ ทำงานคล่องแคล่วว่องไว พร้อมลุยงานหนัก...
-
ผมไม่เคยรู้จักหลวงปู่สุภา พระเกจิชื่อดัง กระทั่งทราบข่าวท่านละสังขารทางหนังสือพิมพ์ พอได้อ่านคอลัมสกู๊ปหน้า 1 ไทยรัฐ วันที่ 5 กันยายน 2...
-
ฝั่งทะเลอันดามัน 1.หมู่เกาะสิมิลัน หมู่เกาะที่โดดเด่นด้วยน้ำทะเลสีฟ้าใสและหาดทรายขาวนวลละเอียดราวกับผงแป้ง หัวใจของสิมิลันคือ หินเรือใบที่โ...
-
" ....... Goal without Action , Just Dreaming ........ " "....... เป้าหมายที่ไม่ลงมือทำ มันก็แค่ความฝันตื่นหนึ่ง .....