วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555
วิธีปราบวัชพืช
ภาพโดย เซียว อวิ๋นฉง ศิลปินสมัยปลายราชวงศ์หมิง
บรรดาสานุศิษย์พากันนั่งห้อมล้อมอาจารย์เซน เพื่อขอให้อาจารย์บอกเล่าถึงความลี้ลับของมนุษย์และจักรวาล
อาจารย์เซนไม่เอ่ยวาจา หลับตานิ่ง จากนั้นสักพักจึงโพล่งถามเหล่าสานุศิษย์ว่า "ทำอย่างไรจึงจะกำจัดวัชพืชออกจากพื้นที่โล่งนี้ได้?" บรรดาสานุศิษย์ต่างนิ่งงัน เพราะคิดไม่ถึงว่าอาจารย์เซนจะถามคำถามพื้นๆ เช่นนี้ออกมาได้
ศิษย์ผู้หนึ่งเอ่ยตอบว่า "ใช้จอบเสียมแซะขุดทำลายวัชพืชทิ้งไปให้หมด" เมื่ออาจารย์เซนได้ฟัง เพียงอมยิ้มไม่กล่าวกระไร
ศิษย์อีกผู้หนึ่งตอบว่า "ใช้ไฟเผา วัชพืชทั้งหมดย่อมถูกทำลายไป" อาจารย์เซนได้ฟังแล้ว ยังคงไว้ซึ่งรอยยิ้ม พร้อมกับผงกหัวเล็กน้อย
ศิษย์คนที่สามตอบว่า "ใช้ปูนขาวโรยบนวัชพืชให้ทั่ว เท่านี้บรรดาวัชพืชก็จะตายหมด" อาจารย์เซนยังคงมีปฏิกริยาเช่นเดิม
ศิษย์คนที่สี่เห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า "วิธีการของพวกเขาล้วนไม่ถูกต้อง เพราะล้วนไม่ได้กำจัดถึงรากวัชพืช การกำจัดวัชพืชที่ถูกต้องต้องถอนรากถอนโคน"
เมื่อเหล่าสานุศิษย์ต่างหมดคำตอบแล้ว อาจารย์เซนจึงเอ่ยว่า "พวกเจ้าล้วนตอบได้ดี ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าจงแบ่งที่ดินผืนนี้ออกเป็นส่วนๆ แล้วใช้วิธีการที่แต่ละคนได้เสนอมาในการกำจัดวัชพืซส่วนของใครของมัน แล้ววันนี้ของปีหน้าพวกเจ้าจงมารวมตัวกันที่นี่อีกครั้ง"
หนึ่งปีผ่านไป เหล่าสานุศิษย์ต่างมารวมตัวกันอีกครั้ง แต่พื้นที่ซึ่งเดิมเต็มไปด้วยวัชพืชนั้นไม่มีแล้ว กลับกลายเป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารเหลืองอร่ามไปทั่วผืนดิน เนื่องจากในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา บรรดาสานุศิษย์ใช้วิธีการต่างๆ นานา ล้วนไม่สามารถกำจัดวัชพืชได้อย่างหมดจด สุดท้ายจึงได้แต่ปลูกพืชพันธุ์ที่เป็นผลิตผลทางการเกษตรลงไปแทนที่เพื่อป้องกันไม่ให้วัชพืชเติบโตขึ้นมาอีก
ยามที่เหล่าศิษย์มารายล้อมอยู่นั้นพืชพันธุ์ทั้งหลายต่างกำลังสุกงอมเต็มที่ ทว่าอาจารย์เซนได้ล่วงลับดับขันธ์ไปก่อนหน้านั้นนานแล้ว คำสอนสุดท้ายที่อาจารย์ได้ทิ้งไว้ให้เหล่าสานุศิษย์ก็คือ วิธีกำจัดวัชพืชที่ได้ผลที่สุด มีเพียงวิธีเดียวคือปลูกพืชพันธุ์ที่ใช้การได้ทับลงไปแทนที่ ส่วนวิธีเดียวที่จะทำให้จิตวิญญาณของตนเองไม่ว่างเปล่า คือปลูกฝังด้วยคุณธรรมอันดีงามเท่านั้น
ภาพโดย อวิ้น โซ่วผิง ศิลปินสมัยราชวงศ์ชิง
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=34912
ภาพโดย เซียว อวิ๋นฉง ศิลปินสมัยปลายราชวงศ์หมิง
อาจารย์เซนไม่เอ่ยวาจา หลับตานิ่ง จากนั้นสักพักจึงโพล่งถามเหล่าสานุศิษย์ว่า "ทำอย่างไรจึงจะกำจัดวัชพืชออกจากพื้นที่โล่งนี้ได้?" บรรดาสานุศิษย์ต่างนิ่งงัน เพราะคิดไม่ถึงว่าอาจารย์เซนจะถามคำถามพื้นๆ เช่นนี้ออกมาได้
ศิษย์ผู้หนึ่งเอ่ยตอบว่า "ใช้จอบเสียมแซะขุดทำลายวัชพืชทิ้งไปให้หมด" เมื่ออาจารย์เซนได้ฟัง เพียงอมยิ้มไม่กล่าวกระไร
ศิษย์อีกผู้หนึ่งตอบว่า "ใช้ไฟเผา วัชพืชทั้งหมดย่อมถูกทำลายไป" อาจารย์เซนได้ฟังแล้ว ยังคงไว้ซึ่งรอยยิ้ม พร้อมกับผงกหัวเล็กน้อย
ศิษย์คนที่สามตอบว่า "ใช้ปูนขาวโรยบนวัชพืชให้ทั่ว เท่านี้บรรดาวัชพืชก็จะตายหมด" อาจารย์เซนยังคงมีปฏิกริยาเช่นเดิม
ศิษย์คนที่สี่เห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า "วิธีการของพวกเขาล้วนไม่ถูกต้อง เพราะล้วนไม่ได้กำจัดถึงรากวัชพืช การกำจัดวัชพืชที่ถูกต้องต้องถอนรากถอนโคน"
เมื่อเหล่าสานุศิษย์ต่างหมดคำตอบแล้ว อาจารย์เซนจึงเอ่ยว่า "พวกเจ้าล้วนตอบได้ดี ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าจงแบ่งที่ดินผืนนี้ออกเป็นส่วนๆ แล้วใช้วิธีการที่แต่ละคนได้เสนอมาในการกำจัดวัชพืซส่วนของใครของมัน แล้ววันนี้ของปีหน้าพวกเจ้าจงมารวมตัวกันที่นี่อีกครั้ง"
หนึ่งปีผ่านไป เหล่าสานุศิษย์ต่างมารวมตัวกันอีกครั้ง แต่พื้นที่ซึ่งเดิมเต็มไปด้วยวัชพืชนั้นไม่มีแล้ว กลับกลายเป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารเหลืองอร่ามไปทั่วผืนดิน เนื่องจากในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา บรรดาสานุศิษย์ใช้วิธีการต่างๆ นานา ล้วนไม่สามารถกำจัดวัชพืชได้อย่างหมดจด สุดท้ายจึงได้แต่ปลูกพืชพันธุ์ที่เป็นผลิตผลทางการเกษตรลงไปแทนที่เพื่อป้องกันไม่ให้วัชพืชเติบโตขึ้นมาอีก
ยามที่เหล่าศิษย์มารายล้อมอยู่นั้นพืชพันธุ์ทั้งหลายต่างกำลังสุกงอมเต็มที่ ทว่าอาจารย์เซนได้ล่วงลับดับขันธ์ไปก่อนหน้านั้นนานแล้ว คำสอนสุดท้ายที่อาจารย์ได้ทิ้งไว้ให้เหล่าสานุศิษย์ก็คือ วิธีกำจัดวัชพืชที่ได้ผลที่สุด มีเพียงวิธีเดียวคือปลูกพืชพันธุ์ที่ใช้การได้ทับลงไปแทนที่ ส่วนวิธีเดียวที่จะทำให้จิตวิญญาณของตนเองไม่ว่างเปล่า คือปลูกฝังด้วยคุณธรรมอันดีงามเท่านั้น
ภาพโดย อวิ้น โซ่วผิง ศิลปินสมัยราชวงศ์ชิง
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=34912
ตลกเจ็บ "ปวดหัวเพราะ ไข่"
'โจ' มีโรคประจำตัวคือ...ปวดหัวเป็นประจำ แต่ว่าไม่เคยไปหาหมอเลย
เนื่องจากเขาคิดว่า เป็นเพียงแค่การปวดหัวจากการเรียนหนังสืออย่างหนักเท่านั้น
ปล่อยไว้เดี๋ยวก็หาย
10 ปีผ่านไป.. อาการปวดหัวก็ไม่เคยหายไป แม้ว่าบัดนี้เขาได้ก้าวเข้าสู่วัยกลางคนแล้วก็ตาม
เขาก็ไม่คิดจะไปหาหมอ เนื่องจาก 'โจ' คิดว่าเป็นเพียงเพราะเครียดจากการทำงาน
อีก 10 ปีต่อมา.. อาการปวดหัวก็ไม่เคยหาย มีแต่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
เขาจึงตัดสินใจว่าจะต้องไปหาหมอเสียที และหลังจากที่หมอทำการตรวจเรียบร้อย
หมอจึงได้พูดขึ้นว่า...
' ผมมีข่าวดี และ ข่าวร้ายครับ '
ข่าวดีก็คือ ผมสามารถรักษาอาการของคุณ ได้อย่างหายขาด
' และข่าวร้ายหล่ะครับหมอ' โจ...ถามขึ้นอย่างร้อนรน
' ข่าวร้ายก็คือว่า ผมต้องทำการตัดไข่คุณทิ้งครับ ' หมอตอบ
โจ...เหมือนตกอยู่ในภวังค์
' คืองี้ครับ...' หมอรีบอธิบายก่อน
' อาการของคุณ ถือว่าเป็นเคสที่หาได้ยากมากๆ เรียกว่า 1 ใน 100 ล้าน ก็ว่าได้
ไข่ทั้ง 2 ข้างของคุณนั้น ไปดันลำไส้ให้ไปกดทับเส้นปลายประสาทล่างสุดของกระดูกสันหลัง
การกดทับนี้เองทำให้คุณต้องทรมาณกับการปวดหัวอย่างรุนแรงตลอด 20 ปีที่ผ่านมา...'
' ทางเดียวที่หมอจะรักษาได้ ก็คือ 'การตัดไข่ครับ' หมอสรุปสั้นๆ
แต่นั่น...ได้ทำร้ายจิตใจของโจยิ่งนัก หมอได้ให้โอกาสเขาตัดสินใจ อย่างไรก็ตาม
เขารู้สึกหดหู่ยิ่งนัก เขาสู้อุตส่าห์มานะเรียน เพื่อให้ได้ทำงานดีๆ ไม่เคยไปเที่ยวเหลวไหล
เธค - ผับ ....ไม่รู้จัก สาวๆ ไม่เคยสน และเมื่อได้งานแล้ว เขาก็ได้ทุ่มเทอย่างหนัก เพื่อให้ก้าวหน้า และมีเงินเยอะๆ
จนมาวันนี้... เขาได้ทุกอย่างที่ต้องการ และเขาคิดว่าถ้าได้สิ่งเหล่านี้แล้ว
ผู้หญิงมากมายก็จะเข้ามาหาอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ทุกสิ่งที่วาดฝัน...ก็พังทลายจากอาการปวดหัว
ของโจเอง เขาได้นอนคิดอยู่หลายคืน ถึงแม้จะเศร้าเพียงใด แต่เขาก็ไม่อยากทรมาณเหมือนดั่งตกนรกอีกต่อไป
เขาไม่กล้าปรึกษาใคร เนื่องจากคิดว่าเป็นเรื่องน่าอาย ดังนั้น..วันรุ่งขึ้นเขาจึงไปโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัดทันที
หลังจากออกจาก ร.พ ด้วยอาการสมองปลอดโปร่งครั้งแรกในรอบ 20 ปี
แต่เขาก็รู้สึกเหมือน...ขาดบางอย่างที่สำคัญไปในชีวิต เหมือนกลายเป็นอีกคนหนึ่ง
แต่เขาก็เข้มแข็งพอ และตัดสินใจที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ เขาจึงเดินเข้าร้านตัดสูทที่แพงที่สุดในนิวยอร์ค
เพื่อเป็นการปลอบใจ และเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ โจได้กล่าวกับชายแก่เจ้าของร้าน หลังจากที่เดินเข้ามาต้อนรับ...
' เอ่อ ผมจะตัดสูทครับ !!' โจกล่าว..
' ได้ครับ อืมม ขนาด 44 ' เจ้าของร้านดูโดยไม่ต้องวัด
โจหัวเราะ ' ถูกแล้ว.. รู้ได้งัยเนี่ย ? '
' เปิดร้านมา 60 ปี น่ะครับ' โจลองสูท ซึ่งใส่ได้ สวย และขนาดพอดี
' ไม่สนใจ...จะลองเสื้อเชิ๊ทมั้งเหรอครับ' เจ้าของร้านถาม
' ก็ดีครับ' โจตอบ
' อืมม แขน 34 คอ 16 นิ้วครึ่ง' เจ้าของร้านดูโดยไม่ต้องวัด
โจ เริ่มชักสงสัย ' ถูกแล้ว... รู้ได้งัยเนี่ย '
' เปิดร้านมา 60 ปี น่ะครับ' เจ้าของร้านตอบ
โจลองเสื้อ ซึ่งใส่ได้สวยและขนาดพอดี
' รองเท้า...สักคู่ดีไหมครับ ?' เจ้าของร้านถาม
' ก็ดีครับ' โจตอบ
' อืมม 9 นิ้วครึ่ง' เจ้าของร้านดูโดยไม่ต้องวัด
เช่นนั้น โจรู้สึกแปลกใจมาก ' ถูกแล้ว.. รู้ได้งัยเนี่ย ?'
' เปิดร้านมา60 ปี น่ะครับ' เจ้าของร้านตอบทันควัน
โจใส่รองเท้า ซึ่งใส่ได้สวย และขนาดพอดี ขณะที่เขาลองเดินไปทั่วร้าน เจ้าของร้านจึงถามว่า......
' ลองกางเกงในตัวใหม่...สักหน่อยมั้ยครับ' เจ้าของร้านถามต่อ
โจ ชะงัก และหยุดคิดสักครู่ 'ก็ดีครับ'
' อืมม ขนาด 36 พอดี' คราวนี้โจหัวเราะก้าก 'ฮ่า เสร็จผมหล่ะ คราวนี้
' คุณผิดครับ !! ผมใส่เบอร์ 34 ตั้งแต่อายุ 18 แล้ว..'
ชายแก่ส่ายหน้า พร้อมกับพูดขึ้นว่า...
' โอ้ย !! อย่างคุณ 34 ไม่ได้หรอก.. ทรมณตายห่า...'
' เพราะมันจะไปรั้งไข่คุณ ไปกดลำไส้ และทำให้ไปกดทับเส้นประสาทล่างสุดของกระดูกสันหลังอีกที
คุณไม่เคยปวดหัวมั่งเลยเหรอ..?'
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าบางปัญหาวิธีแก้ง่ายๆก็มี
อย่าตัดสินใจอะไร โดยไม่เคยหาข้อมูล
มิฉะนั้นไซร้... ท่านอาจเสีย...ไข่
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=34921
'โจ' มีโรคประจำตัวคือ...ปวดหัวเป็นประจำ แต่ว่าไม่เคยไปหาหมอเลย
เนื่องจากเขาคิดว่า เป็นเพียงแค่การปวดหัวจากการเรียนหนังสืออย่างหนักเท่านั้น
ปล่อยไว้เดี๋ยวก็หาย
10 ปีผ่านไป.. อาการปวดหัวก็ไม่เคยหายไป แม้ว่าบัดนี้เขาได้ก้าวเข้าสู่วัยกลางคนแล้วก็ตาม
เขาก็ไม่คิดจะไปหาหมอ เนื่องจาก 'โจ' คิดว่าเป็นเพียงเพราะเครียดจากการทำงาน
อีก 10 ปีต่อมา.. อาการปวดหัวก็ไม่เคยหาย มีแต่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
เขาจึงตัดสินใจว่าจะต้องไปหาหมอเสียที และหลังจากที่หมอทำการตรวจเรียบร้อย
หมอจึงได้พูดขึ้นว่า...
' ผมมีข่าวดี และ ข่าวร้ายครับ '
ข่าวดีก็คือ ผมสามารถรักษาอาการของคุณ ได้อย่างหายขาด
' และข่าวร้ายหล่ะครับหมอ' โจ...ถามขึ้นอย่างร้อนรน
' ข่าวร้ายก็คือว่า ผมต้องทำการตัดไข่คุณทิ้งครับ ' หมอตอบ
โจ...เหมือนตกอยู่ในภวังค์
' คืองี้ครับ...' หมอรีบอธิบายก่อน
' อาการของคุณ ถือว่าเป็นเคสที่หาได้ยากมากๆ เรียกว่า 1 ใน 100 ล้าน ก็ว่าได้
ไข่ทั้ง 2 ข้างของคุณนั้น ไปดันลำไส้ให้ไปกดทับเส้นปลายประสาทล่างสุดของกระดูกสันหลัง
การกดทับนี้เองทำให้คุณต้องทรมาณกับการปวดหัวอย่างรุนแรงตลอด 20 ปีที่ผ่านมา...'
' ทางเดียวที่หมอจะรักษาได้ ก็คือ 'การตัดไข่ครับ' หมอสรุปสั้นๆ
แต่นั่น...ได้ทำร้ายจิตใจของโจยิ่งนัก หมอได้ให้โอกาสเขาตัดสินใจ อย่างไรก็ตาม
เขารู้สึกหดหู่ยิ่งนัก เขาสู้อุตส่าห์มานะเรียน เพื่อให้ได้ทำงานดีๆ ไม่เคยไปเที่ยวเหลวไหล
เธค - ผับ ....ไม่รู้จัก สาวๆ ไม่เคยสน และเมื่อได้งานแล้ว เขาก็ได้ทุ่มเทอย่างหนัก เพื่อให้ก้าวหน้า และมีเงินเยอะๆ
จนมาวันนี้... เขาได้ทุกอย่างที่ต้องการ และเขาคิดว่าถ้าได้สิ่งเหล่านี้แล้ว
ผู้หญิงมากมายก็จะเข้ามาหาอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ทุกสิ่งที่วาดฝัน...ก็พังทลายจากอาการปวดหัว
ของโจเอง เขาได้นอนคิดอยู่หลายคืน ถึงแม้จะเศร้าเพียงใด แต่เขาก็ไม่อยากทรมาณเหมือนดั่งตกนรกอีกต่อไป
เขาไม่กล้าปรึกษาใคร เนื่องจากคิดว่าเป็นเรื่องน่าอาย ดังนั้น..วันรุ่งขึ้นเขาจึงไปโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัดทันที
หลังจากออกจาก ร.พ ด้วยอาการสมองปลอดโปร่งครั้งแรกในรอบ 20 ปี
แต่เขาก็รู้สึกเหมือน...ขาดบางอย่างที่สำคัญไปในชีวิต เหมือนกลายเป็นอีกคนหนึ่ง
แต่เขาก็เข้มแข็งพอ และตัดสินใจที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ เขาจึงเดินเข้าร้านตัดสูทที่แพงที่สุดในนิวยอร์ค
เพื่อเป็นการปลอบใจ และเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ โจได้กล่าวกับชายแก่เจ้าของร้าน หลังจากที่เดินเข้ามาต้อนรับ...
' เอ่อ ผมจะตัดสูทครับ !!' โจกล่าว..
' ได้ครับ อืมม ขนาด 44 ' เจ้าของร้านดูโดยไม่ต้องวัด
โจหัวเราะ ' ถูกแล้ว.. รู้ได้งัยเนี่ย ? '
' เปิดร้านมา 60 ปี น่ะครับ' โจลองสูท ซึ่งใส่ได้ สวย และขนาดพอดี
' ไม่สนใจ...จะลองเสื้อเชิ๊ทมั้งเหรอครับ' เจ้าของร้านถาม
' ก็ดีครับ' โจตอบ
' อืมม แขน 34 คอ 16 นิ้วครึ่ง' เจ้าของร้านดูโดยไม่ต้องวัด
โจ เริ่มชักสงสัย ' ถูกแล้ว... รู้ได้งัยเนี่ย '
' เปิดร้านมา 60 ปี น่ะครับ' เจ้าของร้านตอบ
โจลองเสื้อ ซึ่งใส่ได้สวยและขนาดพอดี
' รองเท้า...สักคู่ดีไหมครับ ?' เจ้าของร้านถาม
' ก็ดีครับ' โจตอบ
' อืมม 9 นิ้วครึ่ง' เจ้าของร้านดูโดยไม่ต้องวัด
เช่นนั้น โจรู้สึกแปลกใจมาก ' ถูกแล้ว.. รู้ได้งัยเนี่ย ?'
' เปิดร้านมา60 ปี น่ะครับ' เจ้าของร้านตอบทันควัน
โจใส่รองเท้า ซึ่งใส่ได้สวย และขนาดพอดี ขณะที่เขาลองเดินไปทั่วร้าน เจ้าของร้านจึงถามว่า......
' ลองกางเกงในตัวใหม่...สักหน่อยมั้ยครับ' เจ้าของร้านถามต่อ
โจ ชะงัก และหยุดคิดสักครู่ 'ก็ดีครับ'
' อืมม ขนาด 36 พอดี' คราวนี้โจหัวเราะก้าก 'ฮ่า เสร็จผมหล่ะ คราวนี้
' คุณผิดครับ !! ผมใส่เบอร์ 34 ตั้งแต่อายุ 18 แล้ว..'
ชายแก่ส่ายหน้า พร้อมกับพูดขึ้นว่า...
' โอ้ย !! อย่างคุณ 34 ไม่ได้หรอก.. ทรมณตายห่า...'
' เพราะมันจะไปรั้งไข่คุณ ไปกดลำไส้ และทำให้ไปกดทับเส้นประสาทล่างสุดของกระดูกสันหลังอีกที
คุณไม่เคยปวดหัวมั่งเลยเหรอ..?'
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าบางปัญหาวิธีแก้ง่ายๆก็มี
อย่าตัดสินใจอะไร โดยไม่เคยหาข้อมูล
มิฉะนั้นไซร้... ท่านอาจเสีย...ไข่
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=34921
10 วิธีใช้ประโยชน์จากหูฟัง iPhone ให้เต็มประสิทธิภาพ
ผมเองเป็นหนึ่งคนที่ชอบฟังเพลงจาก iPhone เป็นประจำและก็คิดว่าหลายๆ คนก็จะเป็นแบบผมเช่นกัน เท่าที่ใช้หูฟังของ iPhone มาส่วนใหญ่กดอยู่ไม่กี่แบบ เช่น กดเล่นเพลง หยุดเพลง เปลี่ยนเพลง อะไรทำนองนี้ แต่รู้หรือไม่ว่าเจ้าหูฟัง iPhone ตัวนี้มันทำอะไรได้เยอะกว่าเพิ่มเสียงหรือว่าลดเสียงเท่านั้น มันมีกว่า 10 เทคนิคที่ซ่อนเอาไว้ในสายขาวเส้นนี้มาดูกัน
เทคนิคการใช้งานหูฟัง iPhone ที่ควรทราบ
-กดตรงกลาง 1 ครั้ง เพื่อเล่นหรือหยุดเพลง
-กดตรงกลาง 2 ครั้งโดยครั้งที่ 2 นั้นให้กดค้าง เพื่อเลื่อนเพลงไปข้างหน้าให้เร็วขึ้น (Fast-Forward)
-กดตรงกลาง 3 ครั้งโดยครั้งที่ 3 ให้กดค้าง เพื่อเล่นเพลงแบบย้อนกลับ (Rewind)
-กดตรงกลาง 2 ครั้ง เพื่อเล่นเพลงถัดไป
-กดตรงกลาง 3 ครั้ง เพื่อย้อนกลับไปเล่นเพลงก่อนหน้า
-หากมีสายเข้า ให้กดตรงกลาง 1 ครั้ง เพื่อรับสาย หลังจากคุยเสร็จแล้วก็กดตรงกลางอีกครั้งเพื่อวางสาย
-หากมีสายเข้าและอยากตัดสาย ทำได้โดย กดปุ่มกลางค้างเอาไว้จนกว่าจะได้ยินเสียงบีบๆ 2 ครั้ง
-หากกำลังคุยสายอยู่แล้วมีสายซ้อนเข้ามา กดปุ่มกลาง 1 ครั้งเพื่อรับสายใหม่ หากจะวางสายซ้อนก็ให้กดปุ่มกลางค้างไว้ 2 วินาที
-สั่งถ่ายรูปง่ายๆ โดยการกดปุ่มเพิ่มเสียง 1 ครั้ง (อย่าลืมเปิดกล้องขึ้นมาก่อน) สำหรับการถ่ายวีดีโอก็เช่นกันและต้องการหยุดการถ่ายวีดีโอก็กดที่ปุ่มเพิ่มเสียงอีกครั้ง
-iPhone 4S กดตรงกลางค้างเพื่อเรียก Siri, ส่วน iPhone 4 กดตรงกลางครั้งเพื่อเรียก Voice Control ขึ้นมา
นี่เป็นเทคนิคดีๆ ที่นำมาฝากกัน ว่างๆ ก็ลองหยิบสายหูฟังมาลองใช้และลองสั่งการดูนะครับ อย่างน้อยมันก็จะคุ้มค่ากับราคา 1,000 กว่าบาทสำหรับค่าตัวของมัน
ขอบคุณ CNET
iphonemod.net
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=34932
ผมเองเป็นหนึ่งคนที่ชอบฟังเพลงจาก iPhone เป็นประจำและก็คิดว่าหลายๆ คนก็จะเป็นแบบผมเช่นกัน เท่าที่ใช้หูฟังของ iPhone มาส่วนใหญ่กดอยู่ไม่กี่แบบ เช่น กดเล่นเพลง หยุดเพลง เปลี่ยนเพลง อะไรทำนองนี้ แต่รู้หรือไม่ว่าเจ้าหูฟัง iPhone ตัวนี้มันทำอะไรได้เยอะกว่าเพิ่มเสียงหรือว่าลดเสียงเท่านั้น มันมีกว่า 10 เทคนิคที่ซ่อนเอาไว้ในสายขาวเส้นนี้มาดูกัน
เทคนิคการใช้งานหูฟัง iPhone ที่ควรทราบ
-กดตรงกลาง 1 ครั้ง เพื่อเล่นหรือหยุดเพลง
-กดตรงกลาง 2 ครั้งโดยครั้งที่ 2 นั้นให้กดค้าง เพื่อเลื่อนเพลงไปข้างหน้าให้เร็วขึ้น (Fast-Forward)
-กดตรงกลาง 3 ครั้งโดยครั้งที่ 3 ให้กดค้าง เพื่อเล่นเพลงแบบย้อนกลับ (Rewind)
-กดตรงกลาง 2 ครั้ง เพื่อเล่นเพลงถัดไป
-กดตรงกลาง 3 ครั้ง เพื่อย้อนกลับไปเล่นเพลงก่อนหน้า
-หากมีสายเข้า ให้กดตรงกลาง 1 ครั้ง เพื่อรับสาย หลังจากคุยเสร็จแล้วก็กดตรงกลางอีกครั้งเพื่อวางสาย
-หากมีสายเข้าและอยากตัดสาย ทำได้โดย กดปุ่มกลางค้างเอาไว้จนกว่าจะได้ยินเสียงบีบๆ 2 ครั้ง
-หากกำลังคุยสายอยู่แล้วมีสายซ้อนเข้ามา กดปุ่มกลาง 1 ครั้งเพื่อรับสายใหม่ หากจะวางสายซ้อนก็ให้กดปุ่มกลางค้างไว้ 2 วินาที
-สั่งถ่ายรูปง่ายๆ โดยการกดปุ่มเพิ่มเสียง 1 ครั้ง (อย่าลืมเปิดกล้องขึ้นมาก่อน) สำหรับการถ่ายวีดีโอก็เช่นกันและต้องการหยุดการถ่ายวีดีโอก็กดที่ปุ่มเพิ่มเสียงอีกครั้ง
-iPhone 4S กดตรงกลางค้างเพื่อเรียก Siri, ส่วน iPhone 4 กดตรงกลางครั้งเพื่อเรียก Voice Control ขึ้นมา
นี่เป็นเทคนิคดีๆ ที่นำมาฝากกัน ว่างๆ ก็ลองหยิบสายหูฟังมาลองใช้และลองสั่งการดูนะครับ อย่างน้อยมันก็จะคุ้มค่ากับราคา 1,000 กว่าบาทสำหรับค่าตัวของมัน
ขอบคุณ CNET
iphonemod.net
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=34932
"ทำไมพ่อถึงไม่รวยซักที?"
เดวิตเป็นนักเล่นหุ้นคนนึง ที่หวังจะมีอิสรภาพการเงินเช่นเดียวกับคนที่ก้าวเข้าสู่ตลาดหุ้นมากมาย เขาซื้อขายหุ้นหลายร้อยตัวในหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ยังไม่เคยทำกำไรได้จริงๆซักที เขาไม่เคยย่อท้อ เขายังเชื่อว่าสักวันเขาจะต้องทำได้ แม้เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาพลาดตรงไหน !!!!!
เช้าวันเสาร์วันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังนั่งหน้าคอมพิวเตอร์เพื่อศึกษาตลาดอยู่นั้น ลูกสาววัย 7 ขวบของเขาเดินเข้ามากระตุกชายเสื้อของเขาและพูดว่า “พ่อคะ ทำไมเราไม่รวยซักที?”
เขามองเข้าไปในนัยตาของลูกสาว และ คิดในใจว่า มันเป็นคำถามที่ตอบยากอะไรเช่นนี้ ทาไมเราถึงไม่รวยซักทีหล่ะ? เด็กน้อยยืนใจจดจ่อรอคำตอบอย่างตั้งใจ เขาอ้าอึ้งที่จะพูดว่า แม้ว่าเขาจะตั้งใจที่จะเทรดให้รวยมาตลอด 15 ปี แต่เขาก็ยังจนอยู่จนบัดนี้ เขาซื้อขายหุ้นนับร้อยตัว แต่ว่าไม่เคยทำกำไรได้เป็นเรื่องเป็นราวซักที
เขามองที่ลูกสาว แล้วถามว่า “อะไรที่ทำให้หนูคิดว่าเราไม่รวยกันหล่ะจ๊ะ ลูกรัก? ?” เธอมองกลับมาด้วยสายตาค้อนๆ พร้อมกับพูดว่า “เพราะว่าพ่อบอกว่าถ้าเรารวย พ่อกับแม่จะไม่ต้องไปทางานอีกแล้ว แต่นี่พ่อกับแม่ก็ยังทำงานตลอดเวลา” พ่อเคยบอกว่าเราจะย้ายไปอยู่บ้านริมชายหาดและเล่นที่หาดทรายทุก ๆ วัน หนูเลยอยากรู้ว่าพ่อกาลังทำอะไร แล้วเมื่อไหร่เราจะได้ย้ายไปบ้านริมชายหาดเสียที? ” คำถามของเด็กน้อย บาดลึก ไม่มีคำถามอะไรที่แทงใจดำมากกว่านี้อีกแล้ว “เราไม่รวยเพราะว่า..... พ่อพลาด” เขาตอบในท้ายที่สุด “แล้วพ่อพลาดยังไงหรอคะ? ” ลูกสาวถามขึ้นทันที
“เอ่อ คือพ่อซื้อหุ้นในตอนที่มันกำลังจะลง และ ก็ไม่ได้ขายมันออกไปเร็วพอ และบางครั้งพ่อก็ซื้อหุ้นและขายมัน ก่อนที่ราคามันจะพุ่ง หน่ะลูก” เดวิตตอบคำถามลูกสาวตัวน้อยด้วยความรู้สึกผิด
“แล้วพ่อทำอย่างนั้นทำไมคะ?” เธอถามกลับด้วยความสงสัย เขาอึ้งคิดไปชั่วขณะเพราะไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนี้ยังไง เขาไม่มีเหตุผลที่จะซื้อหุ้นในขณะที่มันกำลังจะลง และเขาไม่มีเหตุผลที่จะถือมันไว้เมื่อเวลาราคามันลดลงไปเรื่อยๆ เขาไม่มีเหตุผลรองรับในการขายหุ้นด้วยเช่นกันในขณะที่ราคายังจะวิ่งไปต่อ ตรรกะของเธอบริสุทธิ์มาก ทำไมเขาไม่ตั้งใจทำให้มันดีกว่านี้กันหล่ะ? เขารู้ทันทีในตอนนั้นว่าสิ่งที่เขาต้องทำคือต้องเปลี่ยนแผนการเทรด !!!!!
เขาติดค้างตัวเองและครอบครัว ท้ายที่สุดเขาเลยตัดสินใจทำการเปลี่ยนแปลง ซึ่งวันแห่งความเจ็บปวดที่ผ่านมาทำให้เขานั่งเขียนแผนการเทรด กฏการเทรด เพื่อที่จะให้ชีวิตเดินหน้าต่อไป เขาเริ่มโดยการเขียน มุมมองของเขา ว่าเขาต้องการอะไรที่สุดในชีวิต และ มันจะดีแค่ไหนเมื่อเขาเป็นนักลงทุนหรือเทรดเดอร์ที่ประสบความสาเร็จแล้ว เขาเลยเริ่มมองย้อนกลับจากตรงนั้น ว่าเขาจะประสบความสาเร็จกับความฝันของเขาได้อย่างไร ????
ในจินตนาการของเขา มีแต่เพนท์เฮ้าส์ 4 ห้องนอนใกล้ชายหาด มีเฟอรารี่สีแดงสด 360 โมเดนา คอมพิวเตอร์จอพลาสม่า 80 นิ้ว ในห้องทำงานส่วนตัว บนชั้น 17 และวันหยุดที่มีเวลาให้กับครอบครัว เขาบริจาคเงินหลายล้านเหรียญให้กับองค์การกุศลเพื่อช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาส เขามองเห็นภาพทั้งหมดนี้ เมื่อเขาเป็นเทรดเดอร์ที่รวยแล้ว
เขาตั้งสติและเริ่มเข้าใจแล้วว่า ปัญหาหลักที่เกิดขึ้น มันเกิดจากการที่เขากลัวว่าจะขาดทุน และก็กลัวว่าราคามันจะแพงไปจนจิตใจไม่กล้าควบคุม จนในที่สุดเขาจึงเลือกที่จะขายมันออกไปก่อนเวลาที่ควร เขาเล่นแบบเสียไม่ได้ แทนที่จะเล่นให้ชนะ !!! เขาตัดสินใจในทันทีว่าจะไม่ทำอย่างนั้นอีก เขาจะไม่ทำอะไรนอกจากทำตามแผนการเทรดที่ยอดเยี่ยมของเขา เขาตัดสินใจว่าเขาจะเข้าเทรดตามแผนและทำตามแผนที่วางไว้ เพราะว่าชีวิตของเขาขึ้นอยู่กับมันแล้ว
จากคำถามที่แสนไร้เดียงสาของเด็กน้อย ทำให้เดวิตเริ่มต้นวางกฏแห่งการเทรดขึ้น ซึ่งอันดับแรกเขาจะเทรดเมื่่อมีเทรนที่ชัดเจนเท่านั้น ซึ่งเทรนจะเกิดขึ้นเมื่อแท่งราคานั้นเคลื่อนไหวอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย moving average หรือ ข้างล่างเส้นสำหรับการ short แต่ว่าราคาหุ้นต้องเคลื่อนไหวชัดเจนในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
มันเป็นกฎที่เรียบง่าย
เขาลงมือศึกษาหุ้นในกลุ่มต่าง ๆ และบันทึกรายละเอียดการเคลื่อนไหวของเทรนทุกๆวัน เขาจะเทรดทุกครั้งที่ระบบเทรดของเขาให้สัญญาณ ตั้ง Stop loss ในจุดที่คิดว่าเทรนกำลังจะเปลี่ยน และเขาจะถือ position จนกว่าเทรนจะเปลี่ยน เขาจะทำตัวเหมือนเทรดเดอร์ที่เก่ง แม้ว่าตอนนี้การเทรดของเขายังไม่ได้เป็นแบบนั้นก็ตาม ...
เมื่อเขาปิด order ในแต่ละครั้ง เขาจะต้องนั่งอธิบายกับตัวเองอีกคนในฐานะซุปเปอร์เทรดเดอร์ ว่าทำไมเขาถึงเข้าจุดนี้ และ ทำไมเขาถึงตั้ง stop loss ที่จุดนี้ และ ออกตรงจุดนี้เพราะอะไร ถ้าเขาไม่สามารถแย้งกับตัวเองอีกคนได้ว่า ทำไมเขาถึงเข้าเทรดหรือออกจากการเทรดนั่นหมายถึงชีวิตการเทรดของเขากำลังจะจบลง...
เขาเริ่มเทรดได้กำไรอย่างต่อเนื่อง เขารู้สึกว่าเขาทำได้ดี และเขาเริ่มทำเงินได้จากการเทรด เขาทราบว่าคนรวยนั้นแตกต่าง พวกเขาจะมีการตัดสินใจที่มีเหตุผลไม่ใช่อารมณ์ พวกเขาเข้าใจคุณค่าของเงิน พวกเขาให้ความเคารพเงินว่าเป็นเครื่องมือในการสร้างโลกที่ดีกว่า พวกเขาจะซื้อด้วยเหตุผลและขายด้วยเหตุผลที่ถูกต้องเช่นเดียวกัน
ในวันหนึ่ง เมื่อเขาปิด order เทรด เขารู้สึกตื่นเต้นมาก เขาบอกลูกสาวว่า “วันนี้พ่อทำกำไรได้เยอะมาก มาดูกันเร็ว”
ลูกสาวของเขามาที่คอมพิวเตอร์และดูที่จออย่างที่เขาตื่นเต้นที่จะแสดงให้เธอดู ซึ่งหุ้นที่เขาซื้อ ได้กำไร 13,000 เหรียญ เธอมองและถามพ่อว่า “ พ่อคะ มันยังขึ้นอยู่อีกไม่ใช่หรอ? ทำไมถึงขายมันแล้วหล่ะ? “ ทำไมเขาถึงออกจากเทรนในช่วงที่มันชัดเจน และทำกำไรแล้ว? เธอพูดถูก ตลาดยังคงขึ้นอยู่ ดังนั้นเขาเลยซื้อกลับอีกครั้ง เขาไม่เคยทำแบบนั้นมาก่อน และตอนนี้เขากาลังเป็นเทรดเดอร์ผู้ยิ่งใหญ่! ราคายังวิ่งต่อไปไม่หยุด เขาเลยซื้อเพิ่มทุกครั้งที่มันยังขึ้นไป จนกว่าเทรนมันจะเปลี่ยน ในที่สุดเขาทำกำไรได้ทั้งหมด 34,500$ !!!!
คำถามที่แสนธรรมดาของลูกสาว มีมูลค่ามากกว่า $20,000! นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาออกจากการเทรดแบบใช้อารมณ์ เขาปราศจากความกลัว ต้องขอบคุณคำถามของลูกสาวของเขา ...
ตอนนี้ มันถึงตาของคุณแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณคิดจะเปิดออเดอร์ หาเด็กซักคน แม้จะต้องยืมลูกเพื่อนบ้านแถวนั้นมา ถามเขาว่า ตอนนี้เทรนไปทางไหน แล้วอย่าเทรดทิศทางตรงกันข้าม! ถ้าการเทรดของคุณไม่เป็นระบบ ให้คุณสร้างแผนการเทรดแล้วคุณจะมีแนวทางในการตัดสินใจ สิ่งสาคัญ คือ ความกลัวนั้นเป็นบทเรียนที่แสนแพง
ถ้าคุณกลัวที่จะเสียเงิน ลด position ของคุณซะ จนกว่าความกลัวของคุณหายไป เมื่อคุณเริ่มได้กำไรซักพักแม้จะเป็นก้อนเล็กๆ คุณจะสามารถเทรดด้วยขนาดบัญชีปกติกับความมั่นใจที่เพิ่มขึ้น หลังจากนั้นคุณจึงค่อยๆเพิ่มขนาดเงินของคุณขึ้น แต่ถ้าคุณขาดทุนติดๆ กัน ลดขนาด position ของคุณลงอีก จนกว่าคุณจะกลับมาได้ และทำตามแผนการเทรดของคุณเมื่อคุณเทรดได้ต่อเนื่อง และคงที่แล้ว เงินก้อนโตจะตามมาเอง
ที่เหลือก็คือ คุณแค่ต้องลงมือทำเท่านั้น !!!!!
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=34935
เดวิตเป็นนักเล่นหุ้นคนนึง ที่หวังจะมีอิสรภาพการเงินเช่นเดียวกับคนที่ก้าวเข้าสู่ตลาดหุ้นมากมาย เขาซื้อขายหุ้นหลายร้อยตัวในหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ยังไม่เคยทำกำไรได้จริงๆซักที เขาไม่เคยย่อท้อ เขายังเชื่อว่าสักวันเขาจะต้องทำได้ แม้เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาพลาดตรงไหน !!!!!
เช้าวันเสาร์วันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังนั่งหน้าคอมพิวเตอร์เพื่อศึกษาตลาดอยู่นั้น ลูกสาววัย 7 ขวบของเขาเดินเข้ามากระตุกชายเสื้อของเขาและพูดว่า “พ่อคะ ทำไมเราไม่รวยซักที?”
เขามองเข้าไปในนัยตาของลูกสาว และ คิดในใจว่า มันเป็นคำถามที่ตอบยากอะไรเช่นนี้ ทาไมเราถึงไม่รวยซักทีหล่ะ? เด็กน้อยยืนใจจดจ่อรอคำตอบอย่างตั้งใจ เขาอ้าอึ้งที่จะพูดว่า แม้ว่าเขาจะตั้งใจที่จะเทรดให้รวยมาตลอด 15 ปี แต่เขาก็ยังจนอยู่จนบัดนี้ เขาซื้อขายหุ้นนับร้อยตัว แต่ว่าไม่เคยทำกำไรได้เป็นเรื่องเป็นราวซักที
เขามองที่ลูกสาว แล้วถามว่า “อะไรที่ทำให้หนูคิดว่าเราไม่รวยกันหล่ะจ๊ะ ลูกรัก? ?” เธอมองกลับมาด้วยสายตาค้อนๆ พร้อมกับพูดว่า “เพราะว่าพ่อบอกว่าถ้าเรารวย พ่อกับแม่จะไม่ต้องไปทางานอีกแล้ว แต่นี่พ่อกับแม่ก็ยังทำงานตลอดเวลา” พ่อเคยบอกว่าเราจะย้ายไปอยู่บ้านริมชายหาดและเล่นที่หาดทรายทุก ๆ วัน หนูเลยอยากรู้ว่าพ่อกาลังทำอะไร แล้วเมื่อไหร่เราจะได้ย้ายไปบ้านริมชายหาดเสียที? ” คำถามของเด็กน้อย บาดลึก ไม่มีคำถามอะไรที่แทงใจดำมากกว่านี้อีกแล้ว “เราไม่รวยเพราะว่า..... พ่อพลาด” เขาตอบในท้ายที่สุด “แล้วพ่อพลาดยังไงหรอคะ? ” ลูกสาวถามขึ้นทันที
“เอ่อ คือพ่อซื้อหุ้นในตอนที่มันกำลังจะลง และ ก็ไม่ได้ขายมันออกไปเร็วพอ และบางครั้งพ่อก็ซื้อหุ้นและขายมัน ก่อนที่ราคามันจะพุ่ง หน่ะลูก” เดวิตตอบคำถามลูกสาวตัวน้อยด้วยความรู้สึกผิด
“แล้วพ่อทำอย่างนั้นทำไมคะ?” เธอถามกลับด้วยความสงสัย เขาอึ้งคิดไปชั่วขณะเพราะไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนี้ยังไง เขาไม่มีเหตุผลที่จะซื้อหุ้นในขณะที่มันกำลังจะลง และเขาไม่มีเหตุผลที่จะถือมันไว้เมื่อเวลาราคามันลดลงไปเรื่อยๆ เขาไม่มีเหตุผลรองรับในการขายหุ้นด้วยเช่นกันในขณะที่ราคายังจะวิ่งไปต่อ ตรรกะของเธอบริสุทธิ์มาก ทำไมเขาไม่ตั้งใจทำให้มันดีกว่านี้กันหล่ะ? เขารู้ทันทีในตอนนั้นว่าสิ่งที่เขาต้องทำคือต้องเปลี่ยนแผนการเทรด !!!!!
เขาติดค้างตัวเองและครอบครัว ท้ายที่สุดเขาเลยตัดสินใจทำการเปลี่ยนแปลง ซึ่งวันแห่งความเจ็บปวดที่ผ่านมาทำให้เขานั่งเขียนแผนการเทรด กฏการเทรด เพื่อที่จะให้ชีวิตเดินหน้าต่อไป เขาเริ่มโดยการเขียน มุมมองของเขา ว่าเขาต้องการอะไรที่สุดในชีวิต และ มันจะดีแค่ไหนเมื่อเขาเป็นนักลงทุนหรือเทรดเดอร์ที่ประสบความสาเร็จแล้ว เขาเลยเริ่มมองย้อนกลับจากตรงนั้น ว่าเขาจะประสบความสาเร็จกับความฝันของเขาได้อย่างไร ????
ในจินตนาการของเขา มีแต่เพนท์เฮ้าส์ 4 ห้องนอนใกล้ชายหาด มีเฟอรารี่สีแดงสด 360 โมเดนา คอมพิวเตอร์จอพลาสม่า 80 นิ้ว ในห้องทำงานส่วนตัว บนชั้น 17 และวันหยุดที่มีเวลาให้กับครอบครัว เขาบริจาคเงินหลายล้านเหรียญให้กับองค์การกุศลเพื่อช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาส เขามองเห็นภาพทั้งหมดนี้ เมื่อเขาเป็นเทรดเดอร์ที่รวยแล้ว
เขาตั้งสติและเริ่มเข้าใจแล้วว่า ปัญหาหลักที่เกิดขึ้น มันเกิดจากการที่เขากลัวว่าจะขาดทุน และก็กลัวว่าราคามันจะแพงไปจนจิตใจไม่กล้าควบคุม จนในที่สุดเขาจึงเลือกที่จะขายมันออกไปก่อนเวลาที่ควร เขาเล่นแบบเสียไม่ได้ แทนที่จะเล่นให้ชนะ !!! เขาตัดสินใจในทันทีว่าจะไม่ทำอย่างนั้นอีก เขาจะไม่ทำอะไรนอกจากทำตามแผนการเทรดที่ยอดเยี่ยมของเขา เขาตัดสินใจว่าเขาจะเข้าเทรดตามแผนและทำตามแผนที่วางไว้ เพราะว่าชีวิตของเขาขึ้นอยู่กับมันแล้ว
จากคำถามที่แสนไร้เดียงสาของเด็กน้อย ทำให้เดวิตเริ่มต้นวางกฏแห่งการเทรดขึ้น ซึ่งอันดับแรกเขาจะเทรดเมื่่อมีเทรนที่ชัดเจนเท่านั้น ซึ่งเทรนจะเกิดขึ้นเมื่อแท่งราคานั้นเคลื่อนไหวอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย moving average หรือ ข้างล่างเส้นสำหรับการ short แต่ว่าราคาหุ้นต้องเคลื่อนไหวชัดเจนในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
มันเป็นกฎที่เรียบง่าย
เขาลงมือศึกษาหุ้นในกลุ่มต่าง ๆ และบันทึกรายละเอียดการเคลื่อนไหวของเทรนทุกๆวัน เขาจะเทรดทุกครั้งที่ระบบเทรดของเขาให้สัญญาณ ตั้ง Stop loss ในจุดที่คิดว่าเทรนกำลังจะเปลี่ยน และเขาจะถือ position จนกว่าเทรนจะเปลี่ยน เขาจะทำตัวเหมือนเทรดเดอร์ที่เก่ง แม้ว่าตอนนี้การเทรดของเขายังไม่ได้เป็นแบบนั้นก็ตาม ...
เมื่อเขาปิด order ในแต่ละครั้ง เขาจะต้องนั่งอธิบายกับตัวเองอีกคนในฐานะซุปเปอร์เทรดเดอร์ ว่าทำไมเขาถึงเข้าจุดนี้ และ ทำไมเขาถึงตั้ง stop loss ที่จุดนี้ และ ออกตรงจุดนี้เพราะอะไร ถ้าเขาไม่สามารถแย้งกับตัวเองอีกคนได้ว่า ทำไมเขาถึงเข้าเทรดหรือออกจากการเทรดนั่นหมายถึงชีวิตการเทรดของเขากำลังจะจบลง...
เขาเริ่มเทรดได้กำไรอย่างต่อเนื่อง เขารู้สึกว่าเขาทำได้ดี และเขาเริ่มทำเงินได้จากการเทรด เขาทราบว่าคนรวยนั้นแตกต่าง พวกเขาจะมีการตัดสินใจที่มีเหตุผลไม่ใช่อารมณ์ พวกเขาเข้าใจคุณค่าของเงิน พวกเขาให้ความเคารพเงินว่าเป็นเครื่องมือในการสร้างโลกที่ดีกว่า พวกเขาจะซื้อด้วยเหตุผลและขายด้วยเหตุผลที่ถูกต้องเช่นเดียวกัน
ในวันหนึ่ง เมื่อเขาปิด order เทรด เขารู้สึกตื่นเต้นมาก เขาบอกลูกสาวว่า “วันนี้พ่อทำกำไรได้เยอะมาก มาดูกันเร็ว”
ลูกสาวของเขามาที่คอมพิวเตอร์และดูที่จออย่างที่เขาตื่นเต้นที่จะแสดงให้เธอดู ซึ่งหุ้นที่เขาซื้อ ได้กำไร 13,000 เหรียญ เธอมองและถามพ่อว่า “ พ่อคะ มันยังขึ้นอยู่อีกไม่ใช่หรอ? ทำไมถึงขายมันแล้วหล่ะ? “ ทำไมเขาถึงออกจากเทรนในช่วงที่มันชัดเจน และทำกำไรแล้ว? เธอพูดถูก ตลาดยังคงขึ้นอยู่ ดังนั้นเขาเลยซื้อกลับอีกครั้ง เขาไม่เคยทำแบบนั้นมาก่อน และตอนนี้เขากาลังเป็นเทรดเดอร์ผู้ยิ่งใหญ่! ราคายังวิ่งต่อไปไม่หยุด เขาเลยซื้อเพิ่มทุกครั้งที่มันยังขึ้นไป จนกว่าเทรนมันจะเปลี่ยน ในที่สุดเขาทำกำไรได้ทั้งหมด 34,500$ !!!!
คำถามที่แสนธรรมดาของลูกสาว มีมูลค่ามากกว่า $20,000! นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาออกจากการเทรดแบบใช้อารมณ์ เขาปราศจากความกลัว ต้องขอบคุณคำถามของลูกสาวของเขา ...
ตอนนี้ มันถึงตาของคุณแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณคิดจะเปิดออเดอร์ หาเด็กซักคน แม้จะต้องยืมลูกเพื่อนบ้านแถวนั้นมา ถามเขาว่า ตอนนี้เทรนไปทางไหน แล้วอย่าเทรดทิศทางตรงกันข้าม! ถ้าการเทรดของคุณไม่เป็นระบบ ให้คุณสร้างแผนการเทรดแล้วคุณจะมีแนวทางในการตัดสินใจ สิ่งสาคัญ คือ ความกลัวนั้นเป็นบทเรียนที่แสนแพง
ถ้าคุณกลัวที่จะเสียเงิน ลด position ของคุณซะ จนกว่าความกลัวของคุณหายไป เมื่อคุณเริ่มได้กำไรซักพักแม้จะเป็นก้อนเล็กๆ คุณจะสามารถเทรดด้วยขนาดบัญชีปกติกับความมั่นใจที่เพิ่มขึ้น หลังจากนั้นคุณจึงค่อยๆเพิ่มขนาดเงินของคุณขึ้น แต่ถ้าคุณขาดทุนติดๆ กัน ลดขนาด position ของคุณลงอีก จนกว่าคุณจะกลับมาได้ และทำตามแผนการเทรดของคุณเมื่อคุณเทรดได้ต่อเนื่อง และคงที่แล้ว เงินก้อนโตจะตามมาเอง
ที่เหลือก็คือ คุณแค่ต้องลงมือทำเท่านั้น !!!!!
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=34935
''มาม่าบูล''เซียนหุ้นพันล้านชอบการ ''เก็งกำไร' หุ้นพื้นฐานเป็นอย่างไรไม่รู้จัก
กลางสัปดาห์ที่ผ่านมา (7 พ.ย.)งานเปิดสาขาออนไลน์ของบริษัทหลักทรัพย์(บล.)ซีมิโก้ จำกัด(มหาชน) ที่อาคารออลซีซั่น เพลส ชั้น 3 หญิงสาววัยกลางคนนางหนึ่งเดินเฉิดฉายเข้ามาในงาน จากเฟอร์นิเจอร์(เครื่องประดับเพชร)ที่เธอใส่ทำให้เจ้าตัวดูงามระยิบบ่งบอกถึงฐานะที่มั่งคั่ง
ด้านเจ้าภาพ(ผู้บริหารบล.ซีมิโก้)สะกิดผู้สื่อข่าวว่านั่นไงมาม่าบลูหรือ ศรีฟ้า แจ่มวุฒิปรีชา นักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหุ้น
กระจอกข่าวกรูเข้าหาเป้าหมายและตีวงล้อมเพื่อสัมภาษณ์ มาม่าบลู ขณะที่เจ้าตัวยิ้มและทักทายอย่างเป็นกันเอง
ทุกประโยคที่สนทนา บ่งบอกว่าเธอเป็นคนตรงไปตรงมาไม่มีอะไรปิดบัง และไม่มีประโยคที่บอกว่าให้ออฟเรคคอร์ด(ห้ามเขียน)
จากปากของมาม่าบลูเธอเล่าว่า ได้ยึดอาชีพเล่นหุ้นมา 10 กว่าปีแล้ว ขณะที่ไม่ได้บอกว่าปัจจุบันมีพอร์ตลงทุนเท่าไหร่ แต่ในแวดวงนักลงทุนว่ากันว่า พอร์ตเธอมีระดับพันล้าน!
มาม่าบลู กล่าวว่า เธอเล่นหุ้นก๊วนเดียวกับนักลงทุนรายใหญ่ที่มีพอร์ตลงทุนระดับพันล้านเช่น สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล หรือฉายา เสี่ยปู่ และ สอง วัชรศรีโรจน์ หรือฉายาเสี่ยสอง
อย่างไรก็ตามมาม่าบลูบอกว่าเธอเล่นหุ้นกับทุกคนที่มาชวน ไม่ได้จำกัดว่าเป็นก๊วนใคร!
ขณะที่ไม่ได้เอ่ยชื่อชนะชัย ลีนะบรรจงเศรษฐีหุ้นอีกรายที่สนิทชิดเชื้อกับเธอและในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้องที่คณะวิศวกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งในวงการเซียนหุ้นล่ำลือกันว่ามาม่าบลูแตกคอกับรุ่นพี่คนนี้ซะแล้ว หลังจากเมื่อเมื่อไม่นานมานี้ มาม่าบลูเป็นพันธมิตรในการเข้าเทคโอเวอร์หุ้นบริษัทรับเหมาก่อสร้าง บมจ. อีเอ็มซี
มาม่าบูลเล่าชัดถ้อยชัดคำถึงสไตล์ การเล่นหุ้นว่าเธอเป็นนักเก็งกำไร ตัวยง โดยยอมรับว่ามักจะเล่นหุ้นตัวเล็กๆ ไม่ชอบเล่นหุ้นพื้นฐาน(หุ้นปัจจัยพื้นฐานดีหรือหุ้นบลูชิพ)
มาม่าบลูเคยให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเมื่อปลายปีที่ผ่านมาว่า ฉันมันพวกนักเก็งกำไร ส่วนหุ้นพื้นฐานเป็นยังไง ฉันไม่รู้จัก
สำหรับปี 2550 นี้ เธอบอกว่า แม้จะมีหุ้นพลังงานอยู่ในพอร์ตไม่มากนัก แต่จากตลาดหุ้นที่ขึ้นแรงรอบนี้ พอร์ตโตเป็น 4 เท่าแล้ว
พร้อมพูดติดตลกอีกว่า อย่างหุ้น บมจ.ปตท.(PTT) ซื้อสะสมไว้ 1,000 หุ้นแล้ว แต่ก็ไม่รู้ทำไมเวลาสั่งซื้อแต่ละครั้ง(ซื้อคราวละ 100 หุ้น) ราคาหุ้นกลับไม่ไปไหนเลย เลยคิดว่าวันไหนที่หมั่นไส้หุ้นตัวนี้เพราะเห็นว่าราคาวิ่งขึ้นจัง ก็เลยเข้าไปซื้อทีละ 100 หุ้นทุกที แต่ราคาก็จะหยุดขึ้นทุกที
พร้อมกับหัวเราะและพูดอีกว่า สมน้ำน่า(ราคา)อยากขึ้นดีนัก
ส่วนสาเหตุที่ไม่ชอบเล่นหุ้นพื้นฐาน มาม่าบลู เล่าว่า เนื่องจากหุ้นเหล่านี้จะเป็นหุ้นขนาดใหญ่ โดยรอบที่ผ่านมาหุ้นที่ขึ้นแรง ๆจะเป็นหุ้นกลุ่มพลังงาน ซึ่งต้องยอมรับว่าส่วนใหญ่นักลงทุนต่างชาติจะซื้อขายกันมาก ดังนั้นทำให้ไม่สามารถรู้ได้ว่านักลงทุนต่างชาติจะเข้าเมื่อไหร่ออกเมื่อไหร่
การเล่นหุ้นตัวใหญ่จะยากกว่าหุ้นขนาดเล็ก และจากประสบการณ์ที่เล่นหุ้นมากว่า 10 ปี ก็เล่นหุ้นตัวเล็กมาตลอดจึงมีความเข้าใจการเล่นหุ้นประเภทนี้ดี ทั้งตัวหุ้น จังหวะเข้าซื้อและขายออก ซึ่งรวมไปถึงการดูมูลค่าการซื้อขายด้วย
มาม่าบลู เผยกลยุทธ์การเล่นหุ้นอีกว่า หุ้นที่น่าสนใจต้องไม่ใช้หุ้นที่ราคาวิ่งขึ้นไปแล้ว นั่นเป็นช่วงปลายแล้ว ส่วนหุ้นที่น่าสนใจสำหรับเธอ คือ เป็นหุ้นที่ราคายังไม่วิ่ง เป็นต้น พร้อมแย้มตัวอย่าง เช่น หุ้นSAM ( บมจ.สามชัย สตีล อินดัสทรี) เป็นต้น
อย่างไรก็ตามเซียนหุ้นรายนี้ยอมรับว่า การเล่นหุ้นขนาดเล็กก็ถือว่าเสี่ยงกับการขาดทุนสูง (opportunity loss) และยอมรับว่าที่ผ่านมาก็เคยมีขาดทุน!
หากเข้าไปซื้อแล้ว เห็นว่าราคาหุ้นยังนิ่งๆไม่ไปไหน หรือมีโอกาสขาดทุนสูงก็จะยอมขายตัดขาดทุนทันที เพราะไม่รู้จะถือต่อไปทำไม อย่าง บมจ.อีเอ็มซี (EMC) ก็ยอมรับว่าถือมากเหมือนกันพอเห็นราคาไม่ไปไหนก็ขายทิ้ง
นอกจากนี้มาม่าบลูยอมรับว่าที่ผ่านมามีหุ้นขนาดเล็กบางตัวรู้ๆกันอยู่ว่าเป็นหุ้นปั่น ซึ่งก็เป็นปกติเพราะหุ้นตัวเล็กปั่นง่าย สร้างข่าวได้ง่าย
มาม่าบลู กล่าวว่า ปัจจุบันเธอเปิดพอร์ตเล่นหุ้นกับบริษัทหลักทรัพย์ประมาณ 10 ราย แต่ส่วนใหญ่มักจะนั่งเล่นหุ้นประจำอยู่ที่บล.ยูโอบี เคย์เฮียน ชั้น 3 อาคารสินธรทาวเวอร์ แถมยังพูดติดตลกอีกว่า มานั่งเป็นเจ้าแม่ที่นี่
อนึ่งมาม่าบลู เป็นเซียนหุ้นที่มีการศึกษาระดับสูงสุด ปริญญาโท(เอ็มบีเอ)จากสถาบันพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) และจบปริญญาตรีคณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมศาสตร์เคมี จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปี 2518
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=34936
กลางสัปดาห์ที่ผ่านมา (7 พ.ย.)งานเปิดสาขาออนไลน์ของบริษัทหลักทรัพย์(บล.)ซีมิโก้ จำกัด(มหาชน) ที่อาคารออลซีซั่น เพลส ชั้น 3 หญิงสาววัยกลางคนนางหนึ่งเดินเฉิดฉายเข้ามาในงาน จากเฟอร์นิเจอร์(เครื่องประดับเพชร)ที่เธอใส่ทำให้เจ้าตัวดูงามระยิบบ่งบอกถึงฐานะที่มั่งคั่ง
ด้านเจ้าภาพ(ผู้บริหารบล.ซีมิโก้)สะกิดผู้สื่อข่าวว่านั่นไงมาม่าบลูหรือ ศรีฟ้า แจ่มวุฒิปรีชา นักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหุ้น
กระจอกข่าวกรูเข้าหาเป้าหมายและตีวงล้อมเพื่อสัมภาษณ์ มาม่าบลู ขณะที่เจ้าตัวยิ้มและทักทายอย่างเป็นกันเอง
ทุกประโยคที่สนทนา บ่งบอกว่าเธอเป็นคนตรงไปตรงมาไม่มีอะไรปิดบัง และไม่มีประโยคที่บอกว่าให้ออฟเรคคอร์ด(ห้ามเขียน)
จากปากของมาม่าบลูเธอเล่าว่า ได้ยึดอาชีพเล่นหุ้นมา 10 กว่าปีแล้ว ขณะที่ไม่ได้บอกว่าปัจจุบันมีพอร์ตลงทุนเท่าไหร่ แต่ในแวดวงนักลงทุนว่ากันว่า พอร์ตเธอมีระดับพันล้าน!
มาม่าบลู กล่าวว่า เธอเล่นหุ้นก๊วนเดียวกับนักลงทุนรายใหญ่ที่มีพอร์ตลงทุนระดับพันล้านเช่น สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล หรือฉายา เสี่ยปู่ และ สอง วัชรศรีโรจน์ หรือฉายาเสี่ยสอง
อย่างไรก็ตามมาม่าบลูบอกว่าเธอเล่นหุ้นกับทุกคนที่มาชวน ไม่ได้จำกัดว่าเป็นก๊วนใคร!
ขณะที่ไม่ได้เอ่ยชื่อชนะชัย ลีนะบรรจงเศรษฐีหุ้นอีกรายที่สนิทชิดเชื้อกับเธอและในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้องที่คณะวิศวกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งในวงการเซียนหุ้นล่ำลือกันว่ามาม่าบลูแตกคอกับรุ่นพี่คนนี้ซะแล้ว หลังจากเมื่อเมื่อไม่นานมานี้ มาม่าบลูเป็นพันธมิตรในการเข้าเทคโอเวอร์หุ้นบริษัทรับเหมาก่อสร้าง บมจ. อีเอ็มซี
มาม่าบูลเล่าชัดถ้อยชัดคำถึงสไตล์ การเล่นหุ้นว่าเธอเป็นนักเก็งกำไร ตัวยง โดยยอมรับว่ามักจะเล่นหุ้นตัวเล็กๆ ไม่ชอบเล่นหุ้นพื้นฐาน(หุ้นปัจจัยพื้นฐานดีหรือหุ้นบลูชิพ)
มาม่าบลูเคยให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเมื่อปลายปีที่ผ่านมาว่า ฉันมันพวกนักเก็งกำไร ส่วนหุ้นพื้นฐานเป็นยังไง ฉันไม่รู้จัก
สำหรับปี 2550 นี้ เธอบอกว่า แม้จะมีหุ้นพลังงานอยู่ในพอร์ตไม่มากนัก แต่จากตลาดหุ้นที่ขึ้นแรงรอบนี้ พอร์ตโตเป็น 4 เท่าแล้ว
พร้อมพูดติดตลกอีกว่า อย่างหุ้น บมจ.ปตท.(PTT) ซื้อสะสมไว้ 1,000 หุ้นแล้ว แต่ก็ไม่รู้ทำไมเวลาสั่งซื้อแต่ละครั้ง(ซื้อคราวละ 100 หุ้น) ราคาหุ้นกลับไม่ไปไหนเลย เลยคิดว่าวันไหนที่หมั่นไส้หุ้นตัวนี้เพราะเห็นว่าราคาวิ่งขึ้นจัง ก็เลยเข้าไปซื้อทีละ 100 หุ้นทุกที แต่ราคาก็จะหยุดขึ้นทุกที
พร้อมกับหัวเราะและพูดอีกว่า สมน้ำน่า(ราคา)อยากขึ้นดีนัก
ส่วนสาเหตุที่ไม่ชอบเล่นหุ้นพื้นฐาน มาม่าบลู เล่าว่า เนื่องจากหุ้นเหล่านี้จะเป็นหุ้นขนาดใหญ่ โดยรอบที่ผ่านมาหุ้นที่ขึ้นแรง ๆจะเป็นหุ้นกลุ่มพลังงาน ซึ่งต้องยอมรับว่าส่วนใหญ่นักลงทุนต่างชาติจะซื้อขายกันมาก ดังนั้นทำให้ไม่สามารถรู้ได้ว่านักลงทุนต่างชาติจะเข้าเมื่อไหร่ออกเมื่อไหร่
การเล่นหุ้นตัวใหญ่จะยากกว่าหุ้นขนาดเล็ก และจากประสบการณ์ที่เล่นหุ้นมากว่า 10 ปี ก็เล่นหุ้นตัวเล็กมาตลอดจึงมีความเข้าใจการเล่นหุ้นประเภทนี้ดี ทั้งตัวหุ้น จังหวะเข้าซื้อและขายออก ซึ่งรวมไปถึงการดูมูลค่าการซื้อขายด้วย
มาม่าบลู เผยกลยุทธ์การเล่นหุ้นอีกว่า หุ้นที่น่าสนใจต้องไม่ใช้หุ้นที่ราคาวิ่งขึ้นไปแล้ว นั่นเป็นช่วงปลายแล้ว ส่วนหุ้นที่น่าสนใจสำหรับเธอ คือ เป็นหุ้นที่ราคายังไม่วิ่ง เป็นต้น พร้อมแย้มตัวอย่าง เช่น หุ้นSAM ( บมจ.สามชัย สตีล อินดัสทรี) เป็นต้น
อย่างไรก็ตามเซียนหุ้นรายนี้ยอมรับว่า การเล่นหุ้นขนาดเล็กก็ถือว่าเสี่ยงกับการขาดทุนสูง (opportunity loss) และยอมรับว่าที่ผ่านมาก็เคยมีขาดทุน!
หากเข้าไปซื้อแล้ว เห็นว่าราคาหุ้นยังนิ่งๆไม่ไปไหน หรือมีโอกาสขาดทุนสูงก็จะยอมขายตัดขาดทุนทันที เพราะไม่รู้จะถือต่อไปทำไม อย่าง บมจ.อีเอ็มซี (EMC) ก็ยอมรับว่าถือมากเหมือนกันพอเห็นราคาไม่ไปไหนก็ขายทิ้ง
นอกจากนี้มาม่าบลูยอมรับว่าที่ผ่านมามีหุ้นขนาดเล็กบางตัวรู้ๆกันอยู่ว่าเป็นหุ้นปั่น ซึ่งก็เป็นปกติเพราะหุ้นตัวเล็กปั่นง่าย สร้างข่าวได้ง่าย
มาม่าบลู กล่าวว่า ปัจจุบันเธอเปิดพอร์ตเล่นหุ้นกับบริษัทหลักทรัพย์ประมาณ 10 ราย แต่ส่วนใหญ่มักจะนั่งเล่นหุ้นประจำอยู่ที่บล.ยูโอบี เคย์เฮียน ชั้น 3 อาคารสินธรทาวเวอร์ แถมยังพูดติดตลกอีกว่า มานั่งเป็นเจ้าแม่ที่นี่
อนึ่งมาม่าบลู เป็นเซียนหุ้นที่มีการศึกษาระดับสูงสุด ปริญญาโท(เอ็มบีเอ)จากสถาบันพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) และจบปริญญาตรีคณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมศาสตร์เคมี จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปี 2518
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=34936
มิติใหม่ของแนวคิดกับ "หุ้น 5 เด้ง Penny Stocks" ตอนที่1
สวัสดีนักลงทุนทุกท่านนะครับ หลายๆท่านคงทราบกันอยู่แล้วว่าสิ่งสำคัญในตลาดหุ้นคือ”ความรู้”วันนี้เรามาลองเปิดหูเปิดตากับหนังสือหุ้นที่มีแนวคิดแนวๆที่หลายๆคนยังไม่ทราบกันนะครับ มาเสริมอาวุธที่เรียกว่า”ความรู้”เพื่อความอยู่รอดในตลาดหุ้นกัน^^ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=34959&s=1122e8f892778bc6ee4d92ec05fd43cb
บทนำ
คุณเล่นหุ้นอะไร ?
คำตอบที่ได้ยินบ่อยๆ…อ๋อ…เล่นหุ้น ปตท. หุ้นปูนใหญ่ หุ้นซีพี หรือไม่ก็หุ้นบ้านปู
นั้นออกจะเป็นปกติ ที่หลักทฤษฎีในตำราหุ้นทั่วไป บอกไว้อย่างนั้นให้ควรซื้อหุ้นนำตลาด หากจะซื้อหุ้นควรจะเป็น SET 50 ลักษณะอาการขึ้นและลงในสัดส่วนที่พอๆกับตลาด ตลาดหุ้นรวมปรับขึ้น 10% โดยเฉลี่ยแล้วหุ้น SET 50 ก็ปรับขึ้น 10% และในทางตรงกันข้ามก็เช่นกัน
แล้วการเล่นหุ้นประเภทนี้ไม่ดีหรือ?
ก็ตอบว่า ดีมาก!!
มันจะไม่ดีได้อย่างไรล่ะ ในเมื่อหุ้นบลูชิพเหล่านั้น มีโอกาสน้อยมาก ที่จะโดนถอนจากตลาด แถมน่าจะมีประวัติในการจ่ายปันผลงดงามต่อเนื่องทุกปี
นั้นแน่นอน..ชี้ให้เห็นความเสี่ยงที่ต่ำ!! แม้หุ้นจะตก แต่ปันผลมีให้ผู้ถือหุ้นตลอด และแทบไม่มีโอกาสที่จะเจ๊งจนปิดกิจการ
เสี่ยงต่ำ และ ได้ต่ำ Low Risk, Low Return
หากจะขอรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหน่อยก็เข้าหลัก..High Risk, High Return (มันจะแย่มากหากคุณเลือกการลงทุนแบบ High Risk, Low Return..มันฟังดูตลกนะ แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่เลือกหุ้นแนวเสี่ยงสูงๆ แต่หากได้แล้วได้แค่นิดเดียว
Penny Stocks คือหุ้นประเภทหนึ่งที่ฝรั่งเรียกกับหุ้นตัวเล็กๆ..ชื่อก็บอกแล้วว่า ราคุ้นอยู่ในหลักต่ำกว่า 1 เหรียญเป็นแค่หลักเพนนีต่อหุ้น
ในภาษาไทยหากเราจะเรียกหุ้นเหล่านี้ว่า “หุ้นต่ำบาท” ก็น่าจะได้ และหากบางตัวราคาเกินกว่า 1บาท นั่นก็ยังสามารถจับเข้ากลุ่มนี้ได้ หากองค์ประกอบต่างๆยังเข้าข่ายที่วางไว้ แนวทางที่จะตามหาผลตอบแทนสูงๆ Penny Stocks นี้อาจจะเป็นคำตอบได้(จะนำเสนอองค์ประกอบต่างๆในตอนต่อๆไปนะครับ)
เราลองมาดูกันว่า เราจะสามารถลงทุนแบบ Low Risk, High Return ได้อย่างไร? และเคยได้ยินหรือไม่ว่า..ตลาดหุ้นมีจุดอ่อน หรือที่เรียกกันว่า”ความบกพร่องของตลาด”นั้นคืออะไร? มันคงจะแย่มากๆต่อเรา หรือตรงข้าม นั่นต่างหากคือโอกาสดีๆของเรา ?
หนังสือPenny Stockนี้จะนำเสนอแนวคิดมิติใหม่และอีกรูปแบบของการลงทุนหุ้น มีมาให้เลือก…ไม่ว่าจะแค่ ”รู้ไว้” หรือ อาจจะนำไป ”ใช้จริง” ก็เชิญได้เลยครับ
Credit:หนังสือ หุ้น 5 เด้ง Penny Stocks โดยคุณปิยพันธ์ วงศ์ยะรา
วันนี้นำเสนอแค่นี้ก่อนนะครับ พอหอมปากหอมคอ ไว้จะมาเขียนเนื้อหาบางส่วนจากหนังสือเล่มนี้เพิ่มอีกในอนาคตครับ :)
สถานะการป้อนข้อมูล (Result)
ยินดีต้อนรับสู่บริการ ICT Free WiFi (Welcome to ICT Free WiFi) | |
ชื่อผู้ใช้ (username) : | WICTFNMJR |
รหัสผ่าน (password) : | 131830 |
วันหมดอายุ (expiration date) : | Account นี้ใช้งานได้ครั้งละ 20 นาที เวลารวมไม่เกิน 120 นาทีต่อวัน อายุการใช้งาน 180 วัน นับตั้งแต่การใช้งานครั้งแรก |
This account has 20 minutes for one time,cumulative 120 minutes a day and will be expired within 180 days after the first used. |
วิธีตั้งชื่อลูก
เด็กชายชาวอินเดียนแดงเดินเข้าไปถามแม่ว่า
"แม่ฮะทำไมพี่ชายผมชื่อพายุใหญ่"
"ก็เพราะเขามาอยู่ในท้องแม่ตอนเกิดพายุน่ะ"
"แล้วทำไมพี่สาวผมชื่อดอกข้าวโพดล่ะ"
"ก็พ่อกับแม่อยู่ในทุ่งข้าวโพดตอนที่พี่สาวลูกอยู่ในท้องแม่"
"แล้วทำไมพี่สาวอีกคนชื่อแสงจันทร์ล่ะฮะ"
"ก็พ่อกับแม่กำลังมองพระจันทร์อยู่ตอนที่พี่เขามาอยู่ในท้องแม่"
"เอ๊ะ...ถุงแตก..??? ลูกอยากรู้เรื่องที่มาของการตั้งชื่อ ของพวกพี่ๆ เค้าไปทำไม ?!?"
ปัญหาของลูกหมู
ลูกหมู "ป่าป๊าถ้ามีตังตกอยู่ 5 บาท กับ 10 บาท ป่าป๊าจะเก็บเหรียญไหน"
พ่อหมู "ก็เก็บ 10 บาทซิ"
ลูกหมู "ป่าป๊าโง่จัง ทำไมถึงไม่เก็บทั้ง 2 เหรียญล่ะ"
ลูกหมู "ป่าป๊า เมื่อ 3 เดือนก่อน มีคนมาทวงหนี้
ป่าป๊า บอกไม่มีตังค์ เดือนก่อนป่าป๊าก็บอกไม่มีอีก เพราะอะไรครับ"
พ่อหมู "คนเราพูดคำไหนก็ต้องเป็นคำนั้นนะลูก"
ลูกหมู "ป่าป๊า ทำไมบ้านคนอื่นเขาใหญ่ แต่ทำไมบ้านเราถึงเล็ก"ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=34976&s=1122e8f892778bc6ee4d92ec05fd43cb
พ่อหมู "เพราะป่าป๊าไม่ค่อยมีตังค์"
ลูกหมู "แล้วทำยังไง เราถึงจะมีบ้านใหญ่ๆ ล่ะครับ"
พ่อหมู "หนูก็ต้องตั้งใจเรียนหนังสือ พอโตขึ้นก็ทำงานได้เงินเยอะๆ ซื้อบ้านหลังใหญ่ๆ"
ลูกหมู "แล้วทำไมตอนเด็กๆ ป่าป๊าถึงไม่ตั้งใจเรียนหนังสือ"
วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2555
ระวังอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอโปรดระวัง
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=8306
หุ้นลงๆแบบนี้มาดูภาพอุบัติเหตุดีฟ่าอิอิอิ
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=8306
วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2555
เลือกเสี่ยง
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ชีวิตคนเรานั้นมีความเสี่ยงมากมายที่เราต้องรับ และมีความเสี่ยงอีกมากมายที่เราไม่จำเป็นต้องรับแต่เราก็เข้าไปรับ ความเสี่ยงที่ผมพูดถึงนั้นคือความเป็นไปได้หรือความน่าจะเป็นที่เราจะประสบกับความเสียหาย ความยากลำบาก ความเจ็บปวด หรือแม้แต่ความตาย พูดง่าย ๆ คือสิ่งที่เป็นลบทั้งหลายในชีวิตที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้น โชคดีที่ความเสี่ยงนั้นส่วนใหญ่เราสามารถ “จัดการ” ได้ นั่นคือ เราสามารถลดความเสี่ยงได้ เราสามารถที่จะไม่ทำอะไรกับความเสี่ยงนั้น ๆ และสุดท้าย เราสามารถ เพิ่มความเสี่ยงให้มากขึ้นหรือเข้าไปรับความเสี่ยงทั้ง ๆ ที่ไม่จำเป็น ซึ่งในกรณีหลังนี้ฟังดูแล้วอาจจะแปลก เพราะใครจะอยากเพิ่มโอกาสที่เราจะประสบกับสิ่งที่เป็นลบหรือเลวร้าย แต่ข้อเท็จจริงก็คือ เราทำมันตลอดเวลา เนื่องจากการทำอย่างนั้นมักจะทำให้เราได้ “ผลตอบแทน”
ประเด็นที่สำคัญก็คือ เราจะจัดการอย่างไรกับความเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะทำให้เราได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า เพราะการจัดการกับความเสี่ยงนั้นมักจะมี “ต้นทุน” สูงบ้าง ต่ำบ้าง เช่นเดียวกัน ความเสี่ยงที่จะเกิดเรื่องที่เป็นลบหรือเลวร้ายนั้นก็มีโอกาสเกิดขึ้น มากบ้าง น้อยบ้าง และที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ สิ่งที่เป็นลบหรือเลวร้ายนั้นมันเลวร้ายแค่ไหน มันทำให้เรา “ตาย” ไหม หรือเป็นแค่เรื่อง “เล็กน้อย” ที่ทำให้เราหงุดหงิดใจ ดังนั้น หัวใจของการจัดการกับความเสี่ยงแต่ละเรื่องจึงต้องพิจารณาถึงเรื่องของ 1) ความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น 2) ความเสียหายที่จะตามมา 3) ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ และสุดท้ายก็คือ ต้นทุนของการจัดการกับความเสี่ยงนั้น ฟังดูแล้วหลายคนอาจจะบอกว่าเป็นเรื่องที่ซับซ้อนเกินไปและเขาไม่สามารถทำได้ แต่เชื่อไหมครับว่าเราทำมันตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว ว่าที่จริง ชีวิตของคนเราแทบจะทั้งชีวิตนั้นก็คือ “การบริหารความเสี่ยง” และคนที่ทำได้ดีกว่ามักจะเป็น “ผู้ชนะ”
อย่างเรื่องของสุขภาพนั้น คนหนุ่มสาวมักมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคต่ำ โอกาสที่จะเป็นโรคร้ายแรงถึงแก่ชีวิตก็น้อย ดังนั้นเขาก็อาจจะ “ไม่จัดการ” อะไรนัก บางคนอาจจะ “เสี่ยงเพิ่ม” โดยการกินเหล้า สูบบุหรี่ หรือทำอย่างอื่นที่อาจจะทำลายสุขภาพด้วยเพราะเขาอาจจะได้ “ผลตอบแทน” คือ ความพึงพอใจกับรสชาดหรือความรู้สึกอย่างอื่นที่ได้รับ ส่วนคนสูงอายุอย่างผมนั้น ความเสี่ยงเรื่องสุขภาพนั้นต้องบอกว่าเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เราจะจัดการหรือไม่จัดการก็ได้ แต่ถ้าจัดการเราจะทำอะไรบ้างและผลที่ได้คืออะไร แน่นอนว่าในโลกปัจจุบันมีทางเลือกมากมายที่จะลดความเสี่ยงทางด้านสุขภาพลงซึ่งรวมถึงยา อาหารเพื่อสุขภาพ การตรวจสุขภาพและการออกกำลังกาย หน้าที่ของเราก็คือ เลือกว่าจะทำอะไร ซึ่งก็รวมถึงต้นทุนและผลตอบแทนที่จะได้รับ ซึ่งผมคงไม่พูดว่าทำอย่างไรที่จะดีและคุ้มค่าที่สุด แต่ประเด็นสำคัญก็คือ อย่า “ไม่ทำอะไร” เพราะการตัดสินใจไม่ทำอะไรนั้น บ่อยครั้ง เป็นทางเลือกที่แย่ที่สุด
เรื่องของการเงินและการลงทุนส่วนบุคคลนั้น เป็นเรื่องของความเสี่ยงที่คนจำนวนมากไม่อยากรับและเป็นเรื่องที่ดูเหมือนว่าจะ “เลี่ยง” ได้ นั่นก็คือ อย่าไปเล่นการพนัน เล่นหวยหรือล็อตเตอรี่ ถ้าเป็นคนมีเงินหน่อยก็อย่าไปพนันบอลหรือเล่นหุ้น วิธีที่จะไม่เสี่ยงเลยก็คือ การฝากเงินไว้ในธนาคารหรือซื้อพันธบัตรรัฐบาล ดังนั้น คนส่วนใหญ่จึงมักจะ “ไม่ทำอะไร” หรือไม่ “บริหารเงิน” เพราะเขาไม่อยากรับ “ความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น” แต่นั่นอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ถูกต้อง
การเล่นหวยหรือล็อตเตอรี่ด้วยเงินจำนวนมากและเป็นประจำนั้น ถ้าเราเลือกเสี่ยงทำก็อาจจะเป็นสัญญานบอกว่าเรา “เลือกความเสี่ยง” ไม่เป็น เพราะถ้าวิเคราะห์โดยหลักทางสถิติแล้วมีโอกาสสูงมากที่เราจะขาดทุน แต่การลงทุนในหุ้นนั้น ถ้าเราเลือกที่จะลงทุนและทำอย่างถูกวิธี เราจะกำไรหรือได้ผลตอบแทนคุ้มค่า แน่นอน โอกาสที่จะขาดทุนก็มี แต่ความเสียหายถ้าเกิดขึ้นเราก็สามารถรับได้ ถ้าความสามารถในการเลือกหุ้นเรามีน้อยเราก็ยังสามารถลงในกองทุนรวมได้ ถ้าเรามีความสามารถสูง เราอาจจะเลือกลงทุนเอง การเลือกหุ้นแต่ละตัวนั้นก็เช่นเดียวกัน เราต้องวิเคราะห์และ “เลือกเสี่ยง” เฉพาะตัวที่เรามีโอกาสกำไรสูงแต่ความเสี่ยงที่จะขาดทุนต่ำ อย่าไปเสี่ยงในตัวที่เราไม่มั่นใจ
Value Investor ระดับเซียนอย่าง วอเร็น บัฟเฟตต์ เวลาทำอะไรเขาวิเคราะห์เป็นเรื่องของความเสี่ยงและผลตอบแทนตลอดเวลา ว่ากันว่าเวลาตีกอล์ฟ เขาไม่ยอมพนันหรือเล่นน้อยมาก อาจจะหลุมละแค่ 10 ดอลลาร์ ถ้าแต้มต่อเขาสู้ไม่ได้ มีคนถามว่าทำไมเขากินแต่สเต็คร้านเดิมชื่อดังในเมืองเป็นประจำ เขาตอบว่า ไปที่ร้านนี้เขารู้ว่าสเต็คอร่อยแน่นอน เพราะฉนั้น เขาจะ “เสี่ยง” ไปร้านที่เขาไม่รู้จักทำไม เรื่องแบบนี้หลายคนอาจจะดูเป็นเรื่องพูดเล่น แต่ผมกลับคิดว่า นิสัยในการวิเคราะห์หา ผลตอบแทน – ความเสี่ยง คงฝังอยู่ลึกในสมองของ วอเร็น บัฟเฟตต์ ที่ทำให้เขาสามารถ “เลือกเสี่ยง” ในการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และมันอาจจะ “ล้น” ออกมาในชีวิตโดยไม่รู้ตัว
ตรงกันข้าม คนไทยจำนวนมาก เลือกเสี่ยงในสิ่งที่ไม่ค่อยจะได้ผลตอบแทนเพราะเราไม่วิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง ในอีกด้านหนึ่ง หลายคนคิดว่า ชีวิตที่ปลอดภัยก็คือ “เสี่ยงให้น้อยที่สุด” แต่นี่ก็อาจจะเป็นทางเลือกที่ไม่ดีไปกว่ากันนัก ที่ถูกต้องก็คือ เราต้องเลือก “เสี่ยงอย่างคุ้มค่า” อย่าลืมว่า “ชีวิตคือการบริหารความเสี่ยง” และการ “รับความเสี่ยงน้อยเกินไป” นั้น อาจจะเป็นเรื่องที่ “เสี่ยงมาก” ก็ได้
*****************************
เลือกเสี่ยง
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=34740
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ชีวิตคนเรานั้นมีความเสี่ยงมากมายที่เราต้องรับ และมีความเสี่ยงอีกมากมายที่เราไม่จำเป็นต้องรับแต่เราก็เข้าไปรับ ความเสี่ยงที่ผมพูดถึงนั้นคือความเป็นไปได้หรือความน่าจะเป็นที่เราจะประสบกับความเสียหาย ความยากลำบาก ความเจ็บปวด หรือแม้แต่ความตาย พูดง่าย ๆ คือสิ่งที่เป็นลบทั้งหลายในชีวิตที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้น โชคดีที่ความเสี่ยงนั้นส่วนใหญ่เราสามารถ “จัดการ” ได้ นั่นคือ เราสามารถลดความเสี่ยงได้ เราสามารถที่จะไม่ทำอะไรกับความเสี่ยงนั้น ๆ และสุดท้าย เราสามารถ เพิ่มความเสี่ยงให้มากขึ้นหรือเข้าไปรับความเสี่ยงทั้ง ๆ ที่ไม่จำเป็น ซึ่งในกรณีหลังนี้ฟังดูแล้วอาจจะแปลก เพราะใครจะอยากเพิ่มโอกาสที่เราจะประสบกับสิ่งที่เป็นลบหรือเลวร้าย แต่ข้อเท็จจริงก็คือ เราทำมันตลอดเวลา เนื่องจากการทำอย่างนั้นมักจะทำให้เราได้ “ผลตอบแทน”
ประเด็นที่สำคัญก็คือ เราจะจัดการอย่างไรกับความเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะทำให้เราได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า เพราะการจัดการกับความเสี่ยงนั้นมักจะมี “ต้นทุน” สูงบ้าง ต่ำบ้าง เช่นเดียวกัน ความเสี่ยงที่จะเกิดเรื่องที่เป็นลบหรือเลวร้ายนั้นก็มีโอกาสเกิดขึ้น มากบ้าง น้อยบ้าง และที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ สิ่งที่เป็นลบหรือเลวร้ายนั้นมันเลวร้ายแค่ไหน มันทำให้เรา “ตาย” ไหม หรือเป็นแค่เรื่อง “เล็กน้อย” ที่ทำให้เราหงุดหงิดใจ ดังนั้น หัวใจของการจัดการกับความเสี่ยงแต่ละเรื่องจึงต้องพิจารณาถึงเรื่องของ 1) ความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น 2) ความเสียหายที่จะตามมา 3) ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ และสุดท้ายก็คือ ต้นทุนของการจัดการกับความเสี่ยงนั้น ฟังดูแล้วหลายคนอาจจะบอกว่าเป็นเรื่องที่ซับซ้อนเกินไปและเขาไม่สามารถทำได้ แต่เชื่อไหมครับว่าเราทำมันตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว ว่าที่จริง ชีวิตของคนเราแทบจะทั้งชีวิตนั้นก็คือ “การบริหารความเสี่ยง” และคนที่ทำได้ดีกว่ามักจะเป็น “ผู้ชนะ”
อย่างเรื่องของสุขภาพนั้น คนหนุ่มสาวมักมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคต่ำ โอกาสที่จะเป็นโรคร้ายแรงถึงแก่ชีวิตก็น้อย ดังนั้นเขาก็อาจจะ “ไม่จัดการ” อะไรนัก บางคนอาจจะ “เสี่ยงเพิ่ม” โดยการกินเหล้า สูบบุหรี่ หรือทำอย่างอื่นที่อาจจะทำลายสุขภาพด้วยเพราะเขาอาจจะได้ “ผลตอบแทน” คือ ความพึงพอใจกับรสชาดหรือความรู้สึกอย่างอื่นที่ได้รับ ส่วนคนสูงอายุอย่างผมนั้น ความเสี่ยงเรื่องสุขภาพนั้นต้องบอกว่าเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เราจะจัดการหรือไม่จัดการก็ได้ แต่ถ้าจัดการเราจะทำอะไรบ้างและผลที่ได้คืออะไร แน่นอนว่าในโลกปัจจุบันมีทางเลือกมากมายที่จะลดความเสี่ยงทางด้านสุขภาพลงซึ่งรวมถึงยา อาหารเพื่อสุขภาพ การตรวจสุขภาพและการออกกำลังกาย หน้าที่ของเราก็คือ เลือกว่าจะทำอะไร ซึ่งก็รวมถึงต้นทุนและผลตอบแทนที่จะได้รับ ซึ่งผมคงไม่พูดว่าทำอย่างไรที่จะดีและคุ้มค่าที่สุด แต่ประเด็นสำคัญก็คือ อย่า “ไม่ทำอะไร” เพราะการตัดสินใจไม่ทำอะไรนั้น บ่อยครั้ง เป็นทางเลือกที่แย่ที่สุด
เรื่องของการเงินและการลงทุนส่วนบุคคลนั้น เป็นเรื่องของความเสี่ยงที่คนจำนวนมากไม่อยากรับและเป็นเรื่องที่ดูเหมือนว่าจะ “เลี่ยง” ได้ นั่นก็คือ อย่าไปเล่นการพนัน เล่นหวยหรือล็อตเตอรี่ ถ้าเป็นคนมีเงินหน่อยก็อย่าไปพนันบอลหรือเล่นหุ้น วิธีที่จะไม่เสี่ยงเลยก็คือ การฝากเงินไว้ในธนาคารหรือซื้อพันธบัตรรัฐบาล ดังนั้น คนส่วนใหญ่จึงมักจะ “ไม่ทำอะไร” หรือไม่ “บริหารเงิน” เพราะเขาไม่อยากรับ “ความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น” แต่นั่นอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ถูกต้อง
การเล่นหวยหรือล็อตเตอรี่ด้วยเงินจำนวนมากและเป็นประจำนั้น ถ้าเราเลือกเสี่ยงทำก็อาจจะเป็นสัญญานบอกว่าเรา “เลือกความเสี่ยง” ไม่เป็น เพราะถ้าวิเคราะห์โดยหลักทางสถิติแล้วมีโอกาสสูงมากที่เราจะขาดทุน แต่การลงทุนในหุ้นนั้น ถ้าเราเลือกที่จะลงทุนและทำอย่างถูกวิธี เราจะกำไรหรือได้ผลตอบแทนคุ้มค่า แน่นอน โอกาสที่จะขาดทุนก็มี แต่ความเสียหายถ้าเกิดขึ้นเราก็สามารถรับได้ ถ้าความสามารถในการเลือกหุ้นเรามีน้อยเราก็ยังสามารถลงในกองทุนรวมได้ ถ้าเรามีความสามารถสูง เราอาจจะเลือกลงทุนเอง การเลือกหุ้นแต่ละตัวนั้นก็เช่นเดียวกัน เราต้องวิเคราะห์และ “เลือกเสี่ยง” เฉพาะตัวที่เรามีโอกาสกำไรสูงแต่ความเสี่ยงที่จะขาดทุนต่ำ อย่าไปเสี่ยงในตัวที่เราไม่มั่นใจ
Value Investor ระดับเซียนอย่าง วอเร็น บัฟเฟตต์ เวลาทำอะไรเขาวิเคราะห์เป็นเรื่องของความเสี่ยงและผลตอบแทนตลอดเวลา ว่ากันว่าเวลาตีกอล์ฟ เขาไม่ยอมพนันหรือเล่นน้อยมาก อาจจะหลุมละแค่ 10 ดอลลาร์ ถ้าแต้มต่อเขาสู้ไม่ได้ มีคนถามว่าทำไมเขากินแต่สเต็คร้านเดิมชื่อดังในเมืองเป็นประจำ เขาตอบว่า ไปที่ร้านนี้เขารู้ว่าสเต็คอร่อยแน่นอน เพราะฉนั้น เขาจะ “เสี่ยง” ไปร้านที่เขาไม่รู้จักทำไม เรื่องแบบนี้หลายคนอาจจะดูเป็นเรื่องพูดเล่น แต่ผมกลับคิดว่า นิสัยในการวิเคราะห์หา ผลตอบแทน – ความเสี่ยง คงฝังอยู่ลึกในสมองของ วอเร็น บัฟเฟตต์ ที่ทำให้เขาสามารถ “เลือกเสี่ยง” ในการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และมันอาจจะ “ล้น” ออกมาในชีวิตโดยไม่รู้ตัว
ตรงกันข้าม คนไทยจำนวนมาก เลือกเสี่ยงในสิ่งที่ไม่ค่อยจะได้ผลตอบแทนเพราะเราไม่วิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง ในอีกด้านหนึ่ง หลายคนคิดว่า ชีวิตที่ปลอดภัยก็คือ “เสี่ยงให้น้อยที่สุด” แต่นี่ก็อาจจะเป็นทางเลือกที่ไม่ดีไปกว่ากันนัก ที่ถูกต้องก็คือ เราต้องเลือก “เสี่ยงอย่างคุ้มค่า” อย่าลืมว่า “ชีวิตคือการบริหารความเสี่ยง” และการ “รับความเสี่ยงน้อยเกินไป” นั้น อาจจะเป็นเรื่องที่ “เสี่ยงมาก” ก็ได้
*****************************
เลือกเสี่ยง
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=34740
" จิม โรเจอร์ " นักผจญภัยแห่งตลาดทุนและเซียนสินค้าโภคภัณฑ์
ถ้าเอ่ยถึงชื่อ วอเรน บัฟเฟตต์ ย่อมเป็นที่รู้จักกันดีในวงการตลาดหุ้นทั่วโลก แต่สำหรับในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ผู้ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดคนนึงในปัจุบัน คงหนีไม่พ้นบุรุษนามว่า จิม โรเจอร์ส!!!!
(เพิ่มเติม ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ คือ ตลาดสินค้าเกษตร เช่น ถั่วเหลือง น้ำตาล โกโก้ ข้าวสาลี ฯลฯ ตลาดสินค้าพลังงาน โลหะ ทองคำ นอกจากนี้โรเจอร์ยังให้ความสนใจในตลาดค่าเงิน ซึ่งถือเป็นตลาดเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก)
โรเจอร์ได้รู้จักและหลุดเข้ามาสู่โลกเเห่งการเทรดโดยบังเอิญ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ค้นพบว่าตัวเองมีความหลงไหลในการเทรดอย่างมาก จนเขาถึงกับกล่าวว่า "ตลาดหุ้นเเละตลาดการเงิน พร้อมที่จะจ่ายรางวัลตอบเเทนอย่างมหาศาลให้กับคนที่สามารถรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นบ้างในตลาด ซึ่งเขา พร้อมที่จะไขปัญหานั้นเเม้ว่าจะต้องทำงานให้เเบบฟรีๆ ก็ตาม เพราะเขาชอบความตื่นเต้นเเละความท้าทาย"
โรเจอร์ได้กลับเข้าไปเรียนที่ Oxford เพิ่มเติมอีก 2 ปี โดยเน้นด้าน ปรัชญา เเละก็เศรษฐศาสตร์ เขาจะใช้เวลาว่างที่มีในการอ่านหนังสือพิมพ์เศรษฐกิจ นิตรสารทางการเงิน เขาฝันว่า ในวันหนึ่งเขาจะเป็น "Gnomes of Z?rich" ซึ่งหมายความว่า เป็นผู้ที่มีความสามารถในการลงทุนเเละการเก็งกำไรขั้นสุดยอด
ในปี 1980 จิม โรเจอร์กับ จอร์ส โซรอสได้ร่วมกันจัดตั้งกองทุน Quantum Fund ซึ่งกองทุนดังกล่าวนั้นสามารถสร้างผลตอบเเทนการลงทุนให้กับนักลงทุนได้อย่างมหาศาล ถึงกว่า 42 เท่า หรือ 4,000% ภายในระยะเวลา 10 ปี ในขณะที่ผลตอบเเทนจากการลงทุนใน S&P 500 ได้เเค่เพียง 47% และนั่นทำให้เขามีชื่อเสียงอย่างมากในวงการเงินทันที
โรเจอร์กล่าวว่า "ทุกๆวัน เวลาที่เขาตื่นมาตอนเช้า ไม่มีอะไรที่จะทำให้ เขามีความตื่นเต้น เเละมีความสุขอย่างมากได้เหมือนกับตลาดการเงิน" การทำงานเป็นเทรดเดอร์เหมือนการเล่นเกมส์ต่อปริศนา ที่ทุกๆวันจะมีเกมส์ใหม่ๆออกมาให้เราเล่นเสมอๆ เป็นที่สุดของความสนุกสำหรับเขา
หลังจากนั้น จิม โรเจอร์สได้แยกตัวออกมาบริหารกองทุนของตนเอง และเดินทางไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกโดยรถเบนซ์สีเหลืองคันงามที่เค้าสั่งทำขึ้นเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เพื่อเติมเต็มความฝันที่จะได้ท่องเที่ยวรอบโลก และเป้าหมายอีกส่วนก็คือเพื่อวิเคราะห์สภาพเศรษฐกิจสังคม และการเมืองว่าอะไร ที่ทำให้ประเทศเหล่านั้นประสบกับความล่มสลายทางด้านเศรษฐกิจ และอะไร ที่ทำให้บางประเทศประสบกับความสำเร็จอย่างมากมาย ตลอดการเดินทางเขาได้พบปะกับบรรดานักธุรกิจชั้นนำ นักการเงิน นักลงทุน และผู้คนในแต่ละประเทศ เพื่อทำความเข้าใจพื้นฐานของประเทศนั้นๆ และสร้างโอกาสการลงทุนของตนเองในประเทศที่มีศักยภาพ จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจที่เขาสามารถทำกำไรจากการลงทุนในทุกมุมโลกได้อย่างมหาศาลในที่ที่หรือในประเทศที่แม้คนในวอลสตรีทยังไม่เคยได้ยินชื่อเลย เพราะเขาได้ศึกษา และสัมผัสกับประเทศเหล่านั้นด้วยตนเองก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน!
จิม โรเจอร์ส มักได้รับคำยกย่องจากผู้คนในแวดวงการลงทุนทั่วโลกอยู่เสมอว่าเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญด้านสินค้าโภคภัณฑ์ในระดับต้นๆ ของโลก และถูกขนานนามว่าเป็น”นักผจญภัยแห่งโลกตลาดทุน” (Adventure Capitalist) ในขณะที่ตัวเขาเองกลับอธิบายว่า เขาไม่ใช่อัจฉริยะทางด้านการลงทุนเพียงแต่เขาได้อ่านประวัติศาสตร์ของตลาดทุนซ้ำไปซ้ำมา จนเขารู้ว่าอะไรอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เหล่านั้น และเขายังรู้อีกว่าเหตุการณ์นั้นๆ ยังคงจะเกิดขึ้นอีกหลายครั้งในอนาคต
ในปี 1998 โรเจอร์สได้จัดทำดัชนีโภคภัณฑ์ชื่อ ROGERS INTERNATIONAL COMMODITIES INDEX หรือ “RICI” และตั้งกองทุนของตนเอง เพื่อลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ตามสัดส่วนที่เป็นองค์ประกอบของดัชนี RICI ซึ่งประกอบไปด้วยสินค้าโภคภัณฑ์จำนวน 35 ชนิด ที่มีการซื้อขายในตลาดล่วงหน้าทั่วโลก
การกระจายการลงทุนตามดัชนี RICI นอกจากจะเป็นการลงทุนที่สะท้อนภาพรวมการค้า และพาณิชย์ระหว่างประเทศแล้วยังเป็นการกระจายความเสี่ยงของการลงทุนที่ดีอีกด้วย จนถึงปัจจุบัน ดัชนี RICI ยังคงเป็นหนึ่งในดัชนีที่เติบโตสูงที่สุด เนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ทะยานอย่างไม่หยุดยั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาน้ำมัน ซึ่งมีสัดส่วนสูงที่สุดในองค์ประกอบของดัชนี RICI
จากเรื่องราวของโรเจอร์ จะเห็นว่าโรเจอร์เป็นคนที่มี Life Style ที่สุดยอดและชัดเจนกว่าเทรดเดอร์คนอื่นๆ เขาเป็นเทรดเดอร์ที่สามารถเชื่อมโยงความลุ่มหลงในการเทรด เข้ากับ การเดินทางท่องเที่ยว เป็นชีวิตที่ใครต่อใครอิจฉาและฝันที่จะเป็นได้อย่างเขา เขาสามารถไปได้ทุกทีบนโลก พร้อมๆไปกับการทำงาน !!!!!
ปัจจุบัน มีเทรดเดอร์มากมายเจริญรอยตามเขา เป็นเทรดเดอร์อิสระผสมผสานกับวิถีชีวิตที่ต้องการ โดยอาชีพนี้ในรับความนิยมและแพร่หลายเป็นอย่างมาในต่างประเทศ สำหรับในเมืองไทยเริ่มมีการก่อตัวขึ้นเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังถือว่าเป็นกลุ่มเล็กๆเท่านั้น โดยเชื่อว่าในอนาคตประเทศไทยจะมีคนรุ่นใหม่หันมาสนใจการเป็นเทรดเดอร์อิสระเพิ่มขึ้นเพราะโลกในยุคปัจจุบันได้เปิดกล้างให้กับรายย่อย เราสามารถเทรดสินค้าโภคภัณฑ์ ค่าเงิน ทองคำ ได้โดยใช้เงินไม่มาก การเทรด การเข้าถึงข้อมูล และการเปิดบัญชีสามารถทำได้สะดวกอย่างมากผ่านทางอินเตอร์เน็ตเท่านั้น
มันคงอยู่แค่ว่า คุณจะกล้าเปลี่ยน และเริ่มต้นชีวิตใหม่หรือไม่เท่านั้น !!!!!
****************************
" จิม โรเจอร์ " นักผจญภัยแห่งตลาดทุนและเซียนสินค้าโภคภัณฑ์
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=34783
ถ้าเอ่ยถึงชื่อ วอเรน บัฟเฟตต์ ย่อมเป็นที่รู้จักกันดีในวงการตลาดหุ้นทั่วโลก แต่สำหรับในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ผู้ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดคนนึงในปัจุบัน คงหนีไม่พ้นบุรุษนามว่า จิม โรเจอร์ส!!!!
(เพิ่มเติม ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ คือ ตลาดสินค้าเกษตร เช่น ถั่วเหลือง น้ำตาล โกโก้ ข้าวสาลี ฯลฯ ตลาดสินค้าพลังงาน โลหะ ทองคำ นอกจากนี้โรเจอร์ยังให้ความสนใจในตลาดค่าเงิน ซึ่งถือเป็นตลาดเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก)
โรเจอร์ได้รู้จักและหลุดเข้ามาสู่โลกเเห่งการเทรดโดยบังเอิญ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ค้นพบว่าตัวเองมีความหลงไหลในการเทรดอย่างมาก จนเขาถึงกับกล่าวว่า "ตลาดหุ้นเเละตลาดการเงิน พร้อมที่จะจ่ายรางวัลตอบเเทนอย่างมหาศาลให้กับคนที่สามารถรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นบ้างในตลาด ซึ่งเขา พร้อมที่จะไขปัญหานั้นเเม้ว่าจะต้องทำงานให้เเบบฟรีๆ ก็ตาม เพราะเขาชอบความตื่นเต้นเเละความท้าทาย"
โรเจอร์ได้กลับเข้าไปเรียนที่ Oxford เพิ่มเติมอีก 2 ปี โดยเน้นด้าน ปรัชญา เเละก็เศรษฐศาสตร์ เขาจะใช้เวลาว่างที่มีในการอ่านหนังสือพิมพ์เศรษฐกิจ นิตรสารทางการเงิน เขาฝันว่า ในวันหนึ่งเขาจะเป็น "Gnomes of Z?rich" ซึ่งหมายความว่า เป็นผู้ที่มีความสามารถในการลงทุนเเละการเก็งกำไรขั้นสุดยอด
ในปี 1980 จิม โรเจอร์กับ จอร์ส โซรอสได้ร่วมกันจัดตั้งกองทุน Quantum Fund ซึ่งกองทุนดังกล่าวนั้นสามารถสร้างผลตอบเเทนการลงทุนให้กับนักลงทุนได้อย่างมหาศาล ถึงกว่า 42 เท่า หรือ 4,000% ภายในระยะเวลา 10 ปี ในขณะที่ผลตอบเเทนจากการลงทุนใน S&P 500 ได้เเค่เพียง 47% และนั่นทำให้เขามีชื่อเสียงอย่างมากในวงการเงินทันที
โรเจอร์กล่าวว่า "ทุกๆวัน เวลาที่เขาตื่นมาตอนเช้า ไม่มีอะไรที่จะทำให้ เขามีความตื่นเต้น เเละมีความสุขอย่างมากได้เหมือนกับตลาดการเงิน" การทำงานเป็นเทรดเดอร์เหมือนการเล่นเกมส์ต่อปริศนา ที่ทุกๆวันจะมีเกมส์ใหม่ๆออกมาให้เราเล่นเสมอๆ เป็นที่สุดของความสนุกสำหรับเขา
หลังจากนั้น จิม โรเจอร์สได้แยกตัวออกมาบริหารกองทุนของตนเอง และเดินทางไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกโดยรถเบนซ์สีเหลืองคันงามที่เค้าสั่งทำขึ้นเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เพื่อเติมเต็มความฝันที่จะได้ท่องเที่ยวรอบโลก และเป้าหมายอีกส่วนก็คือเพื่อวิเคราะห์สภาพเศรษฐกิจสังคม และการเมืองว่าอะไร ที่ทำให้ประเทศเหล่านั้นประสบกับความล่มสลายทางด้านเศรษฐกิจ และอะไร ที่ทำให้บางประเทศประสบกับความสำเร็จอย่างมากมาย ตลอดการเดินทางเขาได้พบปะกับบรรดานักธุรกิจชั้นนำ นักการเงิน นักลงทุน และผู้คนในแต่ละประเทศ เพื่อทำความเข้าใจพื้นฐานของประเทศนั้นๆ และสร้างโอกาสการลงทุนของตนเองในประเทศที่มีศักยภาพ จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจที่เขาสามารถทำกำไรจากการลงทุนในทุกมุมโลกได้อย่างมหาศาลในที่ที่หรือในประเทศที่แม้คนในวอลสตรีทยังไม่เคยได้ยินชื่อเลย เพราะเขาได้ศึกษา และสัมผัสกับประเทศเหล่านั้นด้วยตนเองก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน!
จิม โรเจอร์ส มักได้รับคำยกย่องจากผู้คนในแวดวงการลงทุนทั่วโลกอยู่เสมอว่าเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญด้านสินค้าโภคภัณฑ์ในระดับต้นๆ ของโลก และถูกขนานนามว่าเป็น”นักผจญภัยแห่งโลกตลาดทุน” (Adventure Capitalist) ในขณะที่ตัวเขาเองกลับอธิบายว่า เขาไม่ใช่อัจฉริยะทางด้านการลงทุนเพียงแต่เขาได้อ่านประวัติศาสตร์ของตลาดทุนซ้ำไปซ้ำมา จนเขารู้ว่าอะไรอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เหล่านั้น และเขายังรู้อีกว่าเหตุการณ์นั้นๆ ยังคงจะเกิดขึ้นอีกหลายครั้งในอนาคต
ในปี 1998 โรเจอร์สได้จัดทำดัชนีโภคภัณฑ์ชื่อ ROGERS INTERNATIONAL COMMODITIES INDEX หรือ “RICI” และตั้งกองทุนของตนเอง เพื่อลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ตามสัดส่วนที่เป็นองค์ประกอบของดัชนี RICI ซึ่งประกอบไปด้วยสินค้าโภคภัณฑ์จำนวน 35 ชนิด ที่มีการซื้อขายในตลาดล่วงหน้าทั่วโลก
การกระจายการลงทุนตามดัชนี RICI นอกจากจะเป็นการลงทุนที่สะท้อนภาพรวมการค้า และพาณิชย์ระหว่างประเทศแล้วยังเป็นการกระจายความเสี่ยงของการลงทุนที่ดีอีกด้วย จนถึงปัจจุบัน ดัชนี RICI ยังคงเป็นหนึ่งในดัชนีที่เติบโตสูงที่สุด เนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ทะยานอย่างไม่หยุดยั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาน้ำมัน ซึ่งมีสัดส่วนสูงที่สุดในองค์ประกอบของดัชนี RICI
จากเรื่องราวของโรเจอร์ จะเห็นว่าโรเจอร์เป็นคนที่มี Life Style ที่สุดยอดและชัดเจนกว่าเทรดเดอร์คนอื่นๆ เขาเป็นเทรดเดอร์ที่สามารถเชื่อมโยงความลุ่มหลงในการเทรด เข้ากับ การเดินทางท่องเที่ยว เป็นชีวิตที่ใครต่อใครอิจฉาและฝันที่จะเป็นได้อย่างเขา เขาสามารถไปได้ทุกทีบนโลก พร้อมๆไปกับการทำงาน !!!!!
ปัจจุบัน มีเทรดเดอร์มากมายเจริญรอยตามเขา เป็นเทรดเดอร์อิสระผสมผสานกับวิถีชีวิตที่ต้องการ โดยอาชีพนี้ในรับความนิยมและแพร่หลายเป็นอย่างมาในต่างประเทศ สำหรับในเมืองไทยเริ่มมีการก่อตัวขึ้นเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังถือว่าเป็นกลุ่มเล็กๆเท่านั้น โดยเชื่อว่าในอนาคตประเทศไทยจะมีคนรุ่นใหม่หันมาสนใจการเป็นเทรดเดอร์อิสระเพิ่มขึ้นเพราะโลกในยุคปัจจุบันได้เปิดกล้างให้กับรายย่อย เราสามารถเทรดสินค้าโภคภัณฑ์ ค่าเงิน ทองคำ ได้โดยใช้เงินไม่มาก การเทรด การเข้าถึงข้อมูล และการเปิดบัญชีสามารถทำได้สะดวกอย่างมากผ่านทางอินเตอร์เน็ตเท่านั้น
มันคงอยู่แค่ว่า คุณจะกล้าเปลี่ยน และเริ่มต้นชีวิตใหม่หรือไม่เท่านั้น !!!!!
****************************
" จิม โรเจอร์ " นักผจญภัยแห่งตลาดทุนและเซียนสินค้าโภคภัณฑ์
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=34783
วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2555
"ก้าวข้ามในสิ่งที่ยาก แล้ว Freedom จะบังเกิด"
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=34593
"ก้าวข้ามในสิ่งยาก แล้ว Freedom จะบังเกิด"
หลายๆคน อยากจะรวยจากวงการตลาดหุ้น อยากมีกำไรมากมายแบบง่ายๆ แต่ถ้าบอกให้ลองศึกษาหาความรู็ เข้าใจตลาดอย่างจริงจัง ก็ขอปฏิเสธดีกว่า ยากไป ไม่มีเวลาหรอก บอกมาเลยให้เข้าตัวไหน จบป่ะ
แต่ผมเชื่อว่าการยังอยู่รอดในตลาดหุ้นได้ แบบว่ายาวๆ ไม่ติดดอย และได้กำไร มันต้องเรียนรู้นะครับ ต้องศึกษา ทุ่มเทกับมันอย่างจริงจัง ไม่งั้นอยู่วงการนี้ยาก ถ้าบอกว่าฉันอยู่ได้ โดยไม่ต้องรู้อะไร ก็คงอาจจะติดดอย หรือบางคนไม่อยู่แล้ว พอกันทีเจ็บตัวขาดทุน หรือยังทนฝืนอยู่แบบว่าหลอกตัวเอง ว่าฉันทำได้ รอบหน้าทำกำไรได้แน่นอน แบบนี้เหนื่อยครับ ไม่มีความสุข
ผมเลือกทางเดินที่จะมาทางสายเทคนิคอล มันน่าสนใจ และท้าทายดี ดูกราฟ เพื่อการวางแผน เล่นตามระบบที่เราวางไว้ ฝึกจิตใจให้เข้มแข็ง เพื่อไม่ให้ระบบที่วางมันรวน จากใจเราเอง และที่สำคัญเมื่อดูกราฟเทคนิคเป็น เราจะได้รู้ทันว่านักวิเคราะห์เขาพูดอะไรกัน ทำไมถึงวิเคราะห์อย่างนั้น อย่างนี้
ถ้าคุณฝึกฝนจนสามารถดูกราฟเทคนิคเป็นแล้ว ย้ำว่าดูเป็นในระดับนึง ว่ากราฟบอกอะไร อดีตเป็นอย่างไร แต่อาจจะยังไม่ถึงขั้นทำกำไรแบบเป๊ะๆ ได้ทุกครั้ง (ต้องขอบอกว่าถึงขั้นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และที่สำคัญกราฟไม่ได้ช่วยคุณ 100% นะเพราะมันเป็นเรื่องของอนาคต การมองกราฟเพื่อดูแนวโน้มในอนาคตเป็นการคาดว่าจะเป็น แต่ถ้าไม่ใ่ช่ก็หยุด stop loss การขาดทุนได้ ตรงนี้แหละที่ผมชอบ)
ซึ่งการก้าวข้ามจากดูกราฟไม่เป็น จนสามารถดูเป็น มันเหมือนอารมณ์ตอนหัดปั่นจักรยาน หรือหัดขับรถ ที่ตอนไม่รู้เรื่อง ขี่ไม่เป็น ขับไม่ได้ มันดูยากไปหมด อาศัยเขาไปอย่างเดียว ไม่รู้หรอกว่าคนนำเขาดีไม่ดี รู้แต่ว่าต้องอาศัยเขา และเมื่อตัดสินใจที่จะลองกับมันสักตั้ง ความพยายาม ความมุ่งมั่น ความอดทน เป็นองค์ประกอบสำคัญ หากขาดไปก็จะกลับไปที่เดิมทันที
ผมจำอารมณ์วันที่ปั่นจักรยานเป็นได้เลยว่า มันรู้สึกวิเศษแค่ไหน คำว่า Freedom มันเต็มบนท้องฟ้า ยิ่งคุณปั่นเร็วแค่ไหน ลมปะทะหน้า มันรู้สึกถึงการยืนได้ด้วยตัวเราเอง มันวิเศษจริงๆ อารมณ์เดียวกับขับรถเป็นเช่นกัน ตอนที่เราขับไม่เป็น มองไปทางไหนก็กลัวขับไปชน รถคันก็ใหญ่จะดูหมดยังไง ไหนดูทาง ไหนดูรถข้างๆ ข้างหน้า ข้างหลัง กลัวชนโน่น ชนนี่ แต่พอขับเป็นแล้ว ทุกอย่างมันเป็นไปอย่างอัตโนมัติ สิ่งที่เราเคยกลัว คิดว่ายาก มันไม่มีอีกแล้ว เรา control ได้ด้วยมือเรา
และเมื่อย้อนกลับมาดูตอนดูกราฟทางเทคนิค ไม่เป็น เส้นอะไรว่ะ เต็มไปหมด เขาพูดอะไรอ่ะ ฟังไม่รู้เรื่อง ไม่สนใจ รอฟังเขาบอกแค่ว่า จะให้ซื้อ หรือป่าวแค่นั้นพอ จบไหม หรืออ่านจากหนังสือพิมพ์ โพสกราฟก็โพสไป ขอดูแค่ว่าจะให้ซื้อไหม แค่นั้นพอ แต่พอเรามาฝึกฝนจนดูเป็น เฮ้ย !!! เราดูเอง ลองเองก็ได้นี่ อยากหยิบหุ้นตัวไหนมาดู มาลองตีเส้น มองแนวโน้ม หาจังหวะเข้าทำกำไร ทุกอย่างอยู่ที่เรา ไม่รู้เทคนิคไหนก็ศึกษาเพิ่มแล้วมาประยุกต์ใช้ ผมว่าวันสุดยอดจริงๆ
"ถึงเวลาที่คุณจะปั่นจักรยานเป็นเอง โดยไม่ต้องซ้อนท้ายใครให้เมื่อยตูดแล้วหรือยัง"
วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2555
‘หุ้นดี’ …ดูอย่างไร – Value Way
ถ้าท่านศึกษาบทวิเคราะห์ หรือคำแนะนำของโบรกเกอร์ตาม นสพ.ต่างๆจะพบอยู่บ่อยๆ ว่า มักจะมีคำแนะนำของนักวิเคราะห์ให้ซื้อ ‘หุ้นพื้นฐานดี’ เก็บไว้ลงทุนระยะยาว บางแห่งก็จะบอกชื่อหุ้นให้ซื้อลงทุนเรียบร้อย โดยที่ท่านไม่ต้องไปปวดหัวกับการค้นหา ‘หุ้นพื้นฐานดี’ อย่างที่กล่าวไว้ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=34503
ขณะที่นักลงทุนจำนวนมากซื้อหุ้นตามที่มีคนบอก จากนั้นจึงค่อยไปศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจนั้นเพิ่มเติมตามหลัง หรือลงทุนโดยซื้อหุ้นตามที่มีคนแนะนำให้เราซื้อหุ้นตัวนั้นตัวนี้ โดยที่เราไม่ได้เข้าใจ และศึกษาธุรกิจนั้นอย่างถ่องแท้ด้วยตัวเอง
วิธีการดังที่กล่าวมา จึงไม่ใช่วิธีที่ ‘นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า’ หรือ Value Investor ควรปฏิบัติ
สำหรับ ‘นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า’ ควรจะทำศึกษาหุ้นตัวนั้นและการบ้านอย่างหนักก่อนที่จะลงทุนซื้อหุ้นบริษัทไหนสักบริษัทหนึ่ง
การหา ‘หุ้นพื้นฐานดี’ นั้นไม่ยากเกินความสามารถและเราสามารถค้นหาได้ด้วยตัวเราเอง ยิ่งถ้าเราเข้าใจในธุรกิจที่เราลงทุนแล้ว เราก็ไม่ต้องไปกังวลกับสภาพของตลาดหุ้น ที่ราคาหุ้นอ่อนไหวไปตาม ‘ความโลภ’ และ ‘ความกลัว’ ของอารมณ์นักลงทุนทั้งหลายในตลาด
หุ้นพื้นฐานดีสามารถบอกได้โดยดูจากงบการเงินของบริษัทนั้น ก็คือ งบดุล งบการเงิน และงบกระแสเงินสด โดยดูย้อนหลังไปหลายๆ ปี เพื่อป้องกันการตกแต่งบัญชี และดูความสามารถของบริษัทว่าแข็งแกร่งจริงหรือไม่
วิธีดูหุ้นพื้นฐานดีที่จะกล่าวในที่นี้ จะพูดถึงเฉพาะหุ้นที่มีประวัติการดำเนินงานที่ดี โดยไม่ได้ครอบคลุมถึงหุ้นที่เพิ่งผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ (Turnaround) ที่ผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในเวลาไม่นาน
ลักษณะที่ดี 9 ประการของ ‘หุ้นพื้นฐานดี’ ควรจะมีดังต่อไปนี้
1.มียอดขายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
หุ้นที่ดีควรจะมียอดขายที่เติบโตขึ้น ถ้าเติบโตเพิ่มขึ้นได้ทุกปีก็จะดีมาก แสดงให้เห็นว่า ธุรกิจนั้นมีการขยายตัว และสามารถแข่งขันในอุตสาหกรรมนั้นได้ ส่วนหุ้นที่มียอดขายสาละวันเตี้ยลงทุกปีทุกปี น่าจะเป็นหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง หมายถึงว่า กิจการนั้นกำลังถูกคู่แข่งแย่งตลาดสินค้าไป หรือไม่ธุรกิจหรืออุตสาหกรรมนั้นก็อาจจะอยู่ในข่ายอุตสาหกรรมตะวันตกดิน (sunset industry) หรือผู้บริหารมีปัญหาในการดำเนินกิจการ แต่ยอดขายเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอที่จะบอกได้ว่าหุ้นนั้นเป็นหุ้นพื้นฐานดีหรือไม่ ต้องใช้ปัจจัยอีกหลายอย่างในการวิเคราะห์ธุรกิจ ดังจะกล่าวต่อไป
2. มีการควบคุมต้นทุนการดำเนินงานที่ดี
บริษัทที่มีการควบคุมการดำเนินงานที่ดี เราสามารถตรวจสอบดูได้จากงบกำไรขาดทุน โดยสังเกตจากต้นทุนสินค้าและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ควรจะไปตามยอดขายของกิจการ ถ้ายอดขายสูงขึ้นค่าใช้จ่ายก็สามารถอนุโลมให้เพิ่มขึ้นได้ตามสัดส่วนยอดขายที่สูงขึ้น แต่ธุรกิจที่ยอดขายลดลงแต่ต้นทุน และค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น นักลงทุนควรจะระวังและถ้าเกิดขึ้นเป็นประจำควรตรวจสอบให้ดีก่อนลงทุนในบริษัทนั้น
3. ไม่ประสบปัญหาขาดทุน
บริษัทที่ดีควรจะมีความสามารถในการทำกำไรอย่างสม่ำเสมอ บริษัทที่ประสบภาวะขาดทุน เป็นการแสดงให้เห็นถึงการขาดประสิทธิภาพของผู้บริหาร ถ้าขาดทุนตลอดปีหรือไม่ ก็ขาดทุนปีเว้นปี นักลงทุนควรเอาเวลาไปศึกษาธุรกิจอื่นจะดีกว่า ยกเว้นท่านที่ชอบลงทุนใน ‘หุ้นฟื้นคืนชีพ’ (Turnaround) ที่ขาดทุนมาหลายปีอยู่ดีๆ ก็กลับมาทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ อันนี้ก็แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน แต่สำหรับท่านที่ยังไม่มีประสบการณ์ในการลงทุนมากนัก ควรหลีกเลี่ยงหุ้นที่มีผลดำเนินงานขาดทุนจะปลอดภัยกว่า
4. เงินทุนหมุนเวียนเป็นบวก (Positive Working Capital)
ธุรกิจที่ดีควรมีทรัพย์สินหมุนเวียนมากกว่าหนี้สินหมุนเวียน เพราะธุรกิจควรมีการเตรียมความพร้อมของเงินทุนระยะสั้นให้เพียงพอต่อการจ่ายคืนหนี้สินระยะสั้น มิฉะนั้นธุรกิจอาจจะมีปัญหาการเงินเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะบริษัทที่ทำการกู้ยืมระยะสั้นมาก อาจจะต้องสำรองเงินสดไว้พอสมควรทีเดียวสำหรับการจ่ายคืนหนี้ที่เรียกเก็บภายใน เวลาไม่นาน ยกเว้นธุรกิจบางประเภท เช่น ธุรกิจค้าปลีก หรือค้าส่ง ที่รับเงินจากการขายให้กับลูกค้าเป็นเงินสดแต่ได้เครดิตจากผู้ผลิตสินค้าเป็นเวลาหลายเดือนก่อนที่จะจ่ายเงิน ในกรณีนี้เงินทุนหมุนเวียนอาจจะติดลบได้ ซึ่งกลับกลายเป็นจุดแข็งสำหรับธุรกิจประเภทนี้เสียอีก เพราะแทนที่จะต้องมีเงินสำหรับของที่อยู่ในสต็อกกลับเป็นผู้ผลิตสินค้าที่จะต้องเป็นคนจ่ายเงินค่าสินค้าคงคลังแทน
5. มีหนี้ไม่มากหรือมีหนี้อยู่ในฐานะที่เหมาะสม
ตัวเลขคร่าวๆ ที่ใช้กันส่วนใหญ่ในการตรวจสอบสภาพหนี้สินของธุรกิจก็คือ ‘อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน’ (Debt/Equity Ratio) ธุรกิจที่มีหนี้สินต่อทุนสูง แสดงว่า มีการกู้ยืมหนี้ระยะยาวมาก และทำให้ธุรกิจนั้นมีความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจสูง อัตราหนี้สินต่อทุนที่พอเหมาะที่ใช้กันทั่วไปคือ น้อยกว่าหนึ่งเท่า หรือไม่เกินสองเท่า
6. มีกำไรสะสม (Retain Earning) เพิ่มขึ้นทุกปี
ธุรกิจที่ดีควรมีกำไรสะสมเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ และสามารถนำกำไรสะสมนั้นไปลงทุนต่อให้งอกเงยเพิ่มมากขึ้นจากเดิม ธุรกิจที่มีกำไรสะสมลดลง นักลงทุนควรตั้งคำถามก่อนที่จะลงทุนในบริษัทนั้นว่า บริษัทนำกำไรสะสมนั้นไปใช้ ทำอะไรและมีประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นหรือไม่
7. มีส่วนของผู้ถือหุ้น (Shareholder Equity) เพิ่มขึ้นสม่ำเสมอ
บริษัทที่สามารถเพิ่มส่วนของผู้ถือหุ้นได้อย่างสม่ำเสมอนับว่า เป็นธุรกิจที่น่าสนใจ แสดงให้เห็นถึงความสามารถของผู้บริหารในการนำเงินของบริษัทไปลงทุนในกิจการที่มีประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น ควรหลีกเลี่ยงบริษัทที่มีส่วนผู้ถือหุ้นลดลงหรือติดลบ แสดงว่า ธุรกิจนั้นที่ผ่านมามีการขาดทุนเกิดขึ้น
8. กำไรต่อยอดขาย (Profit Margin) มากพอสมควร
ธุรกิจที่มีกำไรต่อยอดขายสูง แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการควบคุมต้นทุนของกิจการในระดับที่ดี แต่กำไรต่อยอดขายสูง อาจจะดึงดูดให้คู่แข่งหน้าใหม่ๆเข้ามาในอุตสาหกรรมนั้นมากขึ้น ในขณะที่ธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมมีการแข่งขันสูงส่วนมากจะมีกำไรต่อยอดขายต่ำ เพราะมีการตัดราคาสินค้าเพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาซื้อสินค้าและบริการของตน ทำให้กำไรของทั้งอุตสาหกรรมลดลง ดังนั้น ธุรกิจที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูงก็คือ ธุรกิจที่มีต้นทุนในการดำเนินงานต่ำ (Cost Leadership)
9. ผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (Return on Equity) สูง
ผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น คำนวณจาก กำไรหารด้วยส่วนผู้ถือหุ้น (Net Profit/ Equity) ธุรกิจที่มีผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นสูงแสดงว่า ผู้บริหารสามารถบริหารเงินทุนของบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่บางธุรกิจที่มีเงินกู้ยืมสูงก็อาจจะทำให้ผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นสูงขึ้นได้ เพราะเงินลงทุนส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของหนี้สินระยะยาวมากกว่าส่วนผู้ถือหุ้น ดังนั้น ในบางกรณีอาจจะจำเป็นต้องใช้อัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินลงทุน (Return on Total Capital) ในการตรวจสอบความสามารถในการดำเนินงานของธุรกิจนั้น จะเหมาะสมมากขึ้น เนื่องจากได้รวมส่วนหนี้สินระยะยาวในการคำนวณไว้ด้วย
ผลตอบแทนต่อเงินลงทุน หาได้จากกำไรหารด้วยส่วนของผู้ถือหุ้นและหนี้สินระยะยาว (Net Profit/(Longterm Liability+Equity)) บริษัทที่มีผลตอบแทนต่อเงินลงทุนสูง จะน่าสนใจกว่าบริษัทที่มีอัตราส่วนนี้ต่ำ
การค้นหาลักษณะที่ดี 9 ประการข้างต้นของหุ้นที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ จะช่วยให้ท่านมีความรู้ความเข้าใจในหุ้นที่ท่านลงทุนมากขึ้น แทนที่จะรอให้คนอื่นหรือนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ตามโบรกเกอร์ต่างๆ มาแนะนำ ‘หุ้นพื้นฐานดี’ ให้กับท่าน
ท่านสามารถที่จะเริ่มศึกษาและค้นหา ‘หุ้นพื้นฐานดี’ ได้ด้วยตัวท่านเอง ซึ่งนับว่าเป็นหนทางในการเป็น ‘นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า’ หรือ Value Investor ที่ดีทางหนึ่ง
ข้อดีของการเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุน้อย (Investing Young)’
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=34540
จากการที่ผมเริ่มเล่นหุ้นตั้งแต่เริ่มเรียนปี 1 จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลา 4 ปีแล้ว ผมได้เห็นข้อดีและประโยชน์ที่ได้จากการเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุน้อย หลายข้อเลยครับ
ขออธิบายเป็นข้อๆตามนี้ครับ
1. มีเวลาศึกษา และทำการบ้าน(หุ้น)
- คำว่า ‘ไม่มีเวลา’ เป็นคำตอบที่คนวัยทำงานส่วนใหญ่มักจะตอบกันเมื่อถูกถามว่า ‘ทำไมไม่ลองศึกษาเรื่องการลงทุน’
โดยเฉพาะเมื่อคุณทำงานนานขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มมีครอบครัวต้องดูแล ตำแหน่งหน้าที่และความรับผิดชอบก็จะมากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน ก็ยิ่งทำให้คุณไม่มีเวลามาศึกษานั่นเอง
แต่ในช่วงที่ยังเรียนอยู่นั้น ส่วนใหญ่แล้วเราจะมีเวลาว่างค่อนข้างมาก (ยกเว้นช่วงอ่านหนังสือสอบ) ซึ่งวัยรุ่นหลายคนก็มักจะหาอะไรทำสนุกๆไปตามวัย แต่สำหรับคนที่ต้องการศึกษาการลงทุน ผมคิดว่าช่วงวัยรุ่นเป็นเวลาที่เหมาะสมมาก ที่จะแบ่งเวลามาศึกษาเรื่องนี้
นอกจากนี้ ในการลงทุนนั้น คุณต้อง “ทำการบ้าน” เป็นประจำ นั่นคือ การหาข้อมูล คิดวิเคราะห์การลงทุน ตรวจสอบสุขภาพพอร์ตลงทุนของคุณ ซึ่งถ้าคุณไม่มีเวลาทำเลย มันก็คงยากที่จะทำการบ้านเสร็จ
ในช่วงที่เพิ่งเริ่มลงทุน การทำการบ้านหุ้นมักจะใช้เวลานาน เพราะคุณยังไม่คุ้นหรือยังไม่เชี่ยวชาญพอ
ซึ่งถ้าคุณเพิ่งมาเริ่มศึกษาการลงทุนในขณะที่กำลังทำงานอยู่ด้วย คุณจะพบว่าการทำการบ้านหุ้นนั้น ก็ต้องใช้เวลาและความคิดมากพอสมควรเลยทีเดียว ซึ่งอาจจะทำให้คุณเหนื่อยขึ้นเยอะจากที่เป็นอยู่
แต่เมื่อคุณลงทุนไปได้ซักระยะหนึ่ง คุณก็จะเริ่มเชี่ยวชาญ และคุ้นเคย ทำให้สามารถทำการบ้านเสร็จได้เร็วขึ้นครับ ดังนั้น ถ้าเราศึกษาการลงทุนตั้งแต่เด็กๆ เราก็จะทำการบ้านหุ้นได้รวดเร็ว ใช้เวลาน้อยลงนั่นเองครับ
“คุณจะไม่รวยจากที่ทำงาน แต่คุณจะรวยจากการทำการบ้าน”
“You do not get rich at work. You get rich by doing your homework.”
- Robert Kiyosaki -
เมื่อผมมองย้อนกลับไป ก็รู้สึกว่า การที่ได้มีเวลามานั่งอ่านนั่งศึกษาเรื่องการลงทุนในตอนนั้น เป็นสิ่งที่ให้ประโยชน์แก่ผมมากในระยะยาวจริงๆ
2. รับความเสี่ยงได้มากขึ้น
- การเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุน้อย คุณจะสามารถรับความเสี่ยงได้มากกว่าคนที่อายุเยอะแล้ว การที่เงินลงทุนเริ่มต้นคุณไม่สูงมากนัก ทำให้คุณสามารถผิดพลาดได้บ่อยกว่าคนที่อายุเยอะ เพราะคุณยังมีเวลาเพื่อเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ และก็ยังสามารถหาเงินจากการทำงานมาเพิ่มในพอร์ตลงทุนได้อีกด้วย
นอกจากนี้ การที่เราสามารถรับความเสี่ยงได้มากขึ้น ก็ทำให้เรามีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงขึ้นนั่นเอง
3. มีความยืดหยุ่น
- ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก
การเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุน้อยๆ ความคิดของคุณจะเปิดกว้างและยืดหยุ่นมากกว่าผู้ใหญ่
คุณสามารถพลิกแพลง ผสมผสาน หรือแม้แต่กระทั่งเปลี่ยนแนวทางการลงทุนของคุณได้เสมอ หากคุณพบว่าแนวทางดังกล่าวนั้นเหมาะสมกับตัวคุณมากกว่า และนำสิ่งต่างๆมาพัฒนาเป็นหลักการลงทุนของตัวเองในระยะยาว
4. ระยะเวลาลงทุน
- ปัจจัยที่ผมคิดว่าสำคัญที่สุดในการลงทุน ไม่ใช่ ผลตอบแทนสูงๆ หรือ เงินลงทุนเริ่มต้นจำนวนมาก หากแต่เป็น ‘ระยะเวลาที่ยาวนาน’
หากคุณเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุน้อย แม้ว่าเงินลงทุนเริ่มต้นจะไม่สูงมากก็ตาม แต่เมื่อคุณทำผลตอบแทนได้ดีสม่ำเสมอ ในระยะยาว เงินก้อนเล็กๆของคุณก็สามารถทบต้นทวีคูณได้มากจนคุณอาจจะคาดไม่ถึง ซึ่งนั่นเป็นผลมาจากพลังของดอกเบี้ยทบต้นนั่นเอง
5. ทักษะ ความรู้ และประสบการณ์
- ทักษะ ความรู้ และประสบการณ์ ก็เป็นอีกปัจจัยที่สำคัญมากในเรื่องของการลงทุน เพราะการที่คุณจะสามารถเอาตัวรอดในตลาดการเงินการลงทุนได้นั้น คุณจำเป็นต้องมีความสามารถและประสบการณ์ที่ดีและมากพอ
หากคุณเริ่มต้นลงทุนเร็ว คุณก็จะได้สิ่งเหล่านี้ติดตัวตั้งแต่อายุน้อย และเมื่อลงทุนไปนานๆ ปัจจัยเหล่านี้ก็จะยิ่งเพิ่มพูนมากตามไปด้วย
…
จริงๆแล้วยังมีประโยชน์อีกหลายอย่างที่ผมได้จากการเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุน้อย
เช่น การได้ความรู้รอบตัวใหม่ๆเพิ่มขึ้นมากมาย, การได้รู้จักพบปะพี่น้อง และเพื่อนๆจากการลงทุนหลากหลายวัย หลากหลายอาชีพ เป็นต้น
ดังนั้น หากคุณยังมีคำถามในหัวว่า เราควรเริ่มต้นศึกษาเรื่องการลงทุนเมื่อไหร่ดี? คุณก็คงจะได้คำตอบจากบทความนี้แล้วนะครับว่า
. “อย่ารอช้า เริ่มเดี๋ยวนี้” …
“การเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุขึ้นต้นเลข 2 ย่อมสร้างความได้เปรียบเหนือกว่าผู้ที่อยู่ในวัยเดียวกันแต่ชักช้ากับการคิดเรื่องลงทุน ความได้เปรียบที่ว่าครอบคลุมถึง ระยะเวลาลงทุน, ความสามารถในการลงทุน, และความกล้าที่จะลองหรือทดสอบการยอมรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้น”-
ขยะ....ที่อยู่ในใจ
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=34581&s=46cea15c801021e8bcb9fd67a3d7dc88ทำไมบางคนถึงทุกข์ร้อน วิตกกังวล กระวนกระวาย ไม่สบายใจ ไม่ปลอดโปร่งอยู่เสมอ?
คำตอบง่ายมาก เพราะเขาแบกความคิดและความรู้สึกหลายอย่างเอาไว้ ไม่ปลดปล่อย ไม่ปรับเปลี่ยน จนกระทั่งมันกลายเป็นขยะหรือคราบสกปรกเกาะติดหัวใจ
เวลามีอะไรมากระทบ หรือสัมผัสกับความรู้สึก ก็จะมีคราบเปื้อนเหล่านี้เข้าไปเจือปนความสดใสที่ควรจะมี จึงมีได้ไม่เต็มที่
ทำไมเราจึงปล่อยให้ ใจเป็น “ถังขยะ” ล่ะ
คำตอบก็คือ เราไม่ค่อยรู้ตัวหรอก ว่าเราแอบทิ้งขยะลงไปในใจของเราเอง หรือมีใครทิ้งขยะลงมาในหัวใจของเราบ้าง ถ้าเราไม่หมั่นสำรวจ บางทีเราอาจมีขยะรกเรื้อหัวใจอยู่มากมายเลยก็ได้…….
.
อะไรบ้าง ที่เป็นขยะหัวใจ?
.
1. ความไม่พอใจ
.
มีหลายเรื่องเลยนะในชีวิต ที่เราไม่พึงพอใจ ถ้าจะแบ่งให้กว้างที่สุดเพื่อให้เห็นภาพ สิ่งที่ทำให้เราไม่พอใจมีอยู่ 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ ไม่พอใจคนอื่น กับไม่พอใจตัวเอง
.
ไม่พอใจคนอื่น เกิดได้มากกว่าความไม่พอใจในตัวเอง เพราะธรรมชาติของคน ย่อมรักตัวเองมากกว่าคนอื่น ย่อมโทษคนอื่นก่อนโทษตัวเอง ย่อมเห็นความผิดของคนอื่นได้ก่อนและได้ชัดกว่าความผิดของตนเอง
.
ขณะเดียวกัน เราต่างก็รู้ว่า โลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ มีเกิน มีขาด จนกว่าจะค่อยๆปรับปรุงพัฒนาให้มีความพอดีได้ จึงจะเข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบมากที่สุด ฉะนั้น เราควรมองด้านดีของกันและกันให้มากกว่าด้านที่บกพร่อง
.
ถ้าเราเริ่มจากมองด้านดีของกันและกันแล้ว ความพึงพอใจ และความนับถือในกันและกันก็จะเกิด ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สร้างสรรค์…กว่าการจับผิดกัน แล้วนำไปสู่ความไม่พอใจ
.
2. ความผิดหวัง
.
2 สิ่งที่ไม่ควรตั้งความหวังไว้สูงนัก คือ หวังว่าเรื่องบางเรื่อง เหตุการณ์บางเหตุการณ์ หรือคนบางคนในอดีต จะย้อนกลับมา กับหวังว่า อนาคตจะเป็นไปตามที่เราวาดหวังเสียทุกประการ อดีตเป็นสิ่งที่ยากจะเรียกหาให้ย้อนกลับคืนมาเป็นเหมือนเดิม
.
ดีที่สุด คือ ใช้อดีตเป็นบทเรียน ให้สติ ให้เราเรียนรู้ทั้งโอกาสและความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้น เพื่อให้วันนี้และวันข้างหน้า ดีกว่าอดีตที่เคยเป็น
.
ส่วนอนาคตย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย ไม่สามารถบังคับ บงการให้เป็นไปตามความหวังของเราได้เสียทั้งหมด แต่พอจะคาดการณ์ได้ว่าน่าจะเป็นอย่างไร
.
กระนั้นก็ตาม หากไม่เป็นไปอย่างที่คาดการณ์ ก็อย่าได้ทุกข์ร้อนเสียใจและปล่อยความคาดหวังบนความไม่แน่นอนแบบนี้ให้เป็นขยะรกอารมณ์
.
3. ความอิจฉาริษยา
.
ขยะอย่างหนึ่งที่รกใจคนที่สุด ก็คือ ความอิจฉาริษยาคนอื่น โดยไม่ทันเฉลียวว่า ทุกครั้งที่เราอิจฉาริษยาใครก็ตาม ความนับถือตัวเองของเราก็เสื่อมถอยลงไปด้วย เพราะการจะรู้สึกอิจฉา หรือริษยาใครนั้น ย่อมมีพื้นฐานมาจากความรู้สึกว่าเขาดี หรือได้ดีกว่าเรา เราจึงอิจฉาเขาเป็นพัลวัน
.
จงหยุดอิจฉา แล้วมองให้เห็นว่า การที่คนอื่นได้ดีหรือมีดีกว่าเรานั้น เป็นสิ่งที่น่ายินดี ควรยินดีกับเขาและปรับเปลี่ยน โน้มน้าวตัวเองให้ทวีความดีดั่งที่เขามี…จนเราอิจฉา
.
4. ความยึดมั่นถือมั่น
.
ขยะที่เพิ่มพูนความรกเรื้อรุงรังให้ใจได้เป็นอย่างดีอีกประการหนึ่งคือ ความยึดมั่นถือมั่น คิดว่านั่นก็คนของฉัน นี่ก็บ้านของฉัน รถของฉัน คนรักของฉัน ตำแหน่งของฉัน ฯลฯ จนไม่สามารถปล่อยวางสิ่งนอกตัวเหล่านั้นลงได้
.
ส่วนใหญ่พบว่า จิตจะปรุงแต่งไปเองว่าสิ่งนี้ฉันรัก สิ่งนี้ฉันเป็นเจ้าของ ใครก็เอาไปจากฉันไม่ได้ พอไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ ก็ผูกพันหน่วงเหนี่ยว ยังคงเสียดาย เสียใจ และปรุงแต่งจิต เพิ่มเข้าไปว่าฉันนี้แสนทุกข์ระทม
.
ลองยอมรับความจริงดูบ้างไหมว่า อะไรๆในโลกนี่ก็ไม่ใช่ของเราอย่างถาวรทั้งสิ้น แม้กระทั่งร่างกายของเรานี้ แท้ก็เป็นแค่ของยืมมาใช้ ได้ชาตินี้ชาติเดียว เดี๋ยวก็เสื่อม ก็แก่ ก็ป่วย ก็ตาย ต้องคืนร่างกายสังขารนี้สู่สภาพ ดิน น้ำ ลม ไฟ เน่าเปื่อยผุพังไป สิ้นความสวยความหล่อ ตลอดจนลาภยศสรรเสริญทั้งปวง
.
5. ความกลัว
.
ใจหลายคนรุงรังไปด้วยความกลัว กลัวเขาจะไม่รัก กลัวเงินจะหมด กลัวฝนจะตก กลัวนายจ้างจะเลิกจ้าง กลัวเพื่อนร่วมงานจะได้ดีกว่า กลัวไม่ก้าวหน้า ไม่ได้โบนัส ฯลฯ
.
กลัวไปทำไม เรื่องบางเรื่องเราตัดสินเองไม่ได้ อยู่นอกเหนือจากการควบคุม ซึ่งกลัวไปก็เท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นสักนิด บางเรื่องแทบไม่มีวันมาถึงในชีวิต ก็กลัวล่วงหน้า กลัวจนประสาทเสีย
.
จงพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกคนและทุกสิ่งในชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งต้องเริ่มจากการทำแต่สิ่งที่ดี โปร่งใส ไม่เป็นแผลติดตัวที่ต้องปิดบังซ่อนเร้น และจงขจัดความกลัวออกไปจากใจ เพื่อให้เกิดความมั่นใจที่จะใช้ชีวิตของเราให้สมศักดิ์ศรี เพื่อที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อทำให้ชีวิตนี้ดีกว่าเดิม
.
6. ความอยาก
.
จง “อยาก” ให้พอดีกับ กำลังกาย กำลังทุน และกำลังสติปัญญาของตัวเอง อย่าอยากจนเกินกำลัง เพราะจะทำให้สิ้นกำลังได้ง่าย แล้วกลายเป็นคนพ่ายแพ้ อ่อนแอ หมดสิ้นความทะเยอทะยานอยากในชีวิต
.
ความทะเยอทะยานอยากเหมือนรถ แต่ใจเราคือคนขับ รถแล่นด้วยความเร็วกำลังดี เราก็ได้ประโยชน์ จอดอยู่เฉยๆก็นิ่งอยู่กับที่ แต่หากแล่นฉิวจนเกินควบคุม ก็อันตรายกับชีวิต ฉะนั้น ใจต้องเป็นนายของความทะเยอทะยานอยาก ขับเคลื่อนความทะเยอทะยานอยากโดยควบคุมได้
.
ทำอย่างไรให้ใจสะอาด?
.
เริ่มจากปล่อยวางสิ่งต่างๆลง อย่ายึดติดยึดถือให้มากนัก แล้วอยู่กับปัจจุบัน อะไรที่อยู่กับเราเป็นของเรา ย่อมอยู่กับปัจจุบันของเราด้วย นั่นคือสิ่งจริงแท้แน่นอน การปล่อยวางสิ่งต่างๆลง เท่ากับการเทขยะทิ้ง การอยู่กับปัจจุบันเท่ากับการปิดฝาถังขยะ
.
ไม่เปิดรับขยะใหม่ๆให้ใจต้องสกปรกรกรุงรังอีก เพื่อมีเวลาทำความสะอาดหัวใจให้ผ่องใส เบิกบาน
.
ใจ…….แท้จริงผ่องใสด้วยตัวของมันเอง แต่คนที่เป็นเจ้าของหัวใจต่างหาก ที่ชักนำสิ่งต่างๆมาปะพอกจนใจนั้นหมดสภาพ ฟื้นหัวใจให้กลับไปผ่องใสดังเดิมกันเถิด ปัดฝุ่นและคราบเขม่าทั้งหลาย แล้วเปิดทางให้หัวใจได้หายใจเต้น และรู้สึกด้วยตัวของมันเอง
.
อย่าไปบงการหัวใจมาก เพราะแทนที่จะเป็นหัวใจ มันจะกลายเป็นถังขยะแทน
วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2555
หลักการลงทุนของ ‘Nicolas Darvas’ ต้นตำรับการลงทุนแบบผสม ‘Techno-Fundamental’
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=34544&s=87de3f589e7bf0af62adf85e43bed8e0
วันนี้เรามีบทความดีดีมาแชร์กันนะค้า หลังจากที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในการเล่นหุ้น Nicolas Darvas ได้สรุปหลักการลงทุนของตัวเองเอาไว้ในหนังสือ ‘Wall Street : The Other Las Vegas’
โดยปัจจัยทาง Techical ที่ Nicolas Darvas ดูนั้น ประกอบด้วย
1. Box System ; กรอบของราคาหุ้นในช่วงเวลาหนึ่ง
หลังจากที่คัดเลือกหุ้นที่จะลงทุนเสร็จแล้ว Darvas จะรอเข้าซื้อเมื่อหุ้นทะลุกรอบบนของฐานราคา และจะขายทำกำไรหรือ Cut Loss เมื่อราคาตกทะลุกรอบล่าง
และตลอดช่วงที่หุ้นเป็นขาขึ้น ถ้าหุ้นสามารถทะลุกรอบบนไปได้เรื่อยๆ เค้าก็จะทยอยซื้อเพิ่ม (Average Up) ตามขึ้นไป จนเมื่อจบ Trend คือเมื่อราคาทะลุกรอบล่าง จึงค่อยขายทำกำไร
2. Volume ; มองหาสัญญานจากปริมาณการซื้อขายของหุ้น
หุ้นที่มี Demand มากๆ จะสะท้อนออกมาใน Volume เสมอ
3. Historical Peak Price Related to Present Price ; เปรียบเทียบราคาสูงสุด (All time high) กับ ราคาปัจจุบัน
โดยหุ้นที่ Darvas จะเลือกลงทุนนั้น ราคาหุ้นควรจะอยู่ใกล้จุดสูงสุดของมันอยู่เสมอ
เพราะนั่นแสดงว่า หุ้นตัวนั้นน่าจะมีอนาคตที่ดีกว่าหุ้นที่ราคาอยู่ใกล้ๆกับจุดต่ำสุดของมันแน่นอน
4. On-Stop Buy-Order ;
มีจุด Stop Loss ทุกครั้งที่เข้าซื้อ และก็มีจุด Entry (จุดเข้าซื้อ) อยู่เสมอ
ทำให้เมื่อถึงเวลาต้องลงมือ ก็จะสามารถตัดสินใจซื้อขายได้โดยไม่ลังเล
สำหรับปัจจัยพื้นฐาน หลักๆที่ Darvas ใช้ก็จะประกอบด้วย
1. Capitalization ; ขนาดของหุ้น
เค้ามักจะเลือกหุ้นที่มีขนาดเล็ก-กลาง เพราะให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นขนาดใหญ่
2. Industry Group ;
มองหาอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตสูง หรืออุตสาหกรรมที่กำลัง Outperform ตลาด
เพราะหุ้นในกลุ่มนั้นมักจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นตัวอื่นๆส่วนใหญ่ในตลาด
3. Expected Earnings ; ปัจจัยสำคัญที่จะผลักดันราคาหุ้นคือ Expected ของคนในตลาด
หุ้นที่จะสามารถขึ้นไปได้มากๆ นั่นคือ ในช่วงเริ่มต้นของ Trend เหล่าสถาบัน กองทุน หรือนักลงทุนรายใหญ่ เริ่มรับรู้แล้วว่า หุ้นตัวนี้ มันจะถูกมากในอนาคต! (ไม่ใช่ในปัจจุบัน) ทำให้เกิด Demand ซึ่งสะท้อนออกมาใน Price และ Volume
ในขณะที่ หุ้นที่ดูแล้วถูกในปัจจุบัน แต่ราคาก็ไม่ไปไหนซักที นั่นเป็นเพราะ Expected Earnings ของมันยังไม่ดึงดูดพอนั่นเอง ซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะ กำไรเติบโตน้อยจนไม่ดึงดูด หรือราคาหุ้นแพงไปแล้วก็เป็นได้
จะเห็นได้ว่า Darvas ก็ไม่ได้ใช้หลักการหรือเทคนิคอะไรที่ยุ่งยากซับซ้อนวุ่นวาย เลือกใช้เพียงไม่กี่ปัจจัย แต่ก็เป็นแนวทางที่ให้ผลตอบแทนสูงมากสำหรับเขา
ทั้งหมดนี้ก็เป็นหลักการคร่าวๆในการเล่นหุ้นของ Nicolas Darvas เซียนหุ้นในตำนาน หนึ่งในต้นตำรับการลงทุนแบบผสม ‘Techno-Fundamental’
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=34544&s=87de3f589e7bf0af62adf85e43bed8e0
วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2555
"Roy Sidikman " จากนายหน้าค้าหุ้นสู่นักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จ
นักเก็งกำไรแตกต่างจากนักลงทุน เพราะพวกเขาไม่นำตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับการไหลของกระแสเงิน กำไรต่อหุ้น จำนวนหนี้สิน แนวโน้มธุรกิจในอนาคต หรืออย่างอื่นที่เกี่ยวกับสถานะของบริษัท พวกเขาไม่สนว่าใครจะมองพวกเขายังไง จะดูถูกว่าการเล่นแบบนี้ไม่มีวันรวยได้แค่ค่ากับข้าวก็แล้วแต่ คำพูดเหล่านี้ไม่เคยทำให้พวกเขาหวั่นไหวแต่อย่างใด เพราะพวกเขารู้ดีว่าพวกเขาสามารถทำเงินจากการเก็งกำไรได้แค่ไหน
นักเก็งกำไรจะสนใจเฉพาะราคาหุ้น ไม่ใช่มูลค่าของหุ้น ในการเก็งกำไร "มูลค่าหุ้น" หมายถึงการซื้อหุ้น 1-2 ช่วงราคาก่อนคนอื่น ความได้เปรียบอันนี้จะทำให้มีกำไรในกระเป๋าเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อคุณขายมันออกไปในอีกไมกี่นาทีข้างหน้าแล้วก็เริ่มต้นการเทรดใหม่
นักลงทุนที่มีประสบการณ์หลายคนคิดว่าพวกเขาสามารถที่จะเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นนักเก็งกำไรได้อย่างง่ายๆ เพราะพวกเขารู้เกี่ยวกับหุ้นและตลาดดี แต่การเปลี่ยนสไตล์นั้นยากมากหากไม่มีความพยายามพอ
Roy Sidikman เริ่มต้นการทำงานด้วยการเป็นนายหน้าค้าหุ้นหลังจบการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย การทำงานดังกล่าวทำให้เขาได้สั่งสมประสบการณ์เกี่ยวกับหุ้นและการเคลื่อนไหวของตลาดอย่างลึกซึ้ง มองออกถึงรูปแบบของราคาและหยั่งรู้ถึงนิสัยของหุ้นที่สัมผัสอยู่บ่อยๆ
หลังจากทำงานได้สองปี ซิดิกแมน ตัดสินใจลาออก เนื่องจากเขาเห็นเพื่อนคนหนึ่งสามารถทำเงินได้ดีมากในฐานะนักเก็งกำไรทาง internet ซึ่งในปี 1995 อาชีพนี้ยังถือว่าเป็นมุมมืดของตลาดที่อยู่ท่ามกลางมืออาชีพและนักลงทุน ซิดิกแมนตัดสินใจทุบกระปุกของเขาที่มีเงินอยู่ประมาณ $50,000 และหยิบยืมพ่อของเขาอีกส่วนนึง จากนั้นจึงเริ่มต้นชีวิตนักเก็งกำไรในห้องค้าแห่งหนึ่งในเมือง New Jersey
หลังจากนั้น 6 สัปดาห์ เงินมากกว่าครึ่งหนึ่งของเขาถูกดูดเข้าไปในจอคอมพิวเตอร์ จุดนี้แหละที่นักลงทุนหน้าใหม่มักจะถอยกลับไปเลียบาดแผลด้วยอารมณ์บ่จอย แต่นั่นไม่ใช่กับ ซิดิกแมน เขาต่อสู้เพื่อการกลับมาอีกครั้งด้วยความระมัดระวังและวางแผนอย่างเป็นระบบ เขาเรียนรู้ถึงการยืดหยุ่นไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหน ความรู้และประสบการณ์จากภูมิหลังของเขาในตลาดหุ้นช่วยให้เกิดความมั่นใจและผลักดันเขาให้เดินไปข้างหน้า ผลที่เขาได้รับก็คือ เขาเปลี่ยนจากนายหน้าค้าหุ้นมาเป็นนักเก็งกำไรอย่างเต็มตัวและก็ไม่เคยหันกลับไปมองอดีตอีกเลย
"ในตอนเริ่มแรกของผมจบลงด้วยการขาดทุนที่มากกว่าครึ่งหนึ่งของเงินลงทุนทั้งหมดที่ผมมีอยู่และก็ต้องบากหน้าไปขอยืมเงินจากเพื่อนฝูงมาอีก จากจุดนี้เอง ผมเริ่มฝึกฝนตัวเองใหม่ด้วยการเรียนรู้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นหลัก ผมเรียนอย่างหนัก อ่านหนังสือแทบทุกเล่ม แล้วผมก็กลับเข้ามาในตลาดหุ้นอีกครั้ง ตั้งแต่นั้นมาผมขาดทุนเพียงเดือนเดียวตลอดสองปีกว่าที่ผ่านมา ผมเริ่มต้นภาคที่สองของผมด้วยการเทรดครั้งละน้อยๆ และมีความสุขกับกำไรวันละ $500 แล้วผมก็พยายามให้มันเพิ่มเป็น $1,000 ต่อวันอย่างสม่ำเสมอ หลังจากนั้นจากวันละ $1,000 ก็จะเพิ่มเป็นวันละ $2,000 โดยอัตโนมัติ และบางวันที่ตลาดดีๆผมสามารถทำได้ถึง $10,000 "
ซิดิกแมนศึกษาและพัฒนาจนมีความก้าวหน้าไปมากในฐานนักเก็งกำไรโดยอาศัยทักษะและประสบการณ์มาช่วย เขาทำสองสิ่งมาประสานกันด้วยการปล่อยให้กำไรโตขึ้นเรื่อยๆและตัดขาดทุนอย่างรวดเร็ว
" การเก็งกำไรเหมือนกับการเล่นเกม สำหรับนักเก็งกำไรที่อยู่ระดับแนวหน้า พวกเขามีประสาทสัมผัสที่รวดเร็วกับตลาดที่นักเก็งกำไรมือใหม่ไม่มี พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไปตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปซึ่งผมต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ด้วยเงินที่ขาดทุนไป การเริ่มต้นเป็นนักเก็งกำไรของผมก็มีผลลัพธ์เหมือนคนอีกหลายๆคนที่ต้องหมดกำลังใจ แต่ผมขอแนะนำนักเก็งกำไรที่เพิ่งเข้ามาใหม่ว่าอย่าเพิ่งท้อแท้ใจ เมื่อขาดทุนก็คิดเสียว่ามันเป็นค่าเล่าเรียนไปแล้วกัน"
การยอมรับความผิดพลาดเป็นเรื่องยากสำหรับใครหลายๆคน แม้แต่พวกนักเก็งกำไรก็ไม่มีข้อยกเว้น ข้อแก้ตัวที่ใช้กันมากที่สุดก็คือ เมื่อพวกเขาพลาดก็มักคิดว่า "ฉันยอมถือหุ้นไว้แม้มันได้ขาดทุนไป 10% แล้วก็ตาม เดี๊ยวราคามันก็เด้งขึ้นมาเอง" แล้วพวกเขาก็เริ่มค้นหาข้อมูลพื้ฐานของกิจการ สร้างความหวังว่าราคาที่ซื้อนั้นเหมาะสมแล้ว นั่นคือสิ่งที่ผิด เพราะว่ามูลค่าที่แท้จริงของหุ้นไม่ได้มีความหมายอะไรเลยสำหรับนักเก็งกำไร รวมถึง ซิดิกแมน เขายอมขายหุ้นทิ้งไปทันทีเมื่อมันวิ่งสวนทางกับเขา โดยยอมขาดทุนเพียงเล็กน้อยเพราะเขาถือว่าเขามาที่นี่เพื่อเก็งกำไรเท่านั้น และเขาไม่มีเวลามากพอที่จะมานั่งถือหุ้นที่ไม่ทำประโยชน์ให้กับเขา จริงอยู่ที่ราคาอาจจะมีการปรับตัวขึ้นมา ซึ่งมันอาจใช้เวลาหลายวัน แต่ในขณะเดียวกันเขาเชื่อว่ามันยังมีหุ้นอีกมากมายในตลาดที่สามารถสร้างโอกาสทำกำไรให้กับเขาได้เช่นกัน
"คุณต้องเป็นคนที่ยืดหยุ่นในทุกๆวัน ผมต้องปรับตัวให้เข้ากับตลาด วิธีการแบบไหนที่สามารถทำกำไรให้ผมได้มากที่สุดในวันนี้ บางวันกำไรแค่ 1 ถึง 2 ช่วงราคา บางวันเจอแจ็คพอร์ตเข้าไปเต็มๆกำไรเป็นกอบเป็นกำ โชคชะจาของชีวิตนักเก้งกำไรก็เป็นแบบนี้แหละ บางวันขาดทุน $1,000 ก็ถือว่าเป็นวันที่ดีมากๆ นักเก็งกำไรที่ดีต้องสามารถแยกแยะให้ออกว่าวันไหนเป็นวันที่ดีหรือวันที่แย่ วันไหนมีโอกาสได้หรือเสียมากกว่ากัน ปัญหาใหญ่ของนักลงทุนหน้าใหม่คือพวกเขาสามารถทำเงินในวันที่ดีได้ $2,000 แต่ไปขาดทุน $4,000 ในวันที่ตลาดแย่ พวกมืออาชีพรู้ดีว่าวันไหนไม่ค่อยดีและไม่มีเหตุผลที่จะหวังกำไรเยอะๆในวันนั้น กำไรได้ 1 ถึง 2 ช่วงราคาก็ถือว่าทำได้ดีแล้ว"
หากจะถามว่าวันไหน? เป็นวันของนักเก็งกำไร ก็คงเป็นวันที่ตลาดมีการแกว่งตัวอย่างรุนแรงพร้อมด้วยปริมาณการซื้อขายที่มหาศาลนั่นเอง จงรอคอยการเคลื่อนไหวที่รุนแรง ถ้ามันไม่เกิดขึ้นก็จงอย่าเล่นเลยหรือไม่ก็เล่นแต่น้อย คูรต้องเล่นเกมรุกในวันที่มีเงินเต็มตลาด และถ้าไม่มีเงินในตลาดให้ทำก็อย่าพยายามบังคับตัวเองให้หาเงินในวันนั้น เพราะมันจะเป็นวันที่คุณอาจต้องเสียเงินแทน
นักเก็งกำไรส่วนใหญ่จะศึกษาเพื่อเรียนรู้นิสัยของหุ้นว่าเมื่อไรหุ้นตัวนี้จะวิ่ง ลักษณะการวิ่งเป้นอย่างไร และคุณต้องทำอย่างไรเมื่อราคาวิ่งไปทางใดทางหนึ่งอย่างรุนแรง อันนี้แน่นอนที่สุด หุ้นแต่ละตัวย่อมมีความแตกต่างกันไปและหุ้นทุกตัวย่อมมีวงจรของมัน หุ้นบางตัวเล่นได้เกือบทุกวัน บางตัวก็เล่นได้เดือนละครั้ง หรือไตรมาสละครั้ง เขาเคยทำเงินจากหุ้นตัวหนึ่งที่เคยซื้อขายกันอย่างหนาแน่นในช่วงหนึ่ง หลังจากนั้นมันก็แทบไม่เคลื่อนไหวอีกเลย ซึ่งแน่นอนเขาก็ไม่ยอมเสียเวลาไปกับมันอีกต่อไป แต่เมื่อไรที่มันเริ่มกลับมาเคลื่อนไหวเขาก็พร้อมจะกลับเข้าไปเล่นกับมันใหม่
"ที่ที่ผมต้องการจะไปคือที่ที่ผมคิดว่าได้เปรียบคนอื่นๆ บางครั้งเมื่อมีข่าวดีคุณก็ต้องช่วงชิงความได้เปรียบ แต่การเล่นตามข่าวก็มีศิลปะของมัน พวกมือใหม่ทั้งหลายจะถูกกดดันให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายเพราะว่าพวกเจามักเข้าไปซื้อในขณะที่ราคาหุ้นกำลังถูกไล่เข้าไปใกล้จุดสูงสุดของมันแล้ว และเมื่อราคาเริ่มปรับตัวลงมาพวกเขาก็ตกใจขายมันไปตรงจุดต่ำจุดของตลาด"
สำหรับเขา เมื่อมีข่าวดีเข้ามาในตลาด เขาจะพยายามซื้อในจังหวะที่ถูกต้อง แต่ถ้าซื้อไม่ทันเขาก็จะปล่อยมันไป บ่อยครั้งที่ราคามักติดลบเมื่อมีข่าวดี เนื่องจากรายใหญ่มักจะดาหน้ากันเข้ามาขายกันในวันนั้น ดังนั้นพวกมือใหม่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อมีข่าวดีและคำแนะนำต่างๆของโบรกเกอร์เพราะทั้งสองสิ่งนี้คือ "นักฆ่าผู้ยิ่งใหญ่" ในตลาดหุ้นสำหรับมือใหม่
แน่นอนที่สุดว่าทั้งหมดในการเล่นหุ้นก็คือการเล่นเกม มันเป็นเกมที่ดุเดือดเผ็ดมันบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ "ผมไม่รู้ว่าต้องทำอะไรมากไปกว่านี้ ผมเพียงแค่กด enter แล้วก็ทำเงิน มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์มากในสิ่งที่พวกผมทำอยู่ ปมไม่เคยดิตเลยว่าสิ่งที่พวกผมทำอยู่ทุกวันนี้มันจะเป็นไปได้ และคงไม่มีอาชีพอะไรในโลกนี้อีกแล้วที่ผมอยากทำ นอกจากการเผ็นนักเก็งกำไรรายวัน"
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=34206
นักเก็งกำไรแตกต่างจากนักลงทุน เพราะพวกเขาไม่นำตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับการไหลของกระแสเงิน กำไรต่อหุ้น จำนวนหนี้สิน แนวโน้มธุรกิจในอนาคต หรืออย่างอื่นที่เกี่ยวกับสถานะของบริษัท พวกเขาไม่สนว่าใครจะมองพวกเขายังไง จะดูถูกว่าการเล่นแบบนี้ไม่มีวันรวยได้แค่ค่ากับข้าวก็แล้วแต่ คำพูดเหล่านี้ไม่เคยทำให้พวกเขาหวั่นไหวแต่อย่างใด เพราะพวกเขารู้ดีว่าพวกเขาสามารถทำเงินจากการเก็งกำไรได้แค่ไหน
นักเก็งกำไรจะสนใจเฉพาะราคาหุ้น ไม่ใช่มูลค่าของหุ้น ในการเก็งกำไร "มูลค่าหุ้น" หมายถึงการซื้อหุ้น 1-2 ช่วงราคาก่อนคนอื่น ความได้เปรียบอันนี้จะทำให้มีกำไรในกระเป๋าเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อคุณขายมันออกไปในอีกไมกี่นาทีข้างหน้าแล้วก็เริ่มต้นการเทรดใหม่
นักลงทุนที่มีประสบการณ์หลายคนคิดว่าพวกเขาสามารถที่จะเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นนักเก็งกำไรได้อย่างง่ายๆ เพราะพวกเขารู้เกี่ยวกับหุ้นและตลาดดี แต่การเปลี่ยนสไตล์นั้นยากมากหากไม่มีความพยายามพอ
Roy Sidikman เริ่มต้นการทำงานด้วยการเป็นนายหน้าค้าหุ้นหลังจบการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย การทำงานดังกล่าวทำให้เขาได้สั่งสมประสบการณ์เกี่ยวกับหุ้นและการเคลื่อนไหวของตลาดอย่างลึกซึ้ง มองออกถึงรูปแบบของราคาและหยั่งรู้ถึงนิสัยของหุ้นที่สัมผัสอยู่บ่อยๆ
หลังจากทำงานได้สองปี ซิดิกแมน ตัดสินใจลาออก เนื่องจากเขาเห็นเพื่อนคนหนึ่งสามารถทำเงินได้ดีมากในฐานะนักเก็งกำไรทาง internet ซึ่งในปี 1995 อาชีพนี้ยังถือว่าเป็นมุมมืดของตลาดที่อยู่ท่ามกลางมืออาชีพและนักลงทุน ซิดิกแมนตัดสินใจทุบกระปุกของเขาที่มีเงินอยู่ประมาณ $50,000 และหยิบยืมพ่อของเขาอีกส่วนนึง จากนั้นจึงเริ่มต้นชีวิตนักเก็งกำไรในห้องค้าแห่งหนึ่งในเมือง New Jersey
หลังจากนั้น 6 สัปดาห์ เงินมากกว่าครึ่งหนึ่งของเขาถูกดูดเข้าไปในจอคอมพิวเตอร์ จุดนี้แหละที่นักลงทุนหน้าใหม่มักจะถอยกลับไปเลียบาดแผลด้วยอารมณ์บ่จอย แต่นั่นไม่ใช่กับ ซิดิกแมน เขาต่อสู้เพื่อการกลับมาอีกครั้งด้วยความระมัดระวังและวางแผนอย่างเป็นระบบ เขาเรียนรู้ถึงการยืดหยุ่นไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหน ความรู้และประสบการณ์จากภูมิหลังของเขาในตลาดหุ้นช่วยให้เกิดความมั่นใจและผลักดันเขาให้เดินไปข้างหน้า ผลที่เขาได้รับก็คือ เขาเปลี่ยนจากนายหน้าค้าหุ้นมาเป็นนักเก็งกำไรอย่างเต็มตัวและก็ไม่เคยหันกลับไปมองอดีตอีกเลย
"ในตอนเริ่มแรกของผมจบลงด้วยการขาดทุนที่มากกว่าครึ่งหนึ่งของเงินลงทุนทั้งหมดที่ผมมีอยู่และก็ต้องบากหน้าไปขอยืมเงินจากเพื่อนฝูงมาอีก จากจุดนี้เอง ผมเริ่มฝึกฝนตัวเองใหม่ด้วยการเรียนรู้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นหลัก ผมเรียนอย่างหนัก อ่านหนังสือแทบทุกเล่ม แล้วผมก็กลับเข้ามาในตลาดหุ้นอีกครั้ง ตั้งแต่นั้นมาผมขาดทุนเพียงเดือนเดียวตลอดสองปีกว่าที่ผ่านมา ผมเริ่มต้นภาคที่สองของผมด้วยการเทรดครั้งละน้อยๆ และมีความสุขกับกำไรวันละ $500 แล้วผมก็พยายามให้มันเพิ่มเป็น $1,000 ต่อวันอย่างสม่ำเสมอ หลังจากนั้นจากวันละ $1,000 ก็จะเพิ่มเป็นวันละ $2,000 โดยอัตโนมัติ และบางวันที่ตลาดดีๆผมสามารถทำได้ถึง $10,000 "
ซิดิกแมนศึกษาและพัฒนาจนมีความก้าวหน้าไปมากในฐานนักเก็งกำไรโดยอาศัยทักษะและประสบการณ์มาช่วย เขาทำสองสิ่งมาประสานกันด้วยการปล่อยให้กำไรโตขึ้นเรื่อยๆและตัดขาดทุนอย่างรวดเร็ว
" การเก็งกำไรเหมือนกับการเล่นเกม สำหรับนักเก็งกำไรที่อยู่ระดับแนวหน้า พวกเขามีประสาทสัมผัสที่รวดเร็วกับตลาดที่นักเก็งกำไรมือใหม่ไม่มี พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไปตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปซึ่งผมต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ด้วยเงินที่ขาดทุนไป การเริ่มต้นเป็นนักเก็งกำไรของผมก็มีผลลัพธ์เหมือนคนอีกหลายๆคนที่ต้องหมดกำลังใจ แต่ผมขอแนะนำนักเก็งกำไรที่เพิ่งเข้ามาใหม่ว่าอย่าเพิ่งท้อแท้ใจ เมื่อขาดทุนก็คิดเสียว่ามันเป็นค่าเล่าเรียนไปแล้วกัน"
การยอมรับความผิดพลาดเป็นเรื่องยากสำหรับใครหลายๆคน แม้แต่พวกนักเก็งกำไรก็ไม่มีข้อยกเว้น ข้อแก้ตัวที่ใช้กันมากที่สุดก็คือ เมื่อพวกเขาพลาดก็มักคิดว่า "ฉันยอมถือหุ้นไว้แม้มันได้ขาดทุนไป 10% แล้วก็ตาม เดี๊ยวราคามันก็เด้งขึ้นมาเอง" แล้วพวกเขาก็เริ่มค้นหาข้อมูลพื้ฐานของกิจการ สร้างความหวังว่าราคาที่ซื้อนั้นเหมาะสมแล้ว นั่นคือสิ่งที่ผิด เพราะว่ามูลค่าที่แท้จริงของหุ้นไม่ได้มีความหมายอะไรเลยสำหรับนักเก็งกำไร รวมถึง ซิดิกแมน เขายอมขายหุ้นทิ้งไปทันทีเมื่อมันวิ่งสวนทางกับเขา โดยยอมขาดทุนเพียงเล็กน้อยเพราะเขาถือว่าเขามาที่นี่เพื่อเก็งกำไรเท่านั้น และเขาไม่มีเวลามากพอที่จะมานั่งถือหุ้นที่ไม่ทำประโยชน์ให้กับเขา จริงอยู่ที่ราคาอาจจะมีการปรับตัวขึ้นมา ซึ่งมันอาจใช้เวลาหลายวัน แต่ในขณะเดียวกันเขาเชื่อว่ามันยังมีหุ้นอีกมากมายในตลาดที่สามารถสร้างโอกาสทำกำไรให้กับเขาได้เช่นกัน
"คุณต้องเป็นคนที่ยืดหยุ่นในทุกๆวัน ผมต้องปรับตัวให้เข้ากับตลาด วิธีการแบบไหนที่สามารถทำกำไรให้ผมได้มากที่สุดในวันนี้ บางวันกำไรแค่ 1 ถึง 2 ช่วงราคา บางวันเจอแจ็คพอร์ตเข้าไปเต็มๆกำไรเป็นกอบเป็นกำ โชคชะจาของชีวิตนักเก้งกำไรก็เป็นแบบนี้แหละ บางวันขาดทุน $1,000 ก็ถือว่าเป็นวันที่ดีมากๆ นักเก็งกำไรที่ดีต้องสามารถแยกแยะให้ออกว่าวันไหนเป็นวันที่ดีหรือวันที่แย่ วันไหนมีโอกาสได้หรือเสียมากกว่ากัน ปัญหาใหญ่ของนักลงทุนหน้าใหม่คือพวกเขาสามารถทำเงินในวันที่ดีได้ $2,000 แต่ไปขาดทุน $4,000 ในวันที่ตลาดแย่ พวกมืออาชีพรู้ดีว่าวันไหนไม่ค่อยดีและไม่มีเหตุผลที่จะหวังกำไรเยอะๆในวันนั้น กำไรได้ 1 ถึง 2 ช่วงราคาก็ถือว่าทำได้ดีแล้ว"
หากจะถามว่าวันไหน? เป็นวันของนักเก็งกำไร ก็คงเป็นวันที่ตลาดมีการแกว่งตัวอย่างรุนแรงพร้อมด้วยปริมาณการซื้อขายที่มหาศาลนั่นเอง จงรอคอยการเคลื่อนไหวที่รุนแรง ถ้ามันไม่เกิดขึ้นก็จงอย่าเล่นเลยหรือไม่ก็เล่นแต่น้อย คูรต้องเล่นเกมรุกในวันที่มีเงินเต็มตลาด และถ้าไม่มีเงินในตลาดให้ทำก็อย่าพยายามบังคับตัวเองให้หาเงินในวันนั้น เพราะมันจะเป็นวันที่คุณอาจต้องเสียเงินแทน
นักเก็งกำไรส่วนใหญ่จะศึกษาเพื่อเรียนรู้นิสัยของหุ้นว่าเมื่อไรหุ้นตัวนี้จะวิ่ง ลักษณะการวิ่งเป้นอย่างไร และคุณต้องทำอย่างไรเมื่อราคาวิ่งไปทางใดทางหนึ่งอย่างรุนแรง อันนี้แน่นอนที่สุด หุ้นแต่ละตัวย่อมมีความแตกต่างกันไปและหุ้นทุกตัวย่อมมีวงจรของมัน หุ้นบางตัวเล่นได้เกือบทุกวัน บางตัวก็เล่นได้เดือนละครั้ง หรือไตรมาสละครั้ง เขาเคยทำเงินจากหุ้นตัวหนึ่งที่เคยซื้อขายกันอย่างหนาแน่นในช่วงหนึ่ง หลังจากนั้นมันก็แทบไม่เคลื่อนไหวอีกเลย ซึ่งแน่นอนเขาก็ไม่ยอมเสียเวลาไปกับมันอีกต่อไป แต่เมื่อไรที่มันเริ่มกลับมาเคลื่อนไหวเขาก็พร้อมจะกลับเข้าไปเล่นกับมันใหม่
"ที่ที่ผมต้องการจะไปคือที่ที่ผมคิดว่าได้เปรียบคนอื่นๆ บางครั้งเมื่อมีข่าวดีคุณก็ต้องช่วงชิงความได้เปรียบ แต่การเล่นตามข่าวก็มีศิลปะของมัน พวกมือใหม่ทั้งหลายจะถูกกดดันให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายเพราะว่าพวกเจามักเข้าไปซื้อในขณะที่ราคาหุ้นกำลังถูกไล่เข้าไปใกล้จุดสูงสุดของมันแล้ว และเมื่อราคาเริ่มปรับตัวลงมาพวกเขาก็ตกใจขายมันไปตรงจุดต่ำจุดของตลาด"
สำหรับเขา เมื่อมีข่าวดีเข้ามาในตลาด เขาจะพยายามซื้อในจังหวะที่ถูกต้อง แต่ถ้าซื้อไม่ทันเขาก็จะปล่อยมันไป บ่อยครั้งที่ราคามักติดลบเมื่อมีข่าวดี เนื่องจากรายใหญ่มักจะดาหน้ากันเข้ามาขายกันในวันนั้น ดังนั้นพวกมือใหม่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อมีข่าวดีและคำแนะนำต่างๆของโบรกเกอร์เพราะทั้งสองสิ่งนี้คือ "นักฆ่าผู้ยิ่งใหญ่" ในตลาดหุ้นสำหรับมือใหม่
แน่นอนที่สุดว่าทั้งหมดในการเล่นหุ้นก็คือการเล่นเกม มันเป็นเกมที่ดุเดือดเผ็ดมันบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ "ผมไม่รู้ว่าต้องทำอะไรมากไปกว่านี้ ผมเพียงแค่กด enter แล้วก็ทำเงิน มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์มากในสิ่งที่พวกผมทำอยู่ ปมไม่เคยดิตเลยว่าสิ่งที่พวกผมทำอยู่ทุกวันนี้มันจะเป็นไปได้ และคงไม่มีอาชีพอะไรในโลกนี้อีกแล้วที่ผมอยากทำ นอกจากการเผ็นนักเก็งกำไรรายวัน"
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=34206
วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
แค่หกส่วนก็พอ
ที่กรุงไทเปมีผู้รับเหมาก่อสร้างคนหนึ่ง เป็นคนหนุ่มที่ชาญฉลาดที่รู้กันทั้งวงการ มีหัวการค้าเป็นเลิศ ทำงานคล่องแคล่วว่องไว พร้อมลุยงานหนัก...
-
ผมไม่เคยรู้จักหลวงปู่สุภา พระเกจิชื่อดัง กระทั่งทราบข่าวท่านละสังขารทางหนังสือพิมพ์ พอได้อ่านคอลัมสกู๊ปหน้า 1 ไทยรัฐ วันที่ 5 กันยายน 2...
-
ฝั่งทะเลอันดามัน 1.หมู่เกาะสิมิลัน หมู่เกาะที่โดดเด่นด้วยน้ำทะเลสีฟ้าใสและหาดทรายขาวนวลละเอียดราวกับผงแป้ง หัวใจของสิมิลันคือ หินเรือใบที่โ...
-
" ....... Goal without Action , Just Dreaming ........ " "....... เป้าหมายที่ไม่ลงมือทำ มันก็แค่ความฝันตื่นหนึ่ง .....