วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

นักเก็งกำไรกับผู้ลงทุนระยะยาว ต่างกันอย่างไร




ชื่อ:  d2.jpg
ครั้ง: 1612
ขนาด:  18.9 กิโลไบต์



ผู้ลงทุนระยะยาวจะแตกต่างกับนักเก็งกำไร (Speculator) อย่างชัดเจน เพราะผู้ลงทุนระยะยาวจะให้ความสำคัญกับมูลค่าหุ้นคือความถูกแพง และให้ความสำคัญกับมูลค่าธุรกิจที่ตนเองลงทุนมากกว่าไปติดตามราคาหุ้นรายวันที่เป็นไปตามอารมณ์ตลาด เขาจะให้ความสำคัญกับภาวะตลาดน้อยในช่วงสั้น และมีความอดทนในการรอคอย


ส่วนรางวัลของก...ารรอคอยนั้นก็คือ ผลตอบแทนที่ได้เป็นกอบเป็นกำ ไม่ใช่แค่ได้กำไรเล็กๆ น้อยๆ เพราะเขาเข้าใจในธุรกิจที่เขาลงทุน และเขาเห็นศักยภาพในการทำกำไรของกิจการนั้นๆ จึงไม่จำเป็นต้องหวั่นไหวกับข่าวสารทุกวัน ไม่ต้องกังวลกับการวิ่งเข้าวิ่งออกตลาดหุ้นเป็นรายวัน

เพราะ Business Model ของกิจการต่างๆ จะไม่เปลี่ยนภายในช่วงข้ามคืนหรือข้ามเดือน นอกจากนี้ ผู้ลงทุนระยะยาวจะวิเคราะห์กับคาดการณ์ความ สามารถในการทำกำไรของบริษัทในอนาคตเป็นหลัก นี่คือข้อแตกต่างจากนักเก็งกำไร

นักเก็งกำไรนั้นลงทุนระยะสั้นกว่ามาก ซึ่งในระยะสั้น ข่าวสารต่างๆ และพฤติกรรมตลาดมีผลต่อราคาหุ้นมากที่สุด ดังนั้น นักเก็งกำไรจึงต้องติดตามข้อมูลข่าวสารตลอดเวลา เช่นต้องติดตามว่าตอนนี้หุ้นใดอยู่ในกระแสนิยม มีการย้ายไปเล่นเซคเตอร์ไหนบ้าง QE3 จะออกไหมและเมื่อไหร่ฯลฯ

ทั้งนี้ นักเก็งกำไรจะคาดเดาจิตวิทยาของผู้เล่นในตลาดหุ้นเป็นหลัก และนักเก็งกำไรที่มีความรู้ก็มักใช้เทคนิคัลเป็นเครื่องมือช่วย กับดูเรื่องกระเสเงินต่างชาติที่ไหลเข้าออกตลาด แต่ผู้ลงทุนระยะยาวจะดูปัจจัยพื้นฐาน

แต่น่าเสียดายเหมือนกันที่นักเก็งกำไรส่วนใหญ่ของบ้านเรามักไม่ใช่ผู้มีความรู้ในการลงทุนที่เพียงพอ ถึงกับมีผู้จัดการกองทุนชาวต่างประเทศผู้หนึ่งที่มีฝีมือดีมากในการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเอาไปเล่าให้ผู้ลงทุนต่างชาติฟังในการสัมมนาใหญ่ด้านการลงทุนว่า ตลาดหุ้นไทยมีแต่นักเก็งกำไรแบบแม่บ้าน เขาพูดแบบนี้จริงๆ ที่แวนคูเวอร์

ในเมื่อมันเป็นความจริง จึงไม่โกรธที่เขาว่าผู้เล่นในตลาดบ้านเราเป็นแมงเม่า แต่เคืองนิดๆ เพราะคำว่าแมงเม่ามันไม่ได้ระบุเพศ ในขณะที่คำว่าแม่บ้านมันหมายถึงผู้หญิงชัดๆ เลย

นักเก็งกำไรจำนวนมากนิยมซื้อขายหุ้นที่มีราคาต่อหุ้นถูก เช่นหุ้นละ 30 บาท 50 บาท แม้อัตราส่วนราคาต่อกำไร (PE) ของหุ้นนั้นจะแพง เขาก็ยังเข้าลงทุนถ้าราคาต่อหุ้นยังไม่สูงมากนัก นอกจากนี้ นักเก็งกำไรจะมีต้นทุนการซื้อขายสูงกว่าผู้ลงทุนระยะยาว เพราะมีการซื้อขายบ่อยกว่า

การลงทุนทุกอย่างมีความเสี่ยง การลงทุนระยะยาวก็เช่นกัน ความเสี่ยงเฉพาะของการลงทุนระยะยาวคือการจมอยู่กับข้อมูลรายวันมากเกินไป ทำให้จิตไม่นิ่ง และทำให้การลงทุนแกว่งไปตามอารมณ์ตลาดได้ ทั้งๆ ที่กฏข้อแรกของการลงทุนระยะยาวคือเมื่อตัดสินใจลงทุนในหุ้นใดที่มีการพินิจพิเคราะห์อย่างดีแล้ว จะต้องไม่หวั่นไหวไปกับอารมณ์และพฤติกรรมตลาดในช่วงสั้นๆ


หนทางแก้ไขคือ ต้องรู้จักกระจายการลงทุน ซึ่งต้องทำให้เหมาะสม ไม่กระจายมากเกินไปจนเกินกำลังตน และต้องเน้นลงทุนในบริษัทที่มีคุณภาพในการทำกำไร (Quality of earnings) มีทีมผู้บริหารของบริษัทที่มีความสามารถ และมีธรรมาภิบาล

ที่ผ่านมาคนไทยที่ลงทุนในหุ้น มักจะไม่นิยมการลงทุนระยะยาว เพราะคนไทยไม่อดทน ไม่เข้าใจ ตื่นตระหนกกับความผันผวนของราคาในช่วงสั้นๆ แต่ปัจจุบันเริ่มมีนักลงทุนระยะยาวเพิ่มขึ้น เพราะนักลงทุนเข้าถึงข้อมูลการลงทุนได้ง่ายขึ้น มีการให้ความรู้เรื่องการลงทุนมากขึ้น มีการเผยแพร่เรื่องการวางแผนชีวิตและเป้าหมายทางการเงินในอนาคต ทำให้มีผลิตภัณฑ์ทางการเงินเกิดขึ้นเพื่อรองรับ เช่น กองทุนรวมระยะยาว กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ กับการลงทุนและคุ้มครองตนเองผ่านประกันชีวิต


แต่ใช่ว่าเมื่อลงทุนระยะยาวแล้วจะต้องทนถือไปตลอดหรือขายออกไม่ได้

เพราะการลงทุนระยะยาวสามารถทำควบคู่ไปกับลงทุนแบบ Trading ได้เช่นกัน เช่นในบางช่วงที่อยู่ๆ ราคาหุ้นก็ปรับตัวเร็วเกินไป หรือเกินกว่าที่บริษัทจะทำกำไรได้เร็วขนาดนั้นจริง เราก็ต้องลดน้ำหนักการลงทุนลง อาจจะลดทั้งหมดหรือบางส่วนก็แล้วแต่กรณี เพราะเวลาตลาดเริ่มรับรู้ว่ากำไรขนาดนั้นมันไม่ใช่ ณ วันนี้ ก็จะขายออก และอาจเร่งขายแบบตลาดแตก (Panic sell) เราจะได้มีเงินสดมารับซื้อของถูกได้


แต่หากไม่รู้จังหวะไหนที่ราคาหุ้นเกินพื้นฐานกำไร หรือขึ้นเร็วไปแล้ว ก็ขอให้ลงทุนผ่านกองทุนรวมจะดีกว่า

อย่างไรก็ตาม หากคิดว่าจะเก็งกำไร เทรดเข้าๆ ออกๆ เพื่อให้มีชีวิตชีวา เพื่อสร้างความตื่นเต้น ก็ขอแนะนำให้ไปใช้บริการเครื่องเล่นเฮอร์ริเคนมหาสนุกหรือชิงช้าไวกิ้ง ที่ Dream World หรือเอามือไปนาบเตารีดร้อนๆ แก้เบื่อชีวิตจะดีกว่า เพราะคุณจะเสียเงินน้อยกว่า แต่ได้รับความมัน ความตื่นเต้น จนล้นเหลือ เรียกว่า PE ต่ำนั่นแหละ เพราะจ่ายน้อย แต่ได้ผลเกินคุ้ม

อย่าลืมว่าในการลงทุนระยะยาว นอกจากจะต้องใส่ใจกับการรักษาเงินต้นแล้ว เรายังต้องแสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่าการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ นอกจากนี้ การลงทุนระยะยาวก็ช่วยให้ความผันผวนของราคาหุ้นลดลงด้วย

คำแนะนำที่ผู้ลงทุนระยะยาวควรพิจารณาอีกข้อก็คือ ควรมี Well-Balanced Portfolio คือมีส่วนผสมการลงทุนที่เหมาะสมในสินทรัพย์หลัก ได้แก่ พันธบัตรและตราสารหนี้ หุ้น ทองคำ และอสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ เพราะการกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ต่างประเภทกันแบบนี้จะช่วยลดความเสี่ยงลงได้ เนื่องจากเราไม่รู้หรอกว่าตัวไหนจะได้ดี ตัวไหนจะเป็นตัวถ่วง ส่วนจะเป็นหุ้นประเทศไหนบ้าง พันธบัตรอะไรบ้างนั้น ก็แล้วแต่โอกาสในตลาด


คำแนะนำอมตะของยอดกูรูการลงทุนตลอดกาลคือ Benjamin Graham ที่ว่า ....

“In the short run, the market is a voting machine but in the long run it is a weighing machine” นั้น ยังสามารถใช้ได้อยู่

เขาหมายถึง "ไม่ควรกังวลกับความผันผวนเอาแน่เอานอนไม่ได้ของราคาหุ้นในระยะสั้น เนื่องจากในระยะสั้นตลาดหุ้นมีพฤติกรรมเหมือนเครื่องลงคะแนน แต่ในระยะยาวตลาดหุ้นจะเป็นเครื่องชั่งน้ำหนัก"


แปลอีกทีคือ “ในระยะสั้นราคาซื้อขายจะผันผวนไปตามความนิยมกับอารมณ์ของกระแสคนส่วนใหญ่ แต่ในระยะยาว การลงทุนเป็นเรื่องของรายได้กับความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจ ซึ่งจะเป็นมูลค่าที่เราได้รับจากการลงทุน”


สุดท้ายก็คือ จงจำไว้เสมอว่า ....

การลงทุนระยะยาวเหมือนกับวิ่งมาราธอน ซึ่งแม้ใครถึงก่อนจะเป็นผู้ชนะ แต่ทุกคนก็สามารถถึงเส้นชัยได้ อยู่ที่ว่าแต่ละคนรับความเสี่ยงในการลงทุนได้มากน้อยแค่ไหน

ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=35208

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

แค่หกส่วนก็พอ

ที่กรุงไทเปมีผู้รับเหมาก่อสร้างคนหนึ่ง  เป็นคนหนุ่มที่ชาญฉลาดที่รู้กันทั้งวงการ  มีหัวการค้าเป็นเลิศ  ทำงานคล่องแคล่วว่องไว  พร้อมลุยงานหนัก...