วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2555

วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2555

ข้างหลังคำพูดที่สวยหรู
คำหรู "ความรักไม่ได้ขึ้นกับรูปร่างหน้าตา แต่อยู่ที่ความเข้าใจซึ่งกันและกัน"

คำหลัง "..แต่เรามักอยากชอบทำความเข้าใจซึ่งกันและกันกับคนที่หน้าตาดีๆ"

คำหรู "คุณช่างเรียบเรียงคำพูดได้อย่างสละสลวยและดูเฉียบแหลม"

คำหลัง "..แต่การกระทำของคุณช่างงี่เง่าห่วยแตก"

คำหรู "การแสดงออกของคุณ แสดงถึงมั่นใจกล้าแสดงออกอย่างมาก"

คำหลัง "..เพราะถ้าเป็นผมแต่งตัวแบบนี้ คงไม่กล้าออกจากบ้านแน่"

คำหรู "สบายใจเถอะ ถึงคุณจะลางานไปหลายๆวัน แต่ก็ไม่มีอะไรเสียหายหรอก"


คำหลัง "..เพราะถึงนายอยู่ ก็ไม่ค่อยได้ทำอะไรอยู่แล้ว"

คำหรู "ความคิดของนายมีประโยชน์ต่อพวกเรามาก"

คำหลัง "..ถ้านายจะลงมือทำอะไรบ้างนะ"

คำหรู "คุณดูดีกว่าภาพพจน์ที่เห็นภายนอกมากนะ"


คำหลัง "..เพราะภาพพจน์ภายนอกของนายดูแย่มาก"

คำหรู "ไม่น่าเชื่อเลยว่า งานนี้จะเป็นผลงานของคุณ"


คำหลัง "..เพราะถ้าคุณทำ มันควรจะห่วยกว่านี้
(ขโมยงานใครเขามารึป่าวว่ะ)

คำหรู "ดีชั้นไม่ได้รักคุณ เพราะคุณเป็นทายาทเศรษฐีพันล้านหรอกนะ"


คำหลัง "..แต่ถ้าคุณไม่ใช่ทายาทเศรษฐี ชาตินี้คุณคงไม่มีโอกาส

แม้จะสบตาฉันก็ได้"

คำหรู "ถ้าทุกคนก็อปปี้เพลงของเราไปเป็นMP3มากๆ

ต่อไปเราอาจจะไม่มีเพลงให้ก็อปอีก"


คำหลัง "..เพราะเราก็จะไม่มีแรงไปก็อปปี้เพลงฝรั่งมาให้ศิลปิน

หน้าตาหล่อๆสวยๆ มาร้องเพลงหลอกแด๊กคุณต่อไปอีก"

คำหรู "ใช้บริการมือถือของเรา ช่วยคุณประหยัดได้สุดๆ"


คำหลัง "..เพราะใช้โทรออกไม่ค่อยได้ ประหยัดเห็นๆ"

คำหรู "Nobody perfect"


คำหลัง "..Untill you love him (or her)

        ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=35552
ขอบเขตของความรอบรู้
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร


ข้อสังเกตของผมอย่างหนึ่งสำหรับนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จก็คือ หลาย ๆ คนมีความเชี่ยวชาญในหุ้นบางกลุ่มหรือบางแบบเป็นพิเศษ บางคนก็เชี่ยวชาญในการเล่นหุ้นด้วยเทคนิคบางอย่าง ถ้าจะพูดแบบ วอเร็น บัฟเฟตต์ ก็คือ พวกเขามักลงทุนภายใต้ Circle Of Competence หรือ “ขอบเขตของความรอบรู้” ที่ตนมีอยู่หรือได้สร้างขึ้นมา

ลองมาดูว่าขอบเขตของความรอบรู้ (COC) ที่ผมพอจะนึกได้ว่ามีคนใช้และทำเงินให้ได้มากมายในตลาดหุ้นไทยมีอะไรบ้าง

COC แรกที่ผมจะพูดถึงก็คือ การปั่นหุ้น นี่คือวิธีทำเงินที่ได้ผลดีมากในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยเป็นกระทิงที่ร้อนแรงย้อนหลังไปไม่ต่ำกว่า 15-20 ปี โดยเฉพาะในช่วงที่กฏหมายกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ยังไม่มีผลในการควบคุม คนที่รวยจากการปั่นหุ้นในยุคนั้น จำนวนไม่น้อยก็ “เจ๊ง” ไปจากภาวะวิกฤติ ความผิดพลาด และอาจจะเกิดจากการ “หักหลัง” และอื่น ๆ แต่ผมคิดว่าหลาย ๆ คนก็ยังรวยอยู่จนถึงทุกวันนี้ ในปัจจุบัน ผมคิดว่านี่ก็ยังน่าจะเป็น COC ที่สามารถทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ เพียงแต่การปั่นหุ้นในวันนี้อาจจะต้องมีกรรมวิธีที่ซับซ้อนขึ้นและคนที่ทำได้อาจจะต้องมีคุณสมบัติส่วนตัวเฉพาะ เช่น เป็นคนมีเงินมากพอสมควรและอาจจะต้องมีความกล้าได้กล้าเสียและกล้าเสี่ยงกับการถูกจับหรือชื่อเสียงส่วนตัวด้วย

COC ที่สองนั้นน่าจะใกล้เคียงกับอันแรก นั่นก็คือ การเก็งกำไร นี่เป็นความเชี่ยวชาญในการ “เล่นหุ้น” ที่สามารถนำ COC ของการปั่นหุ้นมาใช้ได้มาก ยกเว้นแต่ว่าการซื้อขายหุ้นของตนเองนั้นจะต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้เข้าข่ายที่เป็นความผิดตามกฏหมาย นอกจากนั้น หลาย ๆ คนยังต้องเรียนรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์ “ทางเทคนิค” ที่จะช่วยให้การเก็งกำไรประสบความสำเร็จ เท่าที่เห็น ผมคิดว่าคนที่จะสามารถสร้าง COC ของการเก็งกำไรได้นั้น มักจะต้องมีเงินพอสมควร ต้องใช้เวลากับการลงทุนมาก ต้องติดตามการซื้อขายหุ้นนาทีต่อนาทีในช่วงที่กำลังเก็งกำไร และที่สำคัญ จะต้องมีจิตใจกล้าได้กล้าเสียมากกว่านักลงทุนทั่ว ๆ ไป ผมเชื่อว่านักเก็งกำไรหลายคนที่ประสบความสำเร็จในวันนี้อาจจะเคยเป็นนักปั่นหุ้นในอดีต ส่วนนักเก็งกำไรหน้าใหม่ ๆ นั้น ที่จะเชี่ยวชาญจริง ๆ น่าจะมีไม่มากนัก

COC ที่สามที่ผมคิดว่าน่าจะมีคนพัฒนาตนเองจนมีความเชี่ยวชาญและประสบความสำเร็จในการลงทุนที่น่าประทับใจก็คือ “การเก็งกำไรกับผลประกอบการ” นี่เป็นกลยุทธ์ในสไตล์ VI ที่ทำเงินได้เร็วและได้ผลตอบแทนที่สูงมากในช่วงที่ผ่านมาเร็ว ๆ นี้ คนที่เชี่ยวชาญในการเก็งกำไรกับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนนั้น แน่นอนต้องมีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์กิจการของบริษัท เขาอาจจะต้องเจาะข้อมูลลึก ๆ จากผู้บริหารรวมถึงต้องวิเคราะห์ภาวะอุตสาหกรรมและอื่น ๆ ที่สำคัญเขาจะต้องหาบริษัทที่จะมีผลกำไรเติบโตโดดเด่นมากผิดปกติไม่ใช่การเติบโตธรรมดา ๆ ปัจจัยที่สำคัญอื่น ๆ ก็เช่นต้องเป็นกิจการที่ไม่มีหรือไม่ใคร่มีนักวิเคราะห์สนใจด้วยเหตุที่อาจจะเป็นหุ้นเล็กเกินไปหรือเป็นกิจการที่ซบเซามานานซึ่งทำให้ราคาหุ้นค่อนข้างเหงาและอยู่ในระดับต่ำ นอกจากนั้น คนที่จะประสบความสำเร็จอาจจะต้องมีความสามารถในการ “โปรโมต” หุ้นให้เป็นที่รับรู้และสนใจแก่นักลงทุนหลังจากที่ตนเองได้ซื้อหุ้นไว้แล้ว

COC ที่สี่ที่ผมจะพูดถึงก็คือ “การลงทุนระยะยาวในหุ้นของกิจการที่โดดเด่น” COC นี้คล้ายกับ COC ที่สามในแง่ที่ว่ามันเป็นสไตล์ของ VI สิ่งที่แตกต่างก็คือระยะเวลาของการลงทุนที่มักจะยาวกว่ามาก การเลือกกิจการที่ลงทุนก็จะเน้นที่กิจการที่มีความเข้มแข็งในเชิงโครงสร้างสูงกว่า พูดง่าย ๆ เน้นไปที่ DCA หรือความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนของบริษัทมากกว่าเรื่องของผลประกอบการในระยะสั้นเพียงหนึ่งหรือสองปี

COC ที่ห้าก็คือ ความเชี่ยวชาญในแง่ของ อุตสาหกรรม นี่คือความรอบรู้ในการที่จะวิเคราะห์และเข้าใจธุรกิจที่จะลงทุน เช่น คนที่เชี่ยวชาญเรื่องธุรกิจค้าปลีกก็จะรู้ว่าอะไรเป็นปัจจัยในการที่บริษัทจะทำกำไรได้ดี อะไรเป็นความเสี่ยง เขาจะสามารถคาดการณ์ถึง ยอดขาย กำไร การเติบโต และอื่น ๆ ของบริษัทได้ใกล้เคียงและสามารถนำมาใช้ในการตัดสินใจลงทุนได้ บางคนเก่งทางด้านของกิจการที่เป็นโรงงานผู้ผลิต เขาก็จะรู้เรื่องกระบวนการต่าง ๆ ของโรงงานและนำไปสู่การคาดการณ์ผลประกอบการได้ดี บางคนอาจจะชำนาญด้านอสังหาริมทรัพย์ เช่นเดียวกับที่บางคนรู้เรื่องเกี่ยวกับปิโตรเคมีและพลังงาน

COC สุดท้ายที่ผมจะพูดถึงและมีคนที่เชี่ยวชาญสามารถทำเงินร่ำรวยได้ก็คือ การเล่นหุ้นของกิจการที่เป็นวัฏจักร์ นี่เป็น COC ที่น่าสนใจเพราะว่ามันสามารถทำเงินได้เร็วและมากในเวลาอันสั้น นี่คือการสร้างความเชี่ยวชาญโดยเน้นไปที่อุตสาหกรรมที่มีความผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจ พวกเขาจะมองอุตสาหกรรมที่ตกต่ำลงโดยเฉพาะจากเหตุผลทางเศรษฐกิจและกำลังฟื้นตัวขึ้น เข้าไปซื้อหุ้นในราคาต่ำและรอขายเมื่อผลประกอบการฟื้นตัว

ผมคงไม่สามารถจาระไนได้หมดว่าขอบเขตของความรอบรู้นั้นมีกี่วงและอะไรบ้างเพราะว่ามันมีเยอะมากจนนับไม่ถ้วน เช่นบางคนอาจจะไปเจาะหา หุ้นของกิจการที่มีทรัพย์สินมาก บางคนอาจจะสร้างความเชี่ยวชาญในการหาหุ้น Turn Around หรือหุ้นที่กำลังฟื้นตัวจากสภาพที่ใกล้ล้มละลาย แต่สิ่งที่จะบอกได้ก็คือ การสร้าง COC นั้นต้องใช้เวลาศึกษาติดตามมากบ้างน้อยบ้างขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของสิ่งที่ศึกษาและความสามารถของนักลงทุน

นักลงทุนบางคนหรือจำนวนมากนั้น ผมเชื่อว่า ไม่มี COC ซักวงเลย ดังนั้น การที่จะลงทุนแล้วประสบความสำเร็จก็เป็นไปได้ยาก อย่างไรก็ตาม VI หลายคนนั้น มี COC จำนวนมากและขยายวงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พูดง่าย ๆ เขาสามารถเล่นหรือลงทุนในหลายรูปแบบและหลายอุตสาหกรรมและประสบความสำเร็จจนร่ำรวย ประเด็นก็มีอยู่บ้างเหมือนกันในแง่ที่ว่า COC บางอย่างมันซับซ้อนเกินไปจนเราไม่อาจจะเข้าใจมันได้ลึกพอ บางที การศึกษาหลากหลาย COC มากเกินไปก็ทำให้เรารู้จักมันไม่ดีพอแต่เราอาจจะคิดว่าเรารู้ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่อันตรายยิ่งกว่าการที่เรารับรู้ว่าเราไม่รู้จักมันดีพอ ดังนั้น สำหรับผมแล้ว ผมมักจะพยายามจำกัดวง COC ของผมไว้แล้วเลือกลงทุนเฉพาะในสิ่งที่ผมรู้ เหนือสิ่งอื่นใด เรามีเงินเพียงนิดเดียว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลงทุนในหุ้นจำนวนมากมายเพื่อที่จะประสบความสำเร็จ

ที่มาhttp://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=35610&s=1c8098948268ac7e9fac14e56ccfd624
 
ที่มา  http://www.facebook.com/

วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

บัฟเฟตต์-โซรอส ลงทุนถูกนิสัย ยังไงก็ชนะ(International Bestseller) ตอนที่2บาปมหันต์เจ็ดประการ(2)

บัฟเฟตต์-โซรอส ลงทุนถูกนิสัย ยังไงก็ชนะ

ตอนที่2บาปมหันต์7ประการ(2)

บาปมหันต์ข้อที่ 4 กระจายการลงทุน

ชื่อ:  1กระจายการการล&#35.jpg
ครั้ง: 417
ขนาด:  28.3 กิโลไบต์

ความจริงสถิติที่น่าทึ่งของบัฟเฟตต์มาจากการวิเคราะห์หาบริษัทยอดเยี่ยมประมาณครึ่งโหลได้ และลงทุนแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยในบริษัท 
โซรอสบอกว่าสิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่คุณทำผิดหรือทำถูก อยู่ที่ว่าคุณทำเงินได้แค่ไหนเวลาคุณตัดสินใจถูก และ เสียเงินมากแค่ไหนเวลาคุณตัดสินใจผิด ซึ่งเป็นที่มาของความร่ำรวยของเขา เหมือนกันเป๊ะกับที่มาของความรวยของบัฟเฟตต์ นั่นคือ ลงทุนหนักๆ และทำเงินให้ได้ก้อนใหญ่ แล้วก็ใหญ่กว่าเงินที่เสียไปยามที่ลงทุนผิดพลาด
การกระจายการลงทุนเป็นอะไรที่ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง การถือหุ้นอยู่ที่ละเล็กทีละน้อยนั้น ไม่ต้องบอกก็เดาได้เลยว่า แม่ตัวใดตัวหนึ่งจะทำกำไรได้มหาศาล แต่ผลในทางบวดที่จะเกิดกับความมั่งคั่งโดยรวมของคุณจะน้อยมาก
(ความเห็นส่วนตัวของผม(youngblood)คิดว่าข้อนี้มือใหม่ควรระวังนะครับ การกระจายการลงทุนถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ไม่งั้นคุณมีโอกาสหมดตัวได้ นอกจากว่าคุณลงทุนเป็นระยะเวลานานแล้วสามารถวิเคราะห์ได้แม่นยำเหมือนกับบัฟเฟตต์,โซรอส, และ ดร.นิเวศน์ จึงเหมาะกับการลงทุนแบบไม่กระจายความเสี่ยง)


บาปมหันต์ข้อที่ 5 เชื่อว่าคุณต้องเสี่ยงมากหากจะทำกำไรให้ได้มากๆ

ชื่อ:  2178_investing_flash.jpg
ครั้ง: 414
ขนาด:  63.7 กิโลไบต์

ความจริง เช่นเดียวกับผู้ประกอบการทั้งหลาย นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมักไม่ชอบเสี่ยง และทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อหลีกเลี่ยงมัน และลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากความเสี่ยงเหล่านั้น การหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเป็นรากฐานที่สำคัญของการสร้างความมั่งคั่ง ซึ่งตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับมายาคติทางวิชาการ เพราะตามความจริงก็คือ ถ้าคุณเสี่ยงมาก คุณก็มีโอกาสที่จะเสียเงินมากยิ่งกว่าที่จะทำกำไรได้เยอะๆเสียอีก

บาปมหันต์ข้อที่ 6 เชื่อในการมีอยู่ของ”ระบบ”ว่ามีใครบางคน อยู่ที่ไหนซักแห่งบนโลกใบนี้ ได้พัฒนาระบบขึ้นมา ด้วยวิธีอะไรบางอย่าง อาจเป็นการวิเคราะห์เทคนิค วิเคราะห์พื้นฐาน โดยใช้คอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่โหราศาสตร์ ที่สามารถรับประกันได้ว่าจะทำกำไรได้อย่างแน่นอน

ชื่อ:  3forexmoniter.jpg
ครั้ง: 414
ขนาด:  22.5 กิโลไบต์

ความจริง การเชื่อในลักษณะนี้คล้ายคลึงกับความเชื่อในตัว “กูรู” ที่เชื่อว่าหากนักลงทุนคนใดสามารถเอาระบบการลงทุนของพวกกูรูมาใช้ก็จะทำกำไรได้เหมือนพวกกูรู ความเชื่อในตัวกูรูนี้เองทำให้คนที่สร้างระบบสำเร็จรูปเพื่อซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ทำเงินได้มหาศาล



บาปมหันต์ข้อที่ 7 เชื่อว่าคุณรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตและมั่นใจว่าตลาดจะ เป็น อื่นไปไม่ได้นอกจาก ต้อง เป็นไปอย่างที่คุณคิด

ชื่อ:  4images.jpg
ครั้ง: 421
ขนาด:  7.4 กิโลไบต์

ความจริงความเชื่อในลักษณะนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิดความบ้าคลั่งในการลงทุน ไม่แปลกหรอกที่คนจะเชื่อนักเศรฐศาสตร์ เออร์วิง ฟิชเชอร์ พูดไว้ในปี 1929 ว่า “ตลาดหุ้นมาถึงจุดที่อาจลดความร้อนแรงลงบ้างเล็กน้อย” แต่ไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้น ตลาดกลับล้มครืนลงชนิดไม่เหลือชิ้นดี”
ไม่แปลกเลยที่ราคาทองในปี1970กำลังพุงกระฉูด ผู้คนเริ่มเชื่อว่า ราคาทองคำสูงเกินจริงไปแล้ว แต่ตรงกันข้าม ราคาทองกลับสูงขึ้นไปอีก และสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
นักลงทุนที่เชื่อว่าต้องพยากรณ์อนาคตให้ได้จึงจะทำเงินได้ จะพยายามอย่างยิ่งเพื่อหาวิธีพยากรณ์ตลาดให้ถูกต้อง นักลงทุนที่ทำบาปข้อท่7 นี้มักคิดว่าตัวเองรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้น เมื่อความบ้าคลั่งอวสารลง พวกเข้าจึงสูญเงินแทบทั้งหมด บางทีถึงขนาดต้องเสียบ้านเสียรถ หรือไม่เหลือเสื้อผ้าติดตัวเลยก็มี


Credit: หนังสือบัฟเฟตต์-โซรอส ลงทุนถูกนิสัย ยังไงก็ชนะ

ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=35429

วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

ยืดอายุได้ด้วยเคล็ดลับดี ๆ ที่ขอบอกต่อ..........
ชื่อ:  58666.jpg
ครั้ง: 2108
ขนาด:  34.8 กิโลไบต์

ไม่ว่าใครๆก็ไม่อยากแก่



1.เดินวันละ 30 นาที ยืดอายุได้ 2.2 ปี

การเดินออกกำลังกายนั้น เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่ชอบออกกำลังกายหนัก ๆ ดังนั้นคุณควรเดินให้ได้อย่างน้อยวันละ 30 นาที แต่ทั้งนี้คุณก็ไม่ควรออกกำลังแบบหักโหมจนเกินไปนัก เพราะร่างกายของคุณอาจจะรับไม่ไหว ซึ่งคุณสามารถเลือกปรับเวลา ให้เหมาะสมกับศักยภาพร่างกายของคุณได้เช่นกัน ส่วนคนที่ไม่ชอบออกกำลังกาย หรือไม่มีเวลาออกกำลัง ก็ลองเปลี่ยนจากการเดินออกกำลัง มาใช้วิธีนับก้าวเดินในชีวิตประจำวันของคุณแทนก็ได้ ซึ่งคุณควรพยายามเดินให้ได้ประมาณ 2,000 ก้าวต่อวัน เท่านี้สุขภาพดี ๆ ก็มาอยู่ตรงหน้าคุณแล้วค่ะ


2.พยายามเคลื่อนไหวร่างกาย ยืออายุได้อีก 5.6 ปี

พฤติกรรมในชีวิตประจำวันของคนเรานั้น ตั้งอยู่บนความเสี่ยงของโรคหัวใจโดยไม่รู้ตัว หากแต่ในละวันของคุณ คุณใช้ชีวิตไปกับการดูโทรทัศน์มากเกินไป โดยที่ไม่ขยับตัวไปไหนเลย ก็จะทำให้ร่างกายของคุณก็จะเผาพลาญพลังงานได้น้อย เมื่อนานวันเข้าก็จะเกิดการสะสมไขมันในเส้นเลือด และไขมันเหล่านั้นก็เข้าไปขัดขวางระบบไหลเวียนเลือดในร่างกาย ซึ่งสิ่งที่จะตามมาก็คือ โรคหัวใจนั่นเอง เมื่อรู้กันแบบนี้แล้ว ช่วงพักเบรกของรายการ ก็อย่าลืมขยับตัวนิด บิดซ้ายบิดขวาหน่อย หรือเล่นกับลูกสักครู่ ก็จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจได้แล้ว




3.ออกกำลังกาย ยืดอายุได้ 1.8 ปี

กีฬาต่าง ๆ ที่คุณสนใจ เช่น เต้นแอโรบิก วิ่ง ยกน้ำหนัก หรือกีฬาอื่น ๆ ถ้าคุณทำเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้งแล้ว คุณก็จะพบกับความเปลี่ยนแปลงในร่างกายของคุณ เพราะนอกจากการออกกำลังกายจะทำให้กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ได้ทำงานอย่างเต็มที่แล้ว ยังช่วยสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกายอีกด้วย และยังไม่หมดเพียงเท่านี้การออกกำลังกายยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันต่าง ๆ และช่วยลดความเสี่ยงจากโรคกระดูกพรุนอีกด้วย เมื่อคุณรู้ประโยชน์จากการออกกำลังกายกันขนาดนี้แล้ว เรามาชวนคนรอบข้างไปออกกำลังกายกันดีกว่า


4.ใช้ไหมขัดฟันทุกวัน ยืดอายุได้ 3-5 ปี

คุณอาจจะไม่เชื่อว่าแบคทีเรียเล็ก ๆ ในปากของคุณนั้น เป็นตัวการของโรคร้ายต่าง ๆ เพราะนอกจากจะเป็นสาเหตุของโรคในช่องปากแล้ว ยังเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหัวใจอีกด้วย ฉะนั้นการแปรงฟันอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ คุณจึงควรใช้ไหมขัดฟันหลังจากการแปรงฟันด้วย โดยควรใช้ทั้งตอนเช้าและก่อนเข้านอน เพื่อคืนความสดชื่นให้กับช่องปากของคุณ



5. เข้านอนให้เร็วขึ้นวันละ 15 นาที : ยืดอายุได้อีก 3 ปี

15 นาทีแรกเป็นช่วงที่เราเคลิ้มหลับ ดังนั้นหากคุณเข้านอนเร็วกว่าเวลาปกติอีก 15 นาที ก็จะทำให้คุณมีเวลานอนหลับมากขึ้น และคุณรู้หรือเปล่าว่า การนอนหลับมีความสำคัญกับร่างกายของเรามากทีเดียว เพราะช่วงที่คุณนอนหลับ เป็นช่วงเวลาที่ร่างกายของคุณจะได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอไป ในทางกลับกัน ถ้าหากคุณนอนน้อย หรือนอนหลับไม่เพียงพอ นอกจากจะทำให้เกิดรอยคล้ำรอบดวงตาแล้ว ยังทำให้คุณมีอาการหลง ๆ ลืม ๆ อีกด้วย
         ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=35083
ตำราเล่นหุ้น "เสี่ยปู่" "เก่งจริงต้องเห็นโอกาสซื้อ"

เป้าหมายการลงทุนของนักลงทุนต่างก็มีจุดหมายเดียวกันคือ "สร้างกำไร" แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำสำเร็จได้อย่างที่หวังตลอด เพราะระหว่างทางลงทุนมีทั้งกำไรและขาดทุนผสมกันไป บ้างก็สบจังหวะ "ซื้อถูก ขายแพง" บางครั้งก็ "ซื้อแพง ขายถูก" ก็มี แม้แต่นักลงทุนขาใหญ่อย่าง "สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล" เจ้าของฉายา "เสี่ยปู่" ที่มีพอร์ตใหญ่หลักพันล้านบาทขึ้นไปก็ผ่านเส้นทางนี้มาเช่นกัน กว่าจะก้าวมายืนแถวหน้า

ขาใหญ่รายหนึ่งในวันนี้ ที่นักลงทุนรายย่อยต่างจด ๆ จ้อง ๆ ว่าเสี่ยปู่เล่นหุ้นตัวไหนบ้าง เพราะราคามักจะพุ่งทันที เสี่ยปู่ได้เปิดห้องเทรดส่วนตัวที่ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ให้สัมภาษณ์ "ประชาชาติธุรกิจ" ดังนี้

"คนที่ เก่งจริงต้องเห็นโอกาสซื้อก่อนคนอื่น เทคนิคแบบนี้ VI จะคิดเหมือนกันทุกคน โดยจะดูอย่างเดียวคือ แนวโน้มกำไรโตหรือไม่ ราคายังต่ำอยู่ไหม ถ้าใช่ก็ซื้อสะสมแล้วถือยาวไปเลย ซึ่งบางครั้งยอมรับว่า ผมก็ฟลุกเจอหุ้นดี แต่แบบไม่ฟลุกก็คือ ใช้วิธีเข้าไปดูงบการเงิน และคุยกับผู้บริหาร ถ้าพบหุ้นดีที่เจอปัจจัยลบระยะสั้นจนราคาปรับตัวลดลง ผมก็ยังเข้าซื้อต่อ เพราะหากจะลงทุนต้องเน้นมองไปที่อนาคต"

เขาเล่าว่า สไตล์เล่นหุ้นไม่ได้ต่างจากนักลงทุนวีไอ (นักลงทุนหุ้นคุณค่า) ที่มองระยะยาว ซึ่งจะมีทั้งการคัดกรองหุ้นก่อนซื้อ โดยกำหนดคุณสมบัติไว้ดังนี้คือ 1.พิจารณา earning หากอยู่ระดับประมาณ 20% ก็ถือว่าน่าพึงพอใจ 2.งบการเงินมีความแข็งแกร่งมากน้อยแค่ไหน 3.สินค้าของบริษัทโดดเด่นเหนือคู่แข่ง หรือเป็นผู้นำของอุตสาหกรรมหรือไม่ 4.ผู้บริหารมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจแค่ไหน เป็นต้น ซึ่งช่องทางหนึ่งที่จะได้ข้อมูลคือ การเข้าพบผู้บริหารบริษัทเพื่อสอบถามข้อมูล รวมถึงดูจากงบการเงินที่ผ่านมา และพิจารณาถึงโอกาสการเติบโตในอนาคต ฯลฯ หากพบว่า บจ.ใดผ่านคุณสมบัติก็จะทยอยเข้าซื้อ โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาปรับตัวลดลง

เสี่ยปู่หยิบยกตัวอย่างหุ้นที่ชื่นชอบลงทุน คือหุ้นเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ราคาหุ้นร่วงหนักเมื่อปีที่แล้ว จากปัจจัยลบ 2 เรื่องคือ สึนามิที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นและน้ำท่วมในไทย แต่ด้วยความเชื่อว่าปัจจัยเหล่านี้เป็นผลกระทบระยะสั้นจึงทยอยเก็บหุ้นลี สซิ่งเข้ามา อาทิ บมจ.เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง (ASK) หรืออย่างหุ้น บมจ.ฐิติกร (TK) ธุรกิจให้สินเชื่อเช่าซื้อรถมอเตอร์ไซค์ที่เขาเข้าซื้อตั้งแต่ราคาประมาณ 8 บาทต้น ๆ แต่ขณะนี้ปรับขึ้นมาอยู่ที่แถว 14 บาทแล้ว

อีกหุ้นที่ เสี่ยปู่เข้ามาซื้อเก็บคือ บมจ.คาร์มาร์ท (KAMART) ทำธุรกิจขายเครื่องสำอางเป็นหลัก ซึ่งบริษัทนี้เปลี่ยนชื่อมาจาก บมจ.ไดสตาร์ อิเลคทริก คอร์เปอเรชั่น (DISTAR) ทำธุรกิจขายเครื่องใช้ไฟฟ้าและรถยนต์ NGV ที่ประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนักจน "ฉาย บุนนาค" นักเล่นหุ้นหนุ่มชื่อดังตัดสินใจทิ้งหุ้นตัวนี้ออกไปแบบไม่ไยดี แต่สำหรับ "เสี่ยปู่" เล็งเห็นว่าธุรกิจนี้มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก จึงเข้ามาแตะมือ "ฉาย" รับช่วงต่อ ผลคือราคาหุ้น KAMART ดังกล่าวก็ทะยานขึ้นต่อเนื่องจากต้นปีที่อยู่ 4.36 บาท ล่าสุดอยู่ที่ราคาประมาณกว่า 7 บาท

นี่เป็นตัวอย่างหุ้นที่เสี่ยปู่เล่าสู่กันฟัง ซึ่งในพอร์ตยังมีหุ้นและวอร์แรนต์ (ใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญ) ถืออยู่อีกมากรวมกว่า 70 บริษัทแล้ว แต่เขาก็ออกตัวว่าไม่ใช่ขาใหญ่

"ผมไม่ใช่ขาใหญ่ประเภทมีกำลังซื้อเยอะ เพราะเงินส่วนใหญ่ของผมไปอยู่ในหุ้นที่ผมเห็นว่ามีโอกาสทางธุรกิจเกือบหมด แล้ว ดังนั้นจึงผิดกับพวกเก็งกำไรที่จะมีกำลังซื้อเยอะ เวลาเข้าลงทุนแต่ละครั้งก็จะเข้าเต็มพอร์ต ต่างจากลักษณะของผมจะเน้นทยอยซื้อช่วงจังหวะตลาดแย่ ๆ มากกว่า ซึ่งวิธีจะไม่เหมือนกัน"

พร้อมทั้งให้มุมมองตลาดหุ้นไทยในครึ่งปี หลังว่า ปัจจัยต่างประเทศเป็นปัจจัยเดิม ๆ ที่วนเวียนเข้ามา จึงไม่ได้ให้น้ำหนักปัจจัยเสี่ยงนี้มาก เพราะเลือกเล่นหุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากตรงนี้ จะมีห่วงก็เรื่องปัจจัยการเมืองในประเทศที่เสี่ยงกว่า

และนี่คือ "สูตรไม่ลับ" ของ "เสี่ยปู่" ที่ใช้ลงทุนสร้างกำไรพอกพูนสะสมจากพอร์ตหลักแสนบาทขึ้นมาถึงพันล้านบาทได้

ที่มา  http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5650101422317061401#editor/target=post;postID=6719369811393726118 
นักเก็งกำไรกับผู้ลงทุนระยะยาว ต่างกันอย่างไร




ชื่อ:  d2.jpg
ครั้ง: 1612
ขนาด:  18.9 กิโลไบต์



ผู้ลงทุนระยะยาวจะแตกต่างกับนักเก็งกำไร (Speculator) อย่างชัดเจน เพราะผู้ลงทุนระยะยาวจะให้ความสำคัญกับมูลค่าหุ้นคือความถูกแพง และให้ความสำคัญกับมูลค่าธุรกิจที่ตนเองลงทุนมากกว่าไปติดตามราคาหุ้นรายวันที่เป็นไปตามอารมณ์ตลาด เขาจะให้ความสำคัญกับภาวะตลาดน้อยในช่วงสั้น และมีความอดทนในการรอคอย


ส่วนรางวัลของก...ารรอคอยนั้นก็คือ ผลตอบแทนที่ได้เป็นกอบเป็นกำ ไม่ใช่แค่ได้กำไรเล็กๆ น้อยๆ เพราะเขาเข้าใจในธุรกิจที่เขาลงทุน และเขาเห็นศักยภาพในการทำกำไรของกิจการนั้นๆ จึงไม่จำเป็นต้องหวั่นไหวกับข่าวสารทุกวัน ไม่ต้องกังวลกับการวิ่งเข้าวิ่งออกตลาดหุ้นเป็นรายวัน

เพราะ Business Model ของกิจการต่างๆ จะไม่เปลี่ยนภายในช่วงข้ามคืนหรือข้ามเดือน นอกจากนี้ ผู้ลงทุนระยะยาวจะวิเคราะห์กับคาดการณ์ความ สามารถในการทำกำไรของบริษัทในอนาคตเป็นหลัก นี่คือข้อแตกต่างจากนักเก็งกำไร

นักเก็งกำไรนั้นลงทุนระยะสั้นกว่ามาก ซึ่งในระยะสั้น ข่าวสารต่างๆ และพฤติกรรมตลาดมีผลต่อราคาหุ้นมากที่สุด ดังนั้น นักเก็งกำไรจึงต้องติดตามข้อมูลข่าวสารตลอดเวลา เช่นต้องติดตามว่าตอนนี้หุ้นใดอยู่ในกระแสนิยม มีการย้ายไปเล่นเซคเตอร์ไหนบ้าง QE3 จะออกไหมและเมื่อไหร่ฯลฯ

ทั้งนี้ นักเก็งกำไรจะคาดเดาจิตวิทยาของผู้เล่นในตลาดหุ้นเป็นหลัก และนักเก็งกำไรที่มีความรู้ก็มักใช้เทคนิคัลเป็นเครื่องมือช่วย กับดูเรื่องกระเสเงินต่างชาติที่ไหลเข้าออกตลาด แต่ผู้ลงทุนระยะยาวจะดูปัจจัยพื้นฐาน

แต่น่าเสียดายเหมือนกันที่นักเก็งกำไรส่วนใหญ่ของบ้านเรามักไม่ใช่ผู้มีความรู้ในการลงทุนที่เพียงพอ ถึงกับมีผู้จัดการกองทุนชาวต่างประเทศผู้หนึ่งที่มีฝีมือดีมากในการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเอาไปเล่าให้ผู้ลงทุนต่างชาติฟังในการสัมมนาใหญ่ด้านการลงทุนว่า ตลาดหุ้นไทยมีแต่นักเก็งกำไรแบบแม่บ้าน เขาพูดแบบนี้จริงๆ ที่แวนคูเวอร์

ในเมื่อมันเป็นความจริง จึงไม่โกรธที่เขาว่าผู้เล่นในตลาดบ้านเราเป็นแมงเม่า แต่เคืองนิดๆ เพราะคำว่าแมงเม่ามันไม่ได้ระบุเพศ ในขณะที่คำว่าแม่บ้านมันหมายถึงผู้หญิงชัดๆ เลย

นักเก็งกำไรจำนวนมากนิยมซื้อขายหุ้นที่มีราคาต่อหุ้นถูก เช่นหุ้นละ 30 บาท 50 บาท แม้อัตราส่วนราคาต่อกำไร (PE) ของหุ้นนั้นจะแพง เขาก็ยังเข้าลงทุนถ้าราคาต่อหุ้นยังไม่สูงมากนัก นอกจากนี้ นักเก็งกำไรจะมีต้นทุนการซื้อขายสูงกว่าผู้ลงทุนระยะยาว เพราะมีการซื้อขายบ่อยกว่า

การลงทุนทุกอย่างมีความเสี่ยง การลงทุนระยะยาวก็เช่นกัน ความเสี่ยงเฉพาะของการลงทุนระยะยาวคือการจมอยู่กับข้อมูลรายวันมากเกินไป ทำให้จิตไม่นิ่ง และทำให้การลงทุนแกว่งไปตามอารมณ์ตลาดได้ ทั้งๆ ที่กฏข้อแรกของการลงทุนระยะยาวคือเมื่อตัดสินใจลงทุนในหุ้นใดที่มีการพินิจพิเคราะห์อย่างดีแล้ว จะต้องไม่หวั่นไหวไปกับอารมณ์และพฤติกรรมตลาดในช่วงสั้นๆ


หนทางแก้ไขคือ ต้องรู้จักกระจายการลงทุน ซึ่งต้องทำให้เหมาะสม ไม่กระจายมากเกินไปจนเกินกำลังตน และต้องเน้นลงทุนในบริษัทที่มีคุณภาพในการทำกำไร (Quality of earnings) มีทีมผู้บริหารของบริษัทที่มีความสามารถ และมีธรรมาภิบาล

ที่ผ่านมาคนไทยที่ลงทุนในหุ้น มักจะไม่นิยมการลงทุนระยะยาว เพราะคนไทยไม่อดทน ไม่เข้าใจ ตื่นตระหนกกับความผันผวนของราคาในช่วงสั้นๆ แต่ปัจจุบันเริ่มมีนักลงทุนระยะยาวเพิ่มขึ้น เพราะนักลงทุนเข้าถึงข้อมูลการลงทุนได้ง่ายขึ้น มีการให้ความรู้เรื่องการลงทุนมากขึ้น มีการเผยแพร่เรื่องการวางแผนชีวิตและเป้าหมายทางการเงินในอนาคต ทำให้มีผลิตภัณฑ์ทางการเงินเกิดขึ้นเพื่อรองรับ เช่น กองทุนรวมระยะยาว กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ กับการลงทุนและคุ้มครองตนเองผ่านประกันชีวิต


แต่ใช่ว่าเมื่อลงทุนระยะยาวแล้วจะต้องทนถือไปตลอดหรือขายออกไม่ได้

เพราะการลงทุนระยะยาวสามารถทำควบคู่ไปกับลงทุนแบบ Trading ได้เช่นกัน เช่นในบางช่วงที่อยู่ๆ ราคาหุ้นก็ปรับตัวเร็วเกินไป หรือเกินกว่าที่บริษัทจะทำกำไรได้เร็วขนาดนั้นจริง เราก็ต้องลดน้ำหนักการลงทุนลง อาจจะลดทั้งหมดหรือบางส่วนก็แล้วแต่กรณี เพราะเวลาตลาดเริ่มรับรู้ว่ากำไรขนาดนั้นมันไม่ใช่ ณ วันนี้ ก็จะขายออก และอาจเร่งขายแบบตลาดแตก (Panic sell) เราจะได้มีเงินสดมารับซื้อของถูกได้


แต่หากไม่รู้จังหวะไหนที่ราคาหุ้นเกินพื้นฐานกำไร หรือขึ้นเร็วไปแล้ว ก็ขอให้ลงทุนผ่านกองทุนรวมจะดีกว่า

อย่างไรก็ตาม หากคิดว่าจะเก็งกำไร เทรดเข้าๆ ออกๆ เพื่อให้มีชีวิตชีวา เพื่อสร้างความตื่นเต้น ก็ขอแนะนำให้ไปใช้บริการเครื่องเล่นเฮอร์ริเคนมหาสนุกหรือชิงช้าไวกิ้ง ที่ Dream World หรือเอามือไปนาบเตารีดร้อนๆ แก้เบื่อชีวิตจะดีกว่า เพราะคุณจะเสียเงินน้อยกว่า แต่ได้รับความมัน ความตื่นเต้น จนล้นเหลือ เรียกว่า PE ต่ำนั่นแหละ เพราะจ่ายน้อย แต่ได้ผลเกินคุ้ม

อย่าลืมว่าในการลงทุนระยะยาว นอกจากจะต้องใส่ใจกับการรักษาเงินต้นแล้ว เรายังต้องแสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่าการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ นอกจากนี้ การลงทุนระยะยาวก็ช่วยให้ความผันผวนของราคาหุ้นลดลงด้วย

คำแนะนำที่ผู้ลงทุนระยะยาวควรพิจารณาอีกข้อก็คือ ควรมี Well-Balanced Portfolio คือมีส่วนผสมการลงทุนที่เหมาะสมในสินทรัพย์หลัก ได้แก่ พันธบัตรและตราสารหนี้ หุ้น ทองคำ และอสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ เพราะการกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ต่างประเภทกันแบบนี้จะช่วยลดความเสี่ยงลงได้ เนื่องจากเราไม่รู้หรอกว่าตัวไหนจะได้ดี ตัวไหนจะเป็นตัวถ่วง ส่วนจะเป็นหุ้นประเทศไหนบ้าง พันธบัตรอะไรบ้างนั้น ก็แล้วแต่โอกาสในตลาด


คำแนะนำอมตะของยอดกูรูการลงทุนตลอดกาลคือ Benjamin Graham ที่ว่า ....

“In the short run, the market is a voting machine but in the long run it is a weighing machine” นั้น ยังสามารถใช้ได้อยู่

เขาหมายถึง "ไม่ควรกังวลกับความผันผวนเอาแน่เอานอนไม่ได้ของราคาหุ้นในระยะสั้น เนื่องจากในระยะสั้นตลาดหุ้นมีพฤติกรรมเหมือนเครื่องลงคะแนน แต่ในระยะยาวตลาดหุ้นจะเป็นเครื่องชั่งน้ำหนัก"


แปลอีกทีคือ “ในระยะสั้นราคาซื้อขายจะผันผวนไปตามความนิยมกับอารมณ์ของกระแสคนส่วนใหญ่ แต่ในระยะยาว การลงทุนเป็นเรื่องของรายได้กับความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจ ซึ่งจะเป็นมูลค่าที่เราได้รับจากการลงทุน”


สุดท้ายก็คือ จงจำไว้เสมอว่า ....

การลงทุนระยะยาวเหมือนกับวิ่งมาราธอน ซึ่งแม้ใครถึงก่อนจะเป็นผู้ชนะ แต่ทุกคนก็สามารถถึงเส้นชัยได้ อยู่ที่ว่าแต่ละคนรับความเสี่ยงในการลงทุนได้มากน้อยแค่ไหน

ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=35208
นานแค่ไหนที่เรียกว่าลงทุนระยะยาว


ชื่อ:  ดแลล่าร์.PNG
ครั้ง: 1674
ขนาด:  310.2 กิโลไบต์






การลงทุนระยะยาวในทุกวันนี้ได้รับความสนใจมากขึ้นกว่าเดิมจากหลายสาเหตุ เช่น ผู้มีเงินออมต้องการสร้างความมั่งคั่ง แสวงหาช่องทางการลงทุนใหม่นอกจากการฝากเงินที่ให้ดอกเบี้ยต่ำติดดิน พอเริ่มแสวงหา ก็เริ่มศึกษาทำให้เข้าใจเรื่องการลงทุนมากขึ้น ประกอบกับข้อมูลข่าวสารในทุกวันนี้ก็มีมากมาย ทั้งมีเรื่องราวของผู้ประสบความสำเร็จ...ในหุ้นให้เห็นเป็นแบบอย่าง จึงมีความมั่นใจมากขึ้น

แต่ก็ยังมีคนไม่น้อยเลยที่ยังสับสนว่าตนเองเหมาะที่จะเป็นนักลงทุนระยะยาวหรือไม่

คนจะมั่งคั่งได้ก็ต้องวางแผนทางการเงินเป็นเพื่อเป็นหลักประกันว่าเราจะมีเงินพอใช้ตามต้องการจนถึงวัยเกษียณ ไม่ต้องไปพึ่งคนอื่น ส่วนการจะมั่งคั่งได้นั้น ก็ต้องมีวินัยในการออมและต้องทำตามแผน ซึ่งส่วนหนึ่งก็คิอต้องมีการลงทุนระยะยาว


แล้วแค่ไหนถึงจะเรียกว่าลงทุนระยะยาว ... 1 เดือนนี่ยาวพอไหม ?

ผู้จัดการกองทุนต่างประเทศคนหนึ่งที่ลงทุนเฉพาะหุ้นในตลาดไทย บอกว่า เขาลงทุนตลาดหุ้นไทยได้แค่ช่วงสั้นๆ ตลาดเกิดใหม่หรือ Emerging Market ไม่ใช่ที่ที่ควรลงทุนยาวๆ ดังนั้น โดยเฉลี่ยแล้วการลงทุนสั้นๆ ของเขาต่อหุ้นไทย 1 ตัวคือประมาณ 3 ปี


3 ปี คือระยะสั้นของเขา ไม่ใช่แค่ 3 วัน หรือ 3 ชั่วโมงแบบที่คนไทยคิด

การลงทุนระยะยาวนั้นควรมีเวลาลงทุนไม่ต่ำกว่า 5 ปี และต้องไม่หวั่นไหวกับความผันผวนของผลตอบแทนในช่วงสั้นที่ถูกกระทบจากเศรษฐกิจ การเมือง หรือสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงชั่วคราว ไม่แน่ไม่นอน


การลงทุนระยะยาวนั้นมีกฏข้อแรกคือ ให้คาดหวังถึงผลตอบแทนหรือมูลค่าที่แท้จริงในอนาคตเป็นหลักชัย และต้องไม่ว่อกแว่กหวั่นไหวในระหว่างทาง

ส่วนเงินที่จะเอาไปลงทุนนั้นก็ต้องเป็นส่วนที่แม้จะเกิดเหตุฉุกเฉินก็จะไม่ดึงมาใช้ เพราะมีส่วนอื่นเตรียมไว้แล้ว เงินส่วนนี้เรากันเอาไว้เพื่อลงทุนระยะยาวเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนที่สนใจจะต้องประเมินก่อนว่าตัวเราเหมาะกับการลงทุนระยะยาวหรือไม่ ลงยาวเกิน 5 ปีได้ไหม อดทนเพื่อสร้างความมั่งคั่งในอนาคตไหวหรือไม่ เพราะเป้าหมายของการลงทุนระยะยาวไมใช่การหวังกำไร ในวันนี้พรุ่งนี้ แต่เป็นเป้าหมายชของกำไรเป็นกอบเป็นกำในอนาคตอันยาวไกล

ที่สำคัญก็คือ ต้องถามตนเองด้วยว่ารับความเสี่ยงได้แค่ไหน ซื้อหุ้นไปแล้ว หัวถึงหมอนนอนหลับสบายหรือไม่ เห็นหุ้นที่ซื้อราคาลดลงจนขาดทุนแล้วสติแตกไหม

หากรับไม่ได้ เครียด สติแตก หัวใจจะวาย คุณก็ไม่เหมาะกับการลงทุนในหุ้นหรือในสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ ที่อ่อนไหวไปตามภาวะตลาดในระยะสั้น แม้มันจะดีกว่าในระยะยาว เพราะหากขืนดื้อรั้นลงทุนไป คุณอาจไม่มีชีวิตอยู่จนได้รับผลดีๆ ของการลงทุนในอนาคตที่ยาวไกล


ประโยคที่ว่า “เราสามารถสร้างความมั่งคั่งได้จากการลงทุนระยะยาว” ยังคงสามารถพิสูจน์ได้ในปัจจุบัน เพราะความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นนั้นเกิดขึ้นได้จากผลของเงินหรือผลตอบแทนที่ทบต้น (Power of Compounding) ทั้งจากเงินปันผล และจากกำไรในการขายหุ้น (Capital Gain)

ซึ่งตั้งแต่จัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ไทยเมื่อปี 2518 จนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2555 ผลตอบแทนของการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยรวมปันผลแล้วเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 12.5% ต่อปี (SET Total Return)

นอกจากนี้ VI (Value investor) หรือสาวกของ Warren Buffet หรือ Philip Fisher หลายคนก็พิสูจน์แล้วว่า การลงทุนระยะยาวสร้างความมั่งคั่งได้ดีแม้จะผ่านวิกฤตหลายๆ ครั้ง เช่น ช่วงลอยตัวค่าเงินบาท วิกฤตการเงินของ Lehman หรือวิกฤตหนี้สาธารณะของยุโรป เป็นต้น

อีกข้อพิสูจน์หนึ่งจะเห็นได้จากการลงทุนระยะยาวผ่านกองทุน RMF / LTF เพราะกองทุนพวกนี้สามารถผ่านช่วงมาตรการควบคุม Fund Flow ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ปี 2549) วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ (ปี 2551) วิกฤติการเมืองอันนำไปสูเหตุการณ์เผาบ้านเมือง (ปี2553) และวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรป (ปี 2553) แล้วยังให้ผลตอบแทนที่ดีได้

กองทุนรวมอย่าง บัวหลวงตราสารทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ ที่ตั้งเมื่อปี 2545 โดย NAV ต่อหน่วย เพิ่มจาก 10 บาท เป็นประมาณ 63.18 บาท ณ ปัจจุบัน (เท่ากับผลตอบแทนเฉลี่ย 20.7% ต่อปี) หรือ บัวหลวงหุ้นระยะยาว ที่ตั้งเมื่อปี 2547 มี NAV ต่อหน่วย เพิ่มจาก 10 บาท ไปเป็นประมาณ 26.91 บาท ณ ปัจจุบัน (เท่ากับผลตอบแทนเฉลี่ย 13.5% ต่อปี)

และยังมีอีกหลายกองทุนรวมของเจ้าอื่น ที่สามารถให้ผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจ

ดังนั้น มันก็พิสูจน์ได้ว่า ยิ่งลงทุนนานในหุ้นดีๆ ก็ยิ่งมั่งคั่ง

อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่าการสร้างความมั่งคั่งที่ดีนั้นจะต้องมีการกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ต่างประเภทให้เหมาะสมกับตนเอง และในแต่ละช่วงอายุก็จะมีสัดส่วนการกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ที่ต่างกันได้ เช่น คนอายุน้อยมักให้น้ำหนักลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงในสัดส่วนที่มาก และค่อยๆ ปรับลดลงเมื่ออายุมากขึ้น

ทั้งนี้ การกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์หลายๆ อย่าง เช่น หุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ และ อสังหาริมทรัพย์ จะช่วยลดความเสี่ยง ช่วยลดความผันผวนให้กับพอร์ตการลงทุนโดยรวมได้ ทั้งยังเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนจากสินทรัพย์ต่างประเภทที่เราลงทุนที่มักจะไม่เหมือนกันได้ด้วย เพราะเมื่อตัวหนึ่งกำไรดี แต่อีกตัวหนึ่งอาจขาดทุนก็ได้ เนื่องจากในแต่ละช่วงของเศรษฐกิจนั้น สินทรัพย์แต่ละประเภทอาจจะมีผลตอบแทนที่แตกต่างกัน และไม่มีกูรูคนใดทายถูกว่าตัวไหนจะมาวิน

นอกจากนี้แล้ว ในการลงทุนระยะยาว เรายังต้องติดตามหรือใส่ใจกับ “แนวโน้ม” ของสภาวะตลาดเป็นระยะๆ

เพราะความไม่แน่นอนทั้งสภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ สภาพภูมิอากาศ หรือนโยบายการเงิน/การคลัง อาจทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนการลงทุนให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดไว้ด้วย

แต่อย่าลืมว่าเรามองที่Trend หรือ “แนวโน้ม” ไม่ใช่มองรายละเอียดแล้วเต้นตามถี่ยิบเป็นรายวัน เพราะอย่างนั้นไม่ใช่การลงทุนระยะยาวแล้ว

ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=35209
คุณหมอ 'ร้อยล้าน' ศุภชัย ปาจริยานนท์ ผู้พิสมัย 'การลงทุน'



วิธีสร้างความรวย 'หมอคิดส์' นพ.ศุภชัย ปาจริยานนท์ จากเงินเก็บ 'หลักแสน' สู่พอร์ตหุ้น, อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ยึด

ในแวดวงดิจิทัลบริษัท MCFiva Thailand จำกัด บริษัท Digital Agency เล็กๆ แต่เป็นเจ้าของสิทธิบริหารสื่อโฆษณาในประเทศไทยให้กับ “ทวิตเตอร์” โซเชียลมีเดียที่กำลังมาแรงในขณะนี้ บริษัทแห่งนี้ก่อตั้งโดย นพ.ศุภชัย ปาจริยานนท์ หรือ “หมอคิดส์” ซึ่งมีดีกรีแพทย์ศาสตร์บัณฑิตจากศิริราช เขายังเป็นผู้คิดค้นระบบเทรดหุ้น Settrade ซึ่งขายสิทธิให้กับตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่สิบปีที่แล้ว จัดเป็นเด็กหนุ่มสติเฟื่องในวงการไอที

นอกจากบทบาทคุณหมอไอทีแล้ว เขายังสวมบทบาทเป็น “นักลงทุน” เต็มตัว มีดีกรีชนะเลิศรางวัลบริหารเงินส่วนบุคคล (Money Management Ambassador) ในโครงการ Money Management Award (MM Award) ที่จัดขึ้นโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อปี 2546 แม้แนวทางการลงทุนของเขาจะนิยมเก็บตัวเงียบ ไม่เข้ากลุ่มก๊วนกับใคร แต่มูลค่าพอร์ตก็นับว่า "ไม่ธรรมดา"

จากการเปิดเผยผ่านรายการทีวีของพิธีกรฝีปากกล้าคนหนึ่ง ความมั่งคั่งของเขาน่าจะมีมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ด้วยวัยยังไม่ถึง 30 ปี กรุงเทพธุรกิจ BizWeek จึงตามไปเจาะลึกวิธีการสร้างความมั่งคั่งของคุณหมอหนุ่มสติเฟื่องรายนี้ โดยนัดหมายกันที่สำนักงานบริษัท MCFiva ย่านใจกลางกรุง เพื่อพูดคุยเรื่องการลงทุนโดยเฉพาะ

“ผมเรียนจบมาทางด้านไอทีสำหรับการแพทย์เป็นสาขาวิชาใหม่ในเมืองไทย ปัจจุบันนอกจากเป็นนักลงทุนแล้วยังทำธุรกิจส่วนตัวไปพร้อมๆ กัน ที่ว่าผมมีพอร์ต 100 ล้านบาท จริงๆ รวมกันทั้งพอร์ตหุ้น อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจส่วนตัว” หมอคิดส์ เปิดประเด็น

ศุภชัย เล่าประวัติตัวเองให้ฟังว่าสมัยเด็กได้เงินไปโรงเรียนวันละ 5-10 บาท รู้สึกว่าไม่พอใช้ จะซื้อขนมก็ปาเข้าไปห่อละ 5 บาทแล้ว ไหนจะน้ำหวานอีก จึงเริ่มมาคุยกับคุณแม่ว่าจะทำอย่างไรให้มีเงินเยอะๆ แม่ก็บอกว่าให้ทำงานแล้วเอาไปฝากธนาคารหรือฝากสหกรณ์ ตอนนั้นยังเด็กมากรู้สึกตื่นเต้นว่า โอ้โห!! ใครช่างใจดีเพิ่มเงินให้เราฟรีๆ ทำให้สนใจเรื่องของดอกเบี้ยก่อนเป็นจุดเริ่มต้นของความสนใจเรื่องการเงิน

"ผมเริ่มเปิดบัญชีเงินฝากของตัวเองตั้งแต่ 7-8 ขวบ ตอนนั้นก็เริ่มคิดว่าดอกเบี้ยที่แบงก์ให้ต่ำมาก จึงเกิดการเปรียบเทียบดอกเบี้ยเงินฝากของแต่ละแบงก์ และเริ่มจัดสรรเงินออม ย้ายไปฝากเงินในที่ๆ ให้ผลตอบแทนดีขึ้น"

พอถึงชั้นมัธยมปลาย ด้วยความที่เป็นคนชอบอ่านหนังสืออ่านโน่นอ่านนี่ไปเรื่อย มีอยู่วันหนึ่งเข้าไปธนาคารพบแผ่นพับเรื่องกองทุนรวม ทำให้อยากรู้รายละเอียดมากขึ้นเลยไปหาหนังสือมาอ่าน ทำให้รู้จักกับการลงทุนเป็นครั้งแรกว่าการลงทุนมีความเสี่ยง แต่สามารถเลี่ยงความเสี่ยงได้โดยลงทุนให้เหมาะสมกับตัวเอง จุดนั้นเริ่มสนใจที่จะลงทุนแล้ว

เมื่อเริ่มออมจึงเป็นบันไดนำไปสู่การลงทุน ศุภชัย เล่าว่า รู้จักการลงทุนในช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นหรือกองทุนรวมตั้งแต่เริ่มเข้ามหาวิทยาลัย แนวคิดการลงทุนที่เข้าใจตอนนั้นคนที่มีอายุน้อยจะสามารถรับความเสี่ยงได้เยอะ พออายุมากขึ้นก็จะรับความเสี่ยงได้น้อยลงเพราะมีภาระต้องรับผิดชอบมากขึ้น ตอนนั้นคิดว่ายังเด็กอยู่เลยคิดว่าสามารถเสี่ยงได้เต็มที่แต่อีกใจยังกลัวว่าเงินที่เก็บมาจะหายไปหรือเปล่า! เลยเริ่มต้นจากการลงทุนที่เสี่ยงต่ำก่อน ซื้อกองทุนตราสารหนี้ผสมหุ้นนิดหน่อย เพราะผลตอบแทนสูงกว่าฝากเงินในธนาคาร

“ช่วงนั้นดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารอยู่ปะมาณ 3% แต่กองทุนที่เราลงทุนได้ผลตอบแทน 7% เราก็ดีใจ..เฮ้ยยๆเจ๋งว่ะ! ตอนนั้นตลาดหุ้นเริ่มจะปรับตัวขึ้นมาแล้วก็ได้ผลตอบแทนรวมกันแล้วประมาณ 10% พอกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย ตัดสินใจแล้วว่าต้องลงทุนหุ้นอย่างจริงจัง”

เขาเล่าว่า พอเดินเข้าไปปรึกษาพ่อกับแม่ ช่วงแรกยังไม่ได้รับการสนับสนุนส่วนหนึ่งเพราะพวกเขาเคยมีประสบการณ์ลงทุนที่ไม่ดีจากสมัยวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 เรียกว่าต้องคุยกันเยอะกว่าจะเข้าใจ สุดท้ายท่านก็สนับสนุนโดยการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นให้โดยใช้ชื่อ "พ่อ"

ช่วงที่ศึกษาระดับมหาวิทยาลัย แม้จะเรียนทางด้านการแพทย์แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการศึกษาเรื่องการลงทุน พอกำลังจะเรียนจบได้มีโอกาสร่วมกิจกรรมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในโครงการ Money Management Award (MM Award) ประกวดเรื่องการบริหารจัดการเงินส่วนบุคคล หรือ Personal Finance ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีแรกก็ได้รางวัล "ชนะเลิศ"

“ศาสตร์การลงทุนถือได้ว่าผมเรียนรู้ด้วยตัวเองทั้งหมด จากการพูดคุยกับผู้รู้บ้าง อ่านหนังสือบ้าง โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ผมก็อ่าน เงินเริ่มต้นของผมในการลงทุนประมาณ 1 แสนบาท ส่วนหนึ่งเป็นเงินเก็บ บางส่วนคุณพ่อก็มอบให้บ้าง”

“วีไอ” คือแนวทางที่ตอบโจทย์

ถามว่าก้าวแรกของการลงทุนเต็มตัวเป็นอย่างไร?? หมอคิดส์ ยอมรับว่า “มีเจ๊ง” ไปบ้าง ยังดีที่ว่าช่วงเริ่มต้นลงทุนปี 2543 ตลาดหุ้นเริ่มปรับตัวขึ้นมาแล้ว ถือว่าโชคดีที่เข้าไปตอนที่ดัชนีอยู่ในระดับต่ำประมาณเกือบ 300 จุด ระหว่างทางก็มีทั้งกำไรและขาดทุนสลับกันไป

สไตล์การลงทุนช่วงแรกๆ มีหลายรูปแบบ ตอนยังเด็กๆ ก็ไปเข้าห้องค้า รู้สึกว่าเฮ้ย!! สนุกดีนะมันเจ๋งดี แต่อยู่ไปก็รู้ว่ามันลงทุนโดยใช้แค่ความรู้สึก ตัวเลขที่อยู่ในห้องค้ามันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทำให้เป้าหมายของเราเปลี่ยนแปลงไปมาตลอดเวลาด้วย

“จากนั้นมาผมสนใจการลงทุนแบบเน้นคุณค่าหรือ "วีไอ" มากขึ้น ไปดูที่มูลค่าของกิจการว่าเขาทำอะไรได้บ้าง ที่ผ่านมาวิธีการนี้มันเวิร์คมาก หุ้นหลายตัวในตลาดหุ้นเราดีขึ้นมากราคาเลยสะท้อนความเป็นจริง บางตัวสามารถทำกำไรได้เป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ นั่นทำให้เรามั่นใจว่ามาถูกทางแล้ว การลงทุนแบบ Value Investment นี่แหละน่าจะตอบโจทย์มากที่สุด”

ประสบการณ์ที่มากขึ้นทำให้เขาเริ่มเรียนรู้ว่า ตลาดหุ้นเรื่องของ “จังหวะเวลา” มีความสำคัญมาก ต่างจากการออมเงินที่บอกว่า "ออมก่อนรวยกว่า" แต่สำหรับตลาดหุ้น Timing คือ "หัวใจ" การเข้าออกให้ถูกจังหวะคือ "การสร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุด" แน่นอนว่าหุ้นให้ผลตอบแทนดีกว่าเงินฝาก แต่ถ้าเข้าออกไม่ถูกจังหวะก็จะเสียโอกาส

ศุภชัย ให้แนวคิดในการเลือกหุ้นที่จะลงทุนประกอบด้วย 3 ขั้นตอนคือ หนึ่ง..ต้องรู้จักตัวเองก่อน ว่าเรายอมรับความเสี่ยงได้ระดับไหน บางคนอาจจะชอบหุ้นเดย์เทรดซื้อปุ๊ป! ขายเลยก็ได้ แต่แบบนั้นก็มีความเสี่ยง สอง..ดูตัวธุรกิจของเขาว่าเป็นอย่างไร เราเข้าใจธุรกิจนั้นไหม ส่วนตัวจะคิดว่า "การซื้อหุ้นคือการซื้อธุรกิจ" เขาด้วย สาม..รู้จักตลาดที่เขาทำธุรกิจอยู่ ว่าสถานการณ์ตลาดปัจจุบันและในอนาคตนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป

“หลักการใหญ่ทั้ง 3 ข้อที่ผมใช้นี้ ลงทุนร้อยครั้ง..ขาดทุนน้อยครั้ง ไม่ได้บอกว่าไม่ขาดทุน แต่โอกาสที่จะประสบความสำเร็จมันสูงกว่าแนวทางแบบอื่น”

หุ้นที่ลงทุนด้วยวิธีการแบบวีไอ ศุภชัย จะเริ่มจากธุรกิจที่รู้จักเป็นอย่างดีก่อนหรือธุรกิจที่เข้าใจได้ไม่ยาก เช่นอาหารการกิน เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องกินต้องใช้ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว พยายามดูธุรกิจที่เข้าถึงง่ายๆ รูปแบบธุรกิจไม่ซับซ้อน เวลาอ่านบทวิเคราะห์จะเข้าใจง่ายว่าสถานการณ์ธุรกิจตอนนี้เป็นอย่างไร อนาคตจะเป็นอย่างไร ส่วนธุรกิจที่รู้จักดีแน่นอนว่าต้องมีธุรกิจโรงพยาบาลอยู่ด้วย

“รวย” จากวิกฤติซับไพร์ม

ถามว่าเรียนหมอมาช่วยอะไรเรื่องการลงทุนได้บ้าง!!! เขาตอบว่า ช่วยเรื่องของระบบการคิดมากกว่า เพราะการเรียนแพทย์จะสอนให้คิดเป็นระบบ รวมถึงความมีวินัยด้วยเพราะคนเป็นหมอต้องมีวินัยสูง สองสิ่งนี้สามารถนำมาปรับใช้กับการลงทุนได้เยอะ

เขาเสริมว่า อัตราส่วนทางการเงินที่ให้ความใส่ใจเวลาจะเข้าลงทุนอย่างมากคือความ "ถูก-แพง" ของราคาหุ้น หรือ พี/อี เรโช แล้วก็ Book Value เรื่องของงบการเงินนี่สำคัญมากสำหรับผู้ที่จะเป็นนักลงทุน ต้องอ่านให้ออก เพราะถ้าเราเป็นเจ้าของกิจการแล้วดูบัญชีไม่เป็นจะไม่รู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า

“การลงทุนก็เหมือนเล่นไพ่ คุณไม่รู้ว่าไพ่ที่อยู่ในมือคืออะไร ก็เกทับลงไป โอกาสที่จะเจ๊งก็มี เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่มีเวลาไปดู ก็ให้มืออาชีพไปดูแทนดีกว่า ไม่ต้องไปลุ้นเปิดไพ่ว่าจะออกหัวหรือก้อย”

แม้ว่าส่วนตัวจะชื่นชอบเทคโนโลยีแต่หมอคิดส์บอกว่า “ไม่ปลื้มหุ้นเทคโนโลยี" ในเมืองไทยเท่าไร เพราะส่วนใหญ่เป็นพวกเทรดดิ้งมากกว่าผลิตเองหรือถ้าจะมีก็แค่ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ พวกที่ทำซอฟท์แวร์หรือเว็บไซต์แทบไม่มีเลย

ถามชัดๆ ว่าในพอร์ตมีหุ้นอะไรอยู่!! เขาตอบว่า..มีไม่เยอะครับ! ก็จะมีหุ้นแบงก์ อาหาร โรงพยาบาล พลังงาน ส่วนใหญ่เป็นหุ้นบลูชิพที่มีความมั่นคงไม่หวือหวา ส่วนหนึ่งเพราะไม่ได้คิดจะสร้างรายได้หลักจากการลงทุนจึงไม่จำเป็นต้องไปหาหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงๆ แต่ผันผวนสูงเข้ามาไว้ในพอร์ต

“อย่างที่บอกผมไม่ได้เป็น VI เต็มเวลา จึงไม่มีเวลาที่จะไปรีเฟรชพอร์ตให้มันสดใหม่อยู่ตลอดเวลา เรียกว่าเราก็ดูอยู่เป็นระยะๆ พยายามดูอยู่ทุกไตรมาส พอร์ตของผมจะค่อยๆ โตตามตลาดมากกว่า”

หมอคิดส์ไขคำตอบว่าทำไม! ถึงสร้างความมั่งคั่งได้อย่างรวดเร็ว เริ่มต้นมาตั้งแต่ 2 ปีที่แล้วหลังจากเกิดวิกฤติซับไพร์ม ตอนนั้นแทบจะไม่ลงทุนเลยเพราะเริ่มมี “กลิ่น” ออกมาแล้วว่าทั่วโลกเศรษฐกิจจะไม่ดีก็เลยลดการลงทุนลง เนื่องจากตลาดหุ้นไทยค่อนข้างจะเกี่ยวข้องกับนักลงทุนต่างชาติค่อนข้างเยอะ พอต่างชาติขาย โอกาสที่บ้านเราจะลงเยอะก็สูง อีกอย่างสัดส่วนนักลงทุนรายย่อยในบ้านเรายังค่อนข้างสูง นักลงทุนสถาบันยังไม่แข็งแรงมากนัก ความหวั่นไหวจะเป็นไปตามนักลงทุนต่างชาติค่อนข้างเยอะ

“ผมมองว่าต้องมีแจ็คพ๊อต (หุ้นร่วง) แน่!! ก็พยายามลดการลงทุนลง ประกอบกับช่วงนั้นงานเริ่มเยอะขึ้นเลยหันมาโฟกัสที่ธุรกิจและให้มืออาชีพช่วยดูแล ตอนนั้นก็ผันเงินไปลงทุนผ่านกองทุนรวมเยอะมากเพื่อลดความเสี่ยงตรงนั้น”

เขาอธิบายต่อว่าช่วงสิบปีที่ลงทุนมา ห้าปีแรกถือว่าเป็นช่วงลองผิดลองถูก ตอนแรกๆ ยังเล่นหุ้นระยะสั้นอยู่ที่เจ๊งไปก็มี ส่วนตัวถือว่าเป็นช่วง "ลองของ" พอได้กำไรมาก็อาไป "เสี่ยง" ใหม่ จนกระทั่งพบแนวทางของตัวเอง หุ้นที่ซื้อมาตั้งแต่วิกฤติซับไพร์มบางส่วนก็ยังถือมาจนถึงวันนี้ บางตัวก็ขายออกไปบ้างเพราะราคาขึ้นมาเยอะแล้ว

“ผมมีหุ้นโรงพยาบาลตัวหนึ่งที่ให้ปันผลดี กำไร Capital Gain ก็ดี ตอนนั้นที่ลงทุนเพราะผมเป็นหมอเลยทำให้เข้าใจธุรกิจของเขา อีกอย่างได้ไปตรวจที่โรงพยาบาลนั้นด้วยเลยเห็นภาพชัดเจน ถือว่าได้กำไรจากหุ้นตัวนี้พอสมควร"

ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=35260
ต้องรู้ ต้องเข้าใจ ต้องศึกษาให้ถึงที่สุด
ชื่อ:  Educate Yourself.jpg
ครั้ง: 2466
ขนาด:  25.1 กิโลไบต์
เดี๋ยวนี้วิชาความรู้ด้านการลงทุนในตลาดฯ หาได้ไม่ยาก. Google ไปก็เจอเว๊บการลงทุนมากมายอ่านไม่หมด หรือจะหาซื้อตำรา/หนังสืออ่านก็มีเพียบ แม้กระทั่งหลักสูตรด้านการลงทุนก็มีอยู่ไม่น้อย. หากจะเปรียบเรื่องการลงทุนมันคล้ายๆ กับการเรียน Physics กล่าวคือ จะสามารถนำไปใช้หรือต่อยอดได้จริงนั้น รู้องค์ประกอบพื้นฐานอย่างเดียวไม่พอ แต่จะต้องเข้าใจใน "กลไก" หรือ Dynamics ของมันด้วย ซึ่งจุดนี้แหละครับที่ยาก

เครื่องมือต่างๆ ทั้งในแนวของ Fundamental และ Technical analysis นั้น มีประโยชน์ตามบทบาทของมันเอง แต่ด้วยลักษณะในเชิงโครงสร้าง (และการคำนวณ) นั้นๆ เครื่องมือทุกประเภทก็จะมีข้อจำกัดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วยเช่นกัน. และตลาดทุนจริงมันหลากหลาย เหมือนก๋วยเตี๋ยวสักชาม การไปพยายามค้นหาเครื่องมือที่ดีที่สุดเพี่ยงตัวเดียว หรือ The universal tool นั้นจึงไม่มีทางสำเร็จผล เพราะเริ่มจากวิธีคิดที่ไม่ถูกต้อง เปรียบเช่น ตะเกียบ เป็นเครื่องมือคีบเส้นชั้นเยี่ยม หากเก่งพอใช้กินข้าวสวยก็ยังได้ แต่ด้วยโคงสร้างของตะเกียบนั้นเอง คงไม่ใช่เครื่องมือที่ดีนักในการกินน้ำซุป ช้อนก็เช่นกัน เป็นอุปกรณ์ตักน้ำซุปชั้นเยี่ยม แต่ถ้าจะใช้ตักเส้นคงทุลักทุเลน่าดู วิธีจะกินก๋วยเตี๋ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ไม่ใช่การพยายามพัฒนาอุปกรณ์ที่รวมข้อดีของทั้งช้อนและตะเกียบเข้าด้วยกันโดยลบข้อจำกัดของทั้งคู่ไป แต่เป็นการเลือกใช้เครื่องมือให้เหมาะสมกับภาวะการณ์ เมื่อจะกินเส้นใช้ตะเกียบ เมื่อจะตักซุปใช้ช้อน

เครื่องมือ (วิเคราะห์) การลงทุนก็เช่นกัน รู้จักเพียง P/E P/Bv หรือแค่ Price pattern กับ Indicators อีก 2 หมวดมันไม่พอ แต่จะต้องเข้าใจ "กลไก" ความสำคัญ-ความสัมพันธ์-ลำดับ-การทำงานของเครื่องมือนั้นๆ ด้วย จึงจะสามารถนำไปใช้และต่อยอดสร้างความมั่งคั่งได้อย่างแท้จริง. เพียงเพราะในหนังสือกล่าวถึงเครื่องมือนี้เท่านี้ ไม่ได้หมายความนั่นคือทั้งหมดที่ควรต้องรู้แล้ว ภาพภายนอกของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จแล้วนั้นดูสวยหรู ราวกับว่าความสำเร็จ-ความมั่งคั่งนั้นได้มาง่ายๆ แต่หารู้ไม่ว่ากว่าที่จะมาถึงจุดที่เรียกว่า "สำเร็จ" ได้นั้น จะต้องขยัน อดทน อุทิศเวลาศึกษาเรียนรู้นานขนาดไหนกว่าที่จะ "ตกผลึกทางความคิด" ได้

ไม่ใช่ได้มาง่ายๆ หรอกครับ

จะต้องศึกษา ฝึกฝน ทุกวิชาความรู้ที่ได้จะต้องศึกษาให้เข้าใจถึงที่สุด รู้ประโยชน์อย่างเดียวไม่พอ จะต้องเข้าใจข้อจำกัด และภาวะการณ์ที่เหมาะสมในการใช้เครื่องมือนั้นๆ รวมถึงเป็นช่างสังเกตุปรับปรุงตัวเองอย่างต่อเนื่อง. นี่เป็นหนทางเดียวในการที่จะอยู่รอดในระยะยาวและระยะเวลาที่เหมาะสมสั่งสมสร้างเป็นความมั่งคั่งได้อย่างแท้จริงครับ
          ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=35261
หุ้นขั้นเทพ
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร


การวิเคราะห์หุ้น มีปัจจัยที่ต้องพิจารณามากมาย ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ จึงเป็นเรื่องยากสำหรับนักลงทุนบางคน ที่อาจจะมีความรู้เชิงธุรกิจไม่มาก

เพราะอาจไม่ได้เรียนมาทางสายธุรกิจ หรือเพิ่งเข้าสู่ตลาดหุ้นเป็นนักลงทุนมือใหม่ และคงเป็นเหตุผลว่า ทำไมข้อสรุปของหุ้นแต่ละตัว จึงไม่เหมือนกันระหว่างนักลงทุนแต่ละคน

หุ้นตัวหนึ่งนักลงทุนคนหนึ่ง อาจดูว่าดีมากเป็นซูเปอร์สต็อก ในขณะที่อีกคนหนึ่งมองเป็นหุ้นธรรมดาๆ หรือหุ้นตัวหนึ่งนักเล่นหุ้นคนหนึ่งบอกว่า เป็น Growth Stock หรือหุ้นโตเร็ว ขณะที่อีกคนหนึ่งบอกว่า เป็นหุ้นวัฏจักรที่เพียงแต่อยู่ในช่วงขาขึ้น และพร้อมจะลงในอนาคต

วิธีที่จะดูว่าหุ้น หรือบริษัทที่เราสนใจ น่าจะดีหรือไม่อย่างง่ายๆ คือ หาปัจจัยที่สำคัญมากๆ มาเป็นเครื่องชี้ที่จะบอกว่าเป็นหุ้นดีหรือหุ้นแย่ ตัวอย่างเช่น ถ้าการตลาด หรือยี่ห้อของสินค้าของบริษัทนั้น แข็งแกร่งสุดยอดเหนือกว่าคู่แข่งมาก โอกาสสูงว่าหุ้นของบริษัทน่าจะดี โดยอาจจะไม่ต้องพิจารณาปัจจัยอื่นมากหรือละเอียดนัก เป็นต้น

เครื่องชี้วัดที่สำคัญและวิเคราะห์ได้ง่ายตัวหนึ่ง ที่ผมคิดว่าน่าสนใจ และนำมาใช้ได้ในหุ้นเกือบทุกตัว คือ ตัวเลขของผลประกอบการ หรือกำไรในอดีต เพราะนี่คือผลงานที่บริษัททำได้มาแล้ว เป็น "ของจริง" ที่เกิดขึ้น และบอกไปถึงอนาคตได้ โดยเฉพาะกำไรที่เกิดขึ้น ถ้าเกิดจากผลการทำงานของบริษัทจริงๆ ไม่ได้เกิดจากภาวะแวดล้อม ที่ทำให้บริษัทกำไรดี พูดง่ายๆ บริษัทไม่ได้กำไรดี เพราะ "โชคดี" แต่บริษัทกำไรดี เพราะบริษัทมีฝีมือดี มีความสามารถเหนือคู่แข่ง

วิธีที่จะตัดประเด็นของ "โชค" ออกจากตัวเลขผลประกอบการ คือ การดูกำไรย้อนหลังไปหลายๆ ปี ถ้าเป็นเรื่องโชคแล้ว คงไม่เกิดติดต่อกันหลายๆ ปี น่าจะเกิดขึ้นไม่เกิน 2-3 ปี หลังจากนั้น จะกลับมาเป็นปกติ ซึ่งกำไรหลังจากนั้น จะแย่ลง และสรุปได้ว่า บริษัทคงไม่เก่งอะไรนัก ตรงกันข้าม ถ้าเรามองผลประกอบการย้อนหลังไปยาวๆ พบว่าบริษัทมีผลงาน หรือผลประกอบการที่น่าประทับใจมาตลอด

ดังนั้น สรุปได้ว่า บริษัทนี้มีความสามารถในการแข่งขันสูง และแน่นอนในอนาคตต่อไป น่าจะทำกำไรได้ต่อเนื่องยาวนาน เพราะบริษัทก็เหมือนคน ถ้าเก่งและมีความสามารถ อย่างไรก็ทำเงินได้ต่อไปในอนาคต

ข้อมูลผลกำไรย้อนหลัง ที่ผมคิดว่าน่าจะเพียงพอ ที่จะพิสูจน์ได้ว่า บริษัทดีจริงหรือไม่ น่าจะไม่น้อยกว่า 7-10 ปีขึ้นไป เพราะนอกจากจะตัดประเด็นเรื่องโชคของบริษัทแล้ว ยังตัดประเด็นเรื่องวัฏจักรของธุรกิจที่มีเวลาขึ้นลงไม่เกิน 3-5 ปีด้วย

ถ้าจะหาปัจจัยสำคัญบางตัว ที่จะบอกว่าบริษัท หรือหุ้นดีหรือไม่ ผมคิดว่า ข้อมูลผลกำไรย้อนหลัง 7-10 ปี เป็นตัวสำคัญมากตัวหนึ่ง และข้อเสนอของผม คือ ถ้าบริษัทไหน มีกำไรสม่ำเสมอ และ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอัตราตั้งแต่ 10% ต่อปีขึ้นไปมาตลอด โดยที่บริษัท ไม่ต้องเรียกเงินจากผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นเลย ถือว่าบริษัทนั้น หรือ หุ้นตัวนั้น เป็นหุ้นที่ดีเยี่ยม โดยไม่ต้องไปดูปัจจัยอื่นมากมาย ถ้าจะใช้คำหรูๆ แบบที่วัยรุ่นใช้กับดาราชายที่หน้าตาดีมาก ว่า "หล่อขั้นเทพ" ผมก็อยากจะเรียกหุ้นที่มีผลประกอบการดังกล่าวว่าเป็น "หุ้นขั้นเทพ"

นอกจากตัวเลขผลกำไรแล้ว ปันผลก็เป็นตัวเลขหนึ่งที่สำคัญ ถ้าบริษัทจ่ายปันผลออกมาน้อย กำไรในอนาคตต้องมากขึ้นอยู่แล้ว ถ้าบริษัทจ่ายปันผลในแต่ละปีในอัตราสูงเช่นเกิน 50% ของกำไรแต่ละปีด้วย นี่เป็นตัวเสริมให้เป็นหุ้นเทพมากขึ้น ถ้าจ่ายปันผลต่ำ ความเป็นหุ้นขั้นเทพก็ลดลง

ความเป็นเทพมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับการเติบโตของกำไรเฉลี่ยในช่วงที่ผ่านมา ถ้ากำไรโตปีละถึง 15% ขึ้นไป อาจเรียกว่าเป็นหุ้นเทพมาก แต่ถ้ากำไรโตต่ำกว่า 10% แบบนี้ อาจเรียกว่า เทพธรรมดา หรือไม่เทพเลย ถ้ากำไรโตน้อยมากเพียงแค่ 4-5% เป็นต้น

เช่นเดียวกัน ความสม่ำเสมอของกำไรในแต่ละปี ก็เป็นตัวบอกความเป็นเทพมากหรือน้อยได้ บริษัทที่มีกำไรแทบจะเพิ่มขึ้นทางเดียวปีต่อปี ไตรมาสต่อไตรมาส แบบนี้ก็เทพมาก แต่บริษัทที่มีกำไรสลับขึ้นลง และโดยเฉพาะที่มีแนวโน้มลดลงในช่วงท้ายๆ แบบนี้ความเป็นเทพก็ด้อยลง

หุ้นเทพ โดยปกติราคาจะวิ่งขึ้นเสมอและต่อเนื่องยาวนาน ตราบที่แนวโน้ม กำไรยังโตขึ้นใกล้เคียงกับอดีต การถือหุ้นเทพ บางครั้งถือยาวเป็น 5 ปี 10 ปีได้ โดยไม่ต้องทำอะไร ในช่วงสั้นๆ แน่นอน หุ้นเทพอาจมีราคาสูง หรือต่ำจนดูเหมือนกับว่า Overvalue หรือ Undervalue แต่ไม่ควรมีปฏิกิริยาอะไรนัก ยกเว้นจะเกินไปมาก เหตุผล คือ ในที่สุดจะ "กลับมา" คือหุ้นก็ จะขึ้นต่อไปตามผลประกอบการ

ผมเองเคยพบนักลงทุนหลายคนที่พยายาม "เล่นสั้นๆ" ในหุ้นเทพ นั่นคือ เขาจะขายเมื่อหุ้นขึ้นไปแรง เสร็จก็กลับเข้าไปเก็บ เมื่อหุ้นเทพปรับตัวลงมา ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ผมไม่แน่ใจว่าสุดท้ายคุ้มค่าไหม เพราะบางครั้งต้องกลับไปซื้อในราคาแพงขึ้น เพราะหุ้นไม่ตกกลับลงมาตามที่คาด บางคนที่ "ขายหมู" ไปแล้วก็ไม่กลับมาซื้ออีก และทำให้พลาด "กำไร" มหาศาลที่ตามมาอีกหลายๆ ปี

ข้อจำกัดของการลงทุนในหุ้นเทพ มีพอสมควร เหตุผลหนึ่งคือหุ้นเทพ มักจะไม่ถูก นั่นทำให้ VI จำนวนมากหลีกเลี่ยงที่จะลงทุน พวกเขามักจะดูว่ากำไรที่โตขึ้นต่อปีของหุ้นขั้นเทพ "ไม่ใคร่สูง" เช่น "แค่ 15%" แต่ค่า PE ของหุ้นอาจจะสูงถึง 20 เท่า หรือมากกว่า ดังนั้น ค่า PEG หรือค่า PE เมื่อเทียบกับการเติบโตนั้นสูงกว่า 1 เท่า

ตาม "ตำรา" ต้องบอกว่า ไม่คุ้มที่จะลงทุน ประเด็นนี้ผมคิดว่าค่า PEG อาจจะใช้ไม่ได้กับเรื่องของหุ้นเทพ และส่วนใหญ่ที่ใช้กันก็มักจะมอง Growth หรือการเติบโตของกำไรไปแค่ 3-4 ปี ซึ่งไม่ใช่ลักษณะของหุ้นเทพ

ข้อจำกัดต่อมาของหุ้นเทพ คือ บางบริษัทเพิ่งเข้าจดทะเบียนไม่นาน จึงมีข้อมูลไม่พอ แต่ถ้าบริษัทนั้นกลายเป็นหุ้นเทพจริงๆ ในเวลาต่อมา การลงทุนในหุ้นขั้นเทพตั้งแต่ตอนต้น อาจทำกำไรได้มหาศาล เพราะราคาหุ้นในขณะนั้นอาจจะไม่สูง และนี่นำมาสู่ข้อที่ต้องระวัง ที่สำคัญการลงทุนในหุ้นเทพ คือ ต้องพิจารณาดูว่า หุ้นเทพที่เราดูอยู่กำลังอยู่ในหุ้นเทพ "ขั้นสุดท้าย" หรือเปล่า นั่นคือ การเติบโตของกำไรของหุ้นเทพ ใกล้สิ้นสุดหรือยัง

ขณะที่ราคาหุ้นเทพขึ้นไปสูงมาก ถ้าเราเข้าไปลงทุนช่วงที่บริษัทเริ่มอิ่มตัว ไม่สามารถโตต่อไปได้แล้วด้วยเหตุผลต่างๆ ในที่สุด ราคาหุ้นก็อาจปรับตัวลงไปเรื่อยๆ โดยไม่กลับขึ้นมาอีก หุ้นเทพส่วนมาก มักจะมีอายุค่อนข้างยาว บางบริษัทอย่างหุ้นวอลมาร์ทในอเมริกานั้นเติบโตยาวนานหลายสิบปี

การสรุปว่าหุ้นขั้นเทพตัวที่มองอยู่ "หมดยุค" แล้ว ต้องทำอย่างระมัดระวัง โดยทั่วไป หุ้นขั้นเทพที่ไม่ใช่หุ้นไฮเทค ถ้าจะตกต่ำลง ก็จะใช้เวลาเป็นปีๆ หรือหลายๆ ปี ความจำเป็นต้องรีบขายจึงไม่มี
ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=35281
นิทานเซน : หมู่บ้านเบญจมาศหอม
ชื่อ:  Image.aspx.jpg
ครั้ง: 1072
ขนาด:  54.6 กิโลไบต์


วันหนึ่ง อาจารย์เซนนำต้นเบญจมาศจากป่ามาปลูกไว้ในลานกว้าง ณ อารามเซน ซึ่งตั้งอยู่บนเขา สามปีผ่านไป ดอกเบญจมาศบานสะพรั่งเต็มบริเวณ ทำให้ลานโล่งในอารามเซนกลายเป็นสวนดอกเบญจมาศที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง


กลิ่นหอมของดอกไม้ตลบอบอวลไปจนถึงหมู่บ้านเชิงเขา ส่งผลให้ชาวบ้านในหมู่บ้านพากันเดินทางขึ้นเขาเพื่อมาชื่นชมความงามของสวนเบญจมาศอย่างไม่ขาดสาย และเมื่อมาเห็นด้วยตา ชาวบ้านต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า "ดอกไม้เหล่านี้ช่างงดงามยิ่ง" ทั้งยังเอ่ยปากขอแบ่งต้นเบญจมาศกลับไปปลูกยังบริเวณบ้านของตนอีกด้วย ซึ่งอาจารย์เซนก็อนุญาตโดยไม่ขัดข้อง

จากนั้นเป็นต้นมา ชาวบ้านที่ตามกลิ่นหอมขึ้นเขามาชมสวนเบญจมาศ แทบทุกคนล้วนนำต้นเบญจมาศติดไม้ติดมือกลับลงไปปลูกยังที่อยู่ของตน ณ หมู่บ้านเชิงเขา เวลาผ่านไปไม่นานนัก ต้นเบญจมาศในอารามเซนก็ถูกถอนไปจนเหี้ยนเตียน บริเวณรอบอารามกลับเป็นลานโล่งดังเดิม

อารามเซนที่ไม่มีสวนเบญจมาศอีกต่อไป ให้ความรู้สึกเงียบเหงาวังเวง จนศิษย์เซนอดไม่ได้ที่จะปรารภกับอาจารย์เซนว่า "น่าเสียดายนัก แต่เดิมที่นี้ควรจะเป็นอารามที่มีสวนเบญจมาศหอมฟุ้ง"

เมื่ออาจารย์เซนได้ฟัง เพียงแต่ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวสั้นๆ ว่า "เช่นนี้กลับดียิ่งกว่า ท่านรอดู อีก 3 ปีถัดไป ณ เบื้องล่าง จะกลายเป็นหมู่บ้านเบญจมาศหอม"

ได้ฟังดังนั้น เหล่าศิษย์ต่างกระจ่างในใจ พลันเห็นรอยยิ้มของอาจารย์เซนแจ่มจ้าอยู่กลางลานโล่ง

ปัญญาเซน ความสุขเพียงลำพัง มิอาจเทียบความสุขของคนหมู่มาก

          ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=35312
ฟอร์บส์ จัดอันดับ 40 มหาเศรษฐีของไทย เจ้าสัวซีพีรั้งอันดับ 1
นิตยสารฟอร์บส์ฉบับเดือนกันยายน 2555 ได้เปิดรายชื่อ 40 อันดับมหาเศรษฐีของไทย ในการจัดอันดับ 40 มหาเศรษฐีไทย ประจำปี 2555 (Thailand′s top 40 Richest 2012) โดยมีเจ้าสัวซีพีรั้งอันดับ 1

1.นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) มูลค่ารวมทรัพย์สิน 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ กว่า 217,000 ล้านบาท
2. นายเฉลียว อยู่วิทยา หรือ “โกเหลียว” เจ้าของเครื่องดื่มชูกำลัง กระทิงแดง หรือ เรดบูล มูลค่ารวมทรัพย์สิน 4,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ราว 130,000 ล้านบาท
3. นายเจริญ สิริวัฒนภักดี ผู้ก่อตั้งบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ เจ้าของธุรกิจวิสกี้ และเบียร์ (เหล้าแม่โขง , เบียร์ช้างฯลฯ ) มูลค่ารวมทรัพย์สิน 4,150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
4. ครอบครัว “จิราธิวัฒน์” เจ้าของกิจการหลายอย่าง ตั้งแต่ธุรกิจค้าปลีก เครือข่าย เซ็นทรัล กรุ๊ป มูลค่ารวมทรัพย์สิน 2,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
5. นายกฤตย์ รัตนรักษ์ ประธาน และ ซีอีโอ ของ บริษัท บางกอก บรอดคาสติ้ง แอนด์ ทีวี (บีบีทีวี) โดยมีทรัพย์สินรวมถึงหุ้นในธนาคารกรุงศรีอยุธยา และปูนซิเมนต์นครหลวง มูลค่ารวมทรัพย์สิน 1,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
6. นายอาลก โลเฮีย กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทอินโดรามา โพลีเมอร์ส จำกัด (มหาชน) และอาศัยอยู่ในประเทศไทยมานานกว่า 20 ปี มูลค่ารวมทรัพย์สิน 1,250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
7. นายจำนงค์ ภิรมย์ภักดี ประธานบริษัทบุญรอดบริวเวอรี่ (เบียร์สิงห์ , ลีโอเบียร์) มูลค่ารวมทรัพย์สิน 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
8. นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธ์ เจ้าของกิจการพฤกษาเรียลเอสเตท บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ อันดับ 2 ของประเทศ มูลค่ารวมทรัพย์สิน 1,150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
9. นายวิชัย มาลีนนท์ เจ้าของกิจการ บีอีซีเวิลด์ และไทยทีวีสี ช่อง 3 มูลค่ารวมทรัพย์สิน 1,110 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
10. นายอิสระ วงศ์กุศลกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทมิตรผล (น้ำตาลมิตรผล) มูลค่ารวมทรัพย์สิน 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
11. คุณหญิงประณีตศิลป์ วัชรพล ภรรยา นายกำพล วัชรพล เจ้าของหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หนังสือพิมพ์หัวสีใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ร่วมมูลค่าทรัพย์สิน 1,050 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
12. นายวาณิช ไชยวรรณ และครอบครัว เจ้าของกิจการไทยประกันชีวิต
13. นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTS)
14. นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเครือบริษัท ไทยซัมมิต ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ถือหุ้นส่วนหนึ่งอยู่ใน เนชั่น มัลติมีเดีย
15. นางสุรางค์ เปรมปรีดิ์ กรรมการผู้จัดการบีบีทีวี (ช่อง7)
16. นายประยุทธ มหากิจศิริ เจ้าของกิจการเหล็กกล้า ไทยน็อกซ์ สแตนเลส
17. นายอนันต์ อัศวโภคิน ผู้ก่อตั้งบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮาส์
18. นายไกรสร ชาญสิริ ประธานและผู้ก่อตั้ง ไทย ยูเนียน ฟรอซเซน กิจการทูน่ากระป๋องที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก
19. วิลเลียม อี. ไฮเนคกี้ (Mr.William E Heinecke) หรือ รู้จักทั่วไปว่า บิล เฮนเนกี้ นักธุรกิจสัญชาติไทย เชื้อสายอเมริกัน และครอบครัว เจ้าของกิจการ ไมเนอร์ คอร์ป., ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ทำธุรกิจ อาทิ เอสปรี และธุรกิจภัตตาคาร , สปา , โรงแรม มากกว่า 800 แห่งในหลายประเทศ
20. นายสรรเสริญ จุฬางกูร ผู้ก่อตั้งบริษัท สามมิตรมอเตอร์ ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์
21. นายบุญชัย เบญจรงคกุล และครอบครัวผู้ก่อตั้ง บริษัทโทรคมนาคม ดีแทค
22. คุณหญิงประภา และนายวิทย์ วิริยะประไพกิจ ผู้บริหาร สหวิริยา สตีล อินดัสตรี้
23. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี Thaksin Shinawatra ทรัพย์สิน 390 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
24. นิชิต้า ชาห์ สาวโสด เจ้าของกิจการพรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน) ที่สืบทอดจากบิดา
25. นายวรวิทย์ วีรบวรพงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด(มหาชน)
26. นายจำรูญ ชินธรรมมิตร์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน)
27. น.พ.ประเสริฐ ปราสาททองโอสถ ผู้ก่อตั้งสายการบิน บางกอก แอร์เวย์ส
28. นางนิจพร จารนะจิตต์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ในอิตาเลียน-ไทย พี่สาวของ นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานโรงแรมโอเรียนเต็ล และมีหุ้นส่วนตัวอยู่ในเครือโรงแรมอมารี
29. นายเปรมชัย กรรณสูต ผู้บริหารสูงสุดของ บริษัทรับเหมาก่อสร้าง อิตาเลียน-ไทย
30. นายนิธิ โอสถานุเคราะห์ ได้รับตกทอดหุ้น บริษัท โอสถสภามา 25% มีเงินลงทุนอยู่ใน ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล
31. นายรุ่งโรจน์ แสงศาสตรา ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไดนาสตี้ เซรามิค จำกัด (มหาชน)
32. นายเฉลิม อยู่วิทยา (ลูกชาย นายเฉียว อยู่วิทยา) เป็นผู้บริหาร บริษัท เครื่องดื่มกระทิงแดง จำกัด
33. นายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)
34. นายวิโรจน์ ธนาลงกรณ์ เจ้าของธุรกิจเสื้อผ้า โดยเฉพาะ ชุดชั้นใน ซาบีน่า
35. นายวิชัย รักศรีอักษร ผู้ก่อตั้งบริษัท คิง เพาเวอร์ ดำเนินกิจการร้านค้าปลอดภาษี
36. นางพรดี ลี้อิสระนุกูล สืบทอดกิจการในเครือกลุ่มบริษัทสิทธิผล จาก นายวิทยา ผู้เป็นสามี มีหุ้นอยู่ในสิทธิผลมอเตอร์,ไทย สแตนเลย์ อีเลคทริค และบริษัทร่วมทุน อินูเอะ รับเบอร์
37. นายวิชา พูลวรลักษ์ เจ้าของกิจการ เมเจอร์ ซีนีเพลกซ์ เครือข่ายธุรกิจโรงภาพยนตร์ ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
38. นายปลิว ตรีวิศวเวทย์ เจ้าของกิจการบริษัทก่อสร้าง ช.การช่าง
39. นายเพชร โอสถานุเคราะห์ (นักร้อง และนักดนตรี เจ้าของผลงานเพลง “เพียงชายคนนี้..ไม่ใช่ผู้วิเศษ” ที่โด่งดังเมื่อปี พ.ศ. 2530) และนายรัตน์ โอสถานุเคราะห์ ซึ่งทั้งสองเข้ารับช่วงการบริหารบริษัทในเครือโอสถสภา และมหาวิทยาลัยกรุงเทพ
40. นายพงษ์ศักดิ์ วิทยากร ผู้ก่อตั้ง โรงพยาบาลกรุงเทพ

ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=35323
หุ้นที่มือใหม่ควรหลีกเลี่ยง
1หุ้นวัฏจักร เช่น หุ้นพลังงาน ปิโตรเคมี เหล็ก เดินเรือ เป็นต้น มีขาขึ้น ขาลง กินเวลาหลายปี ถ้ายังไม่เข้าใจวัฏจักรของธุรกิจนั้นๆดีพอ อยู่ห่างๆจะดีกว่า

ชื่อ:  energy.jpg
ครั้ง: 4461
ขนาด:  323.4 กิโลไบต์

ถ้าเผลอไปซื้อที่ดอยเข้า จนป่านนี้ก็ยังไม่คืนทุน หุ้นกลุ่มนี้จะฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ก็ต่อเมื่อการรวมกลุ่มของ AEC ได้ผลจริง อเมริกาและยุโรปฟื้นจริง ก็จะเริ่มบริโภคพลังงานกันอย่างมหาศาลอีกครั้ง

2หุ้นรับเหมา การจะคาดการณ์กำไร ต้องหาข้อมูลเยอะ หากยังใช้เครื่องมือไม่คล่อง ยังเข้าถึงข้อมูลไม่ได้เสมอเหมือนเท่าคนอื่นละก็ อย่าเล่นดีกว่า ถ้าไม่อยากเหนื่อย เพราะวันดี คืนดี อาจจะประกาศผลขาดทุนก็ได้ ทั้งที่ backlog ก็เยอะ ไตรมาสที่ผ่านๆมาก็ทำได้ดี ราคาก็ดิ่งหัวลงซะงั้น

ชื่อ:  itd.jpg
ครั้ง: 4407
ขนาด:  99.5 กิโลไบต์

3หุ้นที่ยังชำระทุนจดทะเบียนไม่ครบ ตามกฏหมายอนุญาติให้ บมจ. ชำระทุนจดทะเบียนเพียง 25% แปลว่าบริษัทสามารถออกหุ้นประเภทต่างๆมาเพิ่มทุนได้อีก ซึ่งนั่นทำให้ ในอนาคต กำไรเดิมจะถูกหารเฉลี่ยลงไป หรือที่เราเรียกว่า dilution

ชื่อ:  dilute.jpg
ครั้ง: 5465
ขนาด:  178.2 กิโลไบต์

มือใหม่ที่ยังคำนวณ dilution ไม่เป็น ไม่มีเวลาติดตามข่าว บมจ. ไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของราคาวอแรนต์ และราคาใช้สิทธิ แนะนำว่าไปสนใจหุ้นตัวอื่นดีกว่า ราคาอาจจะขึ้นแรงตามผลประกอบการช่วงสั้น แต่เจอ dilution effect เข้าไปก็ลงหนักได้เหมือนกัน และการจะเบ่งผลประกอบการให้โตตามจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้ ก็ใช้เวลาเป็นปีๆ เหมือนกัน

4หุ้นที่ไม่มีปันผลเลย แม้แต่น้อย คือแม้แต่กำไรก็ยังไม่พอจ่ายผู้ถือหุ้น เกิดไปติดดอยเข้า แล้ว cut loss ไม่เป็น (แนวพื้นฐานก็มี cut loss นะ.....หุหุ) ก็ยาวเลยทีนี้ ส่วนใหญ่ที่ยังจ่ายปันผลไม่ได้เพราะยังขาดทุนสะสมอยู่

5หุ้นที่มีหนี้มาก ถึงจะมีข้ออ้างว่าเป็นหนี้ระยะสั้น ใช้หมุนเวียนในการดำเนินกิจการ และแสดงกำไรได้โตแบบก้าวกระโดด ถ้าเป็นมือใหม่ที่ยังดูงบกระแสเงินสดไม่เป็น ควรหลีกอย่างยิ่ง เพราะวิธีการทางบัญชีบอกว่า กำไรที่ทำได้ไม่ได้หมายความว่าเงินจะถึงมือบริษัทจริง แต่หนี้สินที่มี ยังไงก็ต้องจ่ายดอกเบี้ย เป็นเงินสดๆ จริงๆ ของจริง

6หุ้นที่ยังมีขาดทุนสะสม ให้มือใหม่เข้าใจว่าที่ราคามันขึ้น เพราะคนที่มีข้อมูล เขาเข้าไปเก็งกำไรกัน และมีสิทธิที่สิ่งที่คาดหวังกันไม่เป็นดังหวัง ราคามีโอกาสร่วงได้เสมอ

ชื่อ:  super.jpg
ครั้ง: 4405
ขนาด:  118.5 กิโลไบต์

ตกใจขายไปก็ขาดทุน ถือต่อไปก็ไม่สบายใจ ไม่รู้ไตรมาสหน้าจะกลับมากำไรได้รึปล่าว สู้ลงทุนตัวที่มีกำไรย้อนหลังสม่ำเสมอดีกว่า

หุ้นประเภทที่ว่ามาไม่ใช่ว่าเล่นไม่ได้ หรือเล่นแล้วขาดทุน แต่เล่นแล้วเหนื่อย เครียด เรามาลงทุนแบบสบายๆ รักษาสุขภาพไว้ใช้เงิน มีเวลาเหลือไปเล่นกีฬา เข้าสปา ช๊อปปิ้ง นั่งสมาธิ สวดมนต์ กันดีกว่า

หุ้นในตลาดมีตั้งหลายร้อยตัว หาหุ้นประเภทนางงาม งามพร้อม ซัก 5 -6 ตัวคงไม่ยาก ไว้ให้หาหุ้นเองได้ก่อน มีเครื่องมือพร้อมก่อน ค่อยคิดทำการใหญ่ ทำกำไรเยอะๆ อย่ารีบร้อน
          ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=35376

วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2555

บัฟเฟตต์-โซรอส ลงทุนถูกนิสัย ยังไงก็ชนะ(International Bestseller) ตอนที่1บทนำ
สวัสดีครับ ผมคิดว่าเพื่อนๆทุกคนน่าจะรู้กันอยู่แล้วว่า1ในสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จคือ ”EQ”และ”ทัศนคติ” หนังสือเล่มนี้จะบอกแง่คิดดีๆ และลักษณะนิสัยของผู้ชนะ ลองติดตามอ่านกันดูนะครับน่าสนใจมาก^^

ชื่อ:  b1.jpg
ครั้ง: 1262
ขนาด:  11.9 กิโลไบต์

บัฟเฟตต์-โซรอส ลงทุนถูกนิสัย ยังไงก็ชนะ

บทนำ

วอร์เรน บัฟเฟตต์ และ จอร์จ โซรอส คือนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก เอกลักษณ์ของบัฟเฟตต์คือ การซื้อธุรกิจยอดเยี่ยมในราคาที่ต่ำกว่า มูลค่าที่แท้จริงที่เขาประเมินได้ และครอบครองธุรกิจนั้นไว้ “ตลอดกาล” ขณะที่โซรอสมีชื่อเสียงจากการลงทุน ในอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราและตลาดฟิวเจอร์ส แบบหนักมืออย่างชาญฉลาด
ชื่อ:  b2.jpg
ครั้ง: 1268
ขนาด:  18.6 กิโลไบต์
นักลงทุนทั้งสองคนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแทบจะทุกๆด้านอย่งาวิธีการลงทุนก็ต่างกันชนิดขาวกับดำ แล้วจะมีอะไรเล่า ที่นักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกสองคนนี้มีเหมือนกัน?
หากมองอย่างผิดเผินต้องบอกเลยว่า “แทบจะไม่มี”ทั้งสองคนแทบจะไม่มีอะไรเหมือนกันเลย แต่ผมสงสัยว่า หากจะมีอะไรสักอย่างที่บัฟเฟตต์และโซรอสทำ “เหมือนๆกัน” สิ่งนั้นต้องเป็นอะไรที่สำคัญขั้นสุดยอดแน่ๆ และ ไม่แน่ว่านั้นอาจเป็นเคล็ดลับที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของทั้งสองคน
ชื่อ:  b3.jpg
ครั้ง: 1276
ขนาด:  16.7 กิโลไบต์
ยิ่งมองลึกลงไปเท่าไร ผมยิ่งเห็นความคล้ายคลึงกันของทั้งสองคน จากการวิเคราะห์ความคิดและการตัดสินใจว่าเหตุใด พวกเขาจึงทำเช่นนั้น ตลอดจนวิเคราะห์ลึกลงไปถึงความเชื่อของทั้งสองคนผมกลับพบความจริงบางอย่งาที่น่าตื่นตะลึง ตัวอย่างเช่น
1:ทั้สองคนมีความเชื่อเหมือนกันเกี่ยวกับธรรมชาติของตลาด
2:เมื่อทั้งสองคนลงทุน ก็ไม่ได้มุ่งเน้นกำไรที่คาดว่าจะได้รับ อันที่จริงแล้วพวกเขา ไม่ ได้ลงทุนเพื่อเงิน
3:ทั้งสองคนเน้นไปที่การ .ไม่เสียเงิน” มากกว่าการทำเงิน
4:ในการลงทุนแต่ล่ะครั้งทั้งสองคน ไม่เคย “กระจายความเสี่ยง” โดยการลงทุนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
5:ความสามารถในการคาดการณ์ตลาดของทั้งสองคน ไม่ได้มีส่วนในความสำเร็จเลยแม้แต่น้อย

Credit: หนังสือบัฟเฟตต์-โซรอส ลงทุนถูกนิสัย ยังไงก็ชนะ
       
        ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=35333

วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2555


เปิดตัวหมอนข้างสยิว ให้หนุ่มๆมากอด




























ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=35047&s=295e664e841fafc87d2935d7f8950fad 
นักลงทุนผู้ประสบความสำเร็จ จะเพิกเฉยต่อข้าวร้ายที่เกิ

แค่หกส่วนก็พอ

ที่กรุงไทเปมีผู้รับเหมาก่อสร้างคนหนึ่ง  เป็นคนหนุ่มที่ชาญฉลาดที่รู้กันทั้งวงการ  มีหัวการค้าเป็นเลิศ  ทำงานคล่องแคล่วว่องไว  พร้อมลุยงานหนัก...