วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2555

จากคุณ  applejob  s2m 
หาหุ้นด้วย"ตา" ซื้อหุ้นด้วย"วินัย" ทำกำไรด้วยการ"ปรับพอร์ท"
ชื่อ:  eyes1.jpg
ครั้ง: 2359
ขนาด:  74.9 กิโลไบต์


เมื่อก่อน สมัยที่ยังเป็นนักศึกษา ได้มีโอกาสฟังบรรยายจาก พี่เล็ก เมธา บุนนาค ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (สถาปัตยกรรม) หลายครั้ง พี่เล็กบอกว่ารักจะเป็นสถาปนิกต้องมี Eyes of Architect ซึ่ง applejob ยึดถือ และฏิบัติตามมาโดยตลอด

วันนี้ชีวิตผกผัน ต้องมาเป็นนักลงทุน ขออนุญาติยืมคำพูดของพี่เล็กมาใช้ ด้วยความเคารพค่ะ เผื่อว่าเพื่อนๆนักลงทุนลองนำไปใช้บ้าง
The Eyes of Investor

เป็นสิ่งที่ฝึกฝนได้ ถ้าคุณคลั่งไคล้(passion)การลงทุน มันจะอยู่ในจิตวิญญาณ อยู่ในชีวิตประจำวัน มันผ่านตา ผ่านมุมมองของคุณตลอดเวลา เพียงแค่


ข้อหนึ่ง ต้องช่างสังเกต
ความเป็นไปรอบๆตัว

Applejob เกิดและเติบโตย่านฝั่งธน-ท่าพระ แต่ต้องไปทำงานถึงหลังสวน เหนื่อยเหลือเกิน เก็บตังได้นิดหน่อย ก็เอาไปดาว์นคอนโดลุมพินี(LPN) อยู่ใกล้รถไฟฟ้า (BTS) ค่อยสบายขึ้นหน่อย ตื้นเช้ามา กินขนมปังฟาร์มเฮ้า (PB) กับน้ำผลไม้ MALEE ก่อนไปทำงาน ทำงานไปฟัง fm 96.5 ไป(MCOT) โดยเฉพาะรายการเกี่ยวกับการตลาด ยิ่งชอบฟัง ตอนเที่ยงทำงานไม่ทันเลยฝากเพื่อนซื้อข้าวกล่องจาก 7-11(cpall)มาให้หน่อย ตอนบ่ายแว๊ปไปแบงค์ (scb) เลยโดนชวนทำประกัน (scblif) แอบซื้อขนมหมูแผ่นอบกรอบ(sorkon) โดโซะ(Bjc)ไว้กินตอนทำงาน ตกเย็นเลิกงาน แวะBIGC ซื้อของใช้ วันนี้ขอกิน S&P(mint)ซะหน่อย เพราะเงินเดือนออก ตกดึกชอบดู SME ตีแตก (work) ดูข่าว สารคดี ของเนชั่น (NBC) เค้าทำดี ดูไปดูมาหลับคาทีวี เสาร์-อาทิตย์ว่าง บางทีก็ไปซื้อของตกแต่งบ้านที่ IKEA เมกกะบางนา(SF) หรือไม่ก็เดินเซ็นทรัล (CPN) กินข้าวไปก็คุยกับที่บ้านไปว่าธุรกิจต่างๆเป็นไง ขายดีเพราะอะไร กิจการแบบไหนน่าสนใจ แล้วก็มาเปิดดูตัวเลขซะหน่อย คำนวณ EPS ดูกระแสเงินสด หา upside รอไว้ เผื่อมีโอกาสได้ซื้อ

ข้อสอง ต้องทันสมัย

ไม่จำเป็นต้องใช้ macbook ถือกระเป๋า paul smith ใส่นาฬิกา Phillipe Patek แต่สนใจว่าเดี๋ยวนี้คนส่วนมากนิยมใช้อะไร เที่ยวที่ไหน กิน ใช้กันอย่างไร พฤติกรรมการบริโภคของพวกเขา เปลี่ยนไปอย่างไร แต่ถ้าได้ใช้ ได้ไป ได้กินด้วย ก็ยิ่งดี

ข้อสาม จง"ฟัง คิด อ่าน สื่อสาร"

จงเลือกฟังแต่สิ่งที่มีประโยชน์ ไม่ใส่ใจเรื่องนินทา ว่าร้าย เรื่องที่พูดต่อๆกันมา โดยไม่มีเหตุผล ฟังข่าว ฟังปราชญ์ ดีกว่า

จงคิดแบบนักธุรกิจ ยกเว้นกับพ่อ แม่ ญาติและเพื่อนสนิท หรือผู้ที่ด้อยกว่า อ่อนแอกว่า

จงอ่านสิ่งที่มีประโยชน์ อ่านให้กว้าง และรอบด้าน ให้การอ่าน ซึมเข้าไปในกระแสเลือด ถึงจุดหนึ่งสิ่งที่อ่านมาจะสร้างดอก-ผลให้โดยไม่รู้ตัว

จงสื่อสารสิ่งทีคิด อาจจะเป็นการพูด หรือเขียน ให้ลองวิเคราะห์ข่าว ธุรกิจ การเมือง ด้วยตัวเอง ไม่คล้อยตามคนอื่นง่ายๆ

ซื้อด้วยวินัย ทำกำไรด้วยการปรับพอร์ท

ไม่ว่าคุณจะอยู่สำนักเทคนิคอลหรือพื้นฐาน จงมีวินัย เคร่งครัดในหลักการของสำนักนั้นๆ เพราะแต่ละสำนัก มีวิธีคิดเบ็ดเสร็จในตัวอยู่แล้ว

สำนักพื้นฐาน(แบบ applejob)มีหลักการอยู่ว่า

ให้ซื้อหุ้นที่มี upside มาก เวลาที่หุ้นลงไม่จำเป็นต้องซื้อเสมอไป

ให้ขายหุ้นที่มี upside น้อย เวลาที่หุ้นขึ้นไม่จำเป็นจะต้องขายทุกครั้งไป

แต่ส่วนใหญ่เวลาที่ราคาใกล้เต็มมูลค่าแล้ว เรายังหวังว่ามันจะไปต่อได้อีก จึงไม่ขาย หรือ เวลามันลง แล้วเราก็คิดว่า upside แค่ 10% มันเยอะแล้ว จึงรีบซื้อ หรือราคาหุ้นขึ้น แต่ไม่ได้ดูว่ายังมี upside อีกมาก จึงรีบขาย ทำให้เสียโอกาส

Applejob มองเทคนิคคอลกับพื้นฐานเหมือนไก่กับไข่

ราคาหุ้นขึ้น เพราะคนส่วนมากมองเห็นความสามรถในการเติบโตของบริษัท และราคายังไม่สะท้อนพื้นฐานกิจการ (แสดงว่า upside มาก) หรือมีข่าวดี กราฟก็มีสัญญาณซื้อ

ราคาหุ้นลง
เพราะสะท้อนพื้นฐานกิจการในเวลานั้นๆไปแล้ว นักลงทุนส่วนใหญ่จึงขาย (แสดงว่า upside เหลือน้อย) หรือมีข่าวร้าย กราฟก็มีสัญญาณขาย รอจนกว่าจะมีข่าวใหม่ๆ หรือประกาศผลประกอบการออกมา ค่อยมาว่ากันใหม่

ส่วนนักลงทุนระยะยาว กับนักเก็งกำไร เหมือนอยู่กันคนละเมทริกซ์ (matrix) นักลงทุนระยะยาวจะมองข้ามความผันผวนของราคาช่วงสั้น ตาของพวกเขา จะมองเห็นเพียงกิจการที่เจริญก้าวหน้า และราคาค่อยๆวิ่งขึ้นไป พร้อมๆกับการเติบโตของกิจการ

หลักการปรับพอร์ท เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะกลาง
เราซื้อขายล้อไปกับเทคนิคอล upside ที่มากเป็นสัญญาณซื้อ upside น้อยเป็นสัญญาณขาย

แต่ต่างจากเทคนิคอลตรงที่ ถ้าข่าวร้ายนั้นไม่ได้กระทบกิจการจริง นักลงทุนพื้นฐานจะมองเป็นสัญญาณซื้อมากว่าสัญญาณขาย(buy on bad news) หรือข่าวดีที่ไม่น่าจะมีผลอย่างยั่งยืนระยะยาว ราคาปรับตัวขึ้นในช่วงสั้น เราก็จะไม่สนใจ และไม่ไล่ซื้อเพราะข่าวนั้น

ส่วนใหญ่ applejob จะซื้อเมื่อมี upside 40% ขึ้นไป และขายเมื่อ upside น้อยกว่า 10%
         ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=33015

วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555


ชอบมากเลย รูป yinyang  ได้มาจากคุณ  yai-cho ที่ S2M
เว็บนี้มีแต่ผู้ให้จริง ๆ

วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ออกกำลังกายอย่างไรให้อายุยืน?
สำหรับหนุ่มๆ ที่อยากแข็งแรงสุขภาพดี และอายุยืนยาว วันนี้เรามีวิธีออกกำลังกายที่จะช่วยให้คุณๆ อายุยืนขึ้นกว่าเดิมมาแนะนำ หนุ่ม Taste คนไหนอยากมีสุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาวก็ลองนำไปปฏิบัติดูได้ ที่สำคัญอย่าลืมทานอาหารที่มีประโยชน์ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายด้วยเน้อ...

ชื่อ:  1.jpg
ครั้ง: 3785
ขนาด:  41.6 กิโลไบต์



1. ขึ้นบันได
ในปี 2008 จากผลงานการศึกษาของประเทศสวิตเซอร์แลนด์เปิดเผยว่า คนมีชีวิตเฉื่อยชาที่เปลี่ยนจากการขึ้นลิฟต์มาเป็นการขึ้นบันได จะลดโอกาสเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้ถึงร้อยละ 15
นอกจากนี้ ยังเคยมีข้อมูลจาก Harvard Alumni Health Study ออกมาสนับสนุนว่า การขึ้นบันไดมากกว่าเดิม 35 ขั้นต่อสัปดาห์ จะช่วยเพิ่มอายุขัยได้ เมื่อเทียบกับคนที่ขึ้นบันไดเพียง 10 ขั้น (เมื่อแบ่งก็จะเป็นวันละ 5 ขั้นต่อสัปดาห์ ซึ่งไม่จำเป็นต้องขึ้นติดๆ กันก็ได้)


ชื่อ:  2.jpg
ครั้ง: 3843
ขนาด:  36.3 กิโลไบต์

2. ปั่น...ให้เร็วขึ้น
การปั่นจักรยานไปจ่ายตลาดเป็นอีกวิธีที่คุณจะได้ออกกำลังกายกลางแจ้ง แถมยังประหยัดเงินค่ารถ แต่การปั่นจักรยานตามสบาย แม้คุณจะเหงื่อออก แต่ก็ไม่ช่วยเรื่องอายุขัยเท่ากับการที่คุณตั้งหน้าตั้งตาปั่นเร็วๆ
เคยมีการศึกษาจากโคเปนเฮเกนพบว่า กลุ่มผู้ชายที่ปั่นจักรยานเร็วที่สุดนั้น จะมีอายุขัยยืนยาวกว่าผู้ชายที่ปั่นจักรยานช้าถึง 5 ปี ส่วนในกลุ่มผู้หญิงนั้นมีความแตกต่างกันถึง 4 ปี

ชื่อ:  3.jpg
ครั้ง: 3775
ขนาด:  55.7 กิโลไบต์

3. ไปว่ายน้ำกันเถอะ
ในปี 2009 การศึกษาจาก Aerobic Center Longitudinal Study พบว่า คนที่ว่ายน้ำเป็นประจำ จะมีโอกาสเสียชีวิตน้อยกว่าผู้ชายอายุเท่ากันที่ไม่ออกกำลังกายถึงร้อยละ 50
นอกจากนี้ นักว่ายน้ำยังมีอายุขัยสูงกว่าผู้ชายที่เดินหรือวิ่งเพื่อออกกำลังกายด้วย สำหรับผู้ที่มีสระว่ายน้ำในบริเวณบ้านก็ควรว่ายน้ำเป็นประจำเพื่อร่างกายที่แข็งแรงและอายุขัยที่เพิ่มขึ้น

ชื่อ:  4.jpg
ครั้ง: 3782
ขนาด:  63.3 กิโลไบต์

4. เดิน ฉับ ฉับ ฉับ!
จังหวะเดินเร็วไม่ได้เป็นตัวชี้ว่าคุณจะมีอายุยืนยาวรึเปล่า จังหวะการเดินของคุณนั้นถูกเลือกโดยร่างกายของคุณมาแล้วว่า เดินแบบนี้แหละเหมาะกับคุณที่สุด
เพียงแต่คุณอาจจะอยากเดินเร็วขึ้นอีกสักนิด เพราะเคยมีการศึกษาชี้ว่า คนที่เดินเร็วนั้นมีชีวิตที่ยืนยาวกว่าคนที่เดินช้า การเดินเพียง 30 นาที ใน 5 วันต่อสัปดาห์ จะช่วยให้อายุขัยยืนยาวขึ้นตั้งแต่ 1.3-1.5 ปีเลยทีเดียว

ชื่อ:  5.jpg
ครั้ง: 3773
ขนาด:  47.1 กิโลไบต์

5. ออกกำลังกาย 15 นาทีต่อวัน
บางคนเชื่อว่า การออกกำลังกายนั้นต้องใช้เวลาถึง 30 นาที จึงจะได้ประโยชน์ แต่หลายคนประสบปัญหาว่าไม่มีเวลามากถึง 30 นาที
ความจริงคือ การออกกำลังกายเพียง 15 นาทีต่อวัน ก็จะช่วยยืดอายุขัยของคุณได้มากถึง 3 ปีเลยทีเดียว ขอให้คุณแบ่งเวลาสักนิด เพื่อสุขภาพและยืดอายุขัยของตัวคุณเอง

ชื่อ:  6.jpg
ครั้ง: 3774
ขนาด:  42.4 กิโลไบต์


ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=32721

วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555

10 อันดับ ประเทศที่อันตรายที่สุดในโลก ปี 2012
นักท่องเที่ยวที่กำลังแสวงหาปลายทางในฝัน ในปี 2012 อาจต้องตระหนักในการไปเยือนแต่ละสถานที่ทั่วโลก เนื่องจากปัจจุบันมีสถานการณ์รุนแรงรอบด้าน บางครั้งอาจเป็นจุดหมายที่เราวาดไว้ อย่างไรก็ตามอาจต้องใช้วิจารณญาณในการไตร่ตรอง เพราะข้อมูลอาชญากรรมทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลงเกินจะคาดเดา ศึกษาไว้จะได้รู้เท่าทัน กับ 10 อันดับ ประเทศที่อันตรายที่สุดในโลก ปี 2012

ประเทศที่อันตรายที่สุดในโลก อันดับ 10. Caracas, Venezuela

ชื่อ:  10.jpg
ครั้ง: 2571
ขนาด:  35.0 กิโลไบต์

Caracas ประเทศเวเนซูเอลา เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยอาชญากรรมและยาเสพย์ติด ยิ่งการโจรกรรมแล้วถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นกลางวันแสกๆ และพี่ตำรวจก็ไร้ซึ่งความหมาย จับโจรได้แทบนับครั้ง จนประชาชนต้องออกมาร้องเรียน และกล่าวหารัฐบาลว่าเฉื่อยชาในหน้าที่ ทั้งๆ ที่ หลายเมืองใน เวเนซูเอลา ต้องการกองปราบปรามอยู่มาก เนื่องจากปัจจุบันได้กลายเป็นฐานที่หลบหนีการจับกุมเรื่องยาเสพย์ติดไปซะแล้ว

ประเทศที่อันตรายที่สุดในโลก อันดับ 9. Mogadishu, Somalia

ชื่อ:  9.jpg
ครั้ง: 2487
ขนาด:  33.9 กิโลไบต์

บริเวณศาลากลางของ โซมาเลีย ยังคงอยู่ในความวุ่นวายและมีแนวโน้มที่ไม่สดใสนักในปี 2012 สงครามกลางเมืองได้สร้างความแตกแยกในประเทศยืดเยื้อมาเป็นเวลา 2 ทศวรรษ ความรุนแรงทางการเมืองก็พร้อมที่จะปะทุขึ้นอย่างง่ายดาย ครั้นจะหาข้อมูลทางสถิติที่แน่นอนของประเทศนี้นั้นแทบเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากกองกำลังติดอาวุธพร้อมจะก่อการร้ายได้ทุกวัน เป็นที่ทราบกันดีว่า Mogadishu เป็นเมืองอันตราย ไร้ซึ่งกฎหมาย แต่มากมายด้วยอาชญากร จนประชาชนทยอยอพยพหนี เหลือพียงซากปรักหักพังของตึกที่โดนระเบิด และยังคงเกิดจลาจลจนทุกวันนี้

ประเทศที่อันตรายที่สุดในโลก อันดับ 8. Rio de Janeiro, Brazil

ชื่อ:  8.jpg
ครั้ง: 2483
ขนาด:  14.3 กิโลไบต์

Rio de Janeiro แห่งบราซิล เป็นเมืองซึ่งมีชายหาดอันแสนงดงาม ชวนหลงใหล แต่ะขณะเดียวกัน เราก็ไม่อาจชะล่าใจเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ที่มีแหล่งชุมชนแออัดซึ่งประชากร 20% อาศัยอยู่ท่ามกลางความขัดสนทางเศรษฐกิจ การต่อสู้ดิ้นรนนี้จึงนำไปสู่จำนวนอาชญากรและผู้ค้ายาเสพย์ติดที่เพิ่มขึ้น สวนทางกับกองกำลังปราบปรามท้องถิ่น นักท่องเที่ยวจึงไม่ควรเดินทางไปตามเขตภูเขาและพื้นที่สลัม โดยเฉพาะในช่วงกลางคืน แม้จะมีตำรวจคอยช่วย แต่ก็อาจต้องใช้ส่วยเป็นสินบนสำหรับที่นี่

ประเทศที่อันตรายที่สุดในโลก อันดับ 7. Grozny, Chechnya, Russia

ชื่อ:  7.jpg
ครั้ง: 2479
ขนาด:  21.9 กิโลไบต์

กลางยุค 90 ความขัดแย้งระหว่าง เชชเนีย และ รัสเซีย นำไปสู่การทำลายล้าง Grozny เมืองหลวงของเชชเนีย ถูกซัดด้วยนานาขีปนาวุธ ระเบิดแยกบ้านเมืองออกเป็นเสี่ยงๆ ผู้คนล้มตายเกลื่อนกลาดไม่ต่างจากโรงฆ่าสัตว์ การรบราฆ่าฟันดูเหมือนจะจบลงในปี ค.ศ. 2006 แต่ปัจจุบัน Grozny ยังคงเป็นสถานที่สุดอันตราย เต็มไปด้วยอาชญากร โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกมีอัตราเสี่ยงในการถูกลักพาตัวสูง

ประเทศที่อันตรายที่สุดในโลก อันดับ 6. Ciudad Juarez, Mexico

ชื่อ:  6.jpg
ครั้ง: 2477
ขนาด:  23.9 กิโลไบต์

แก๊งค้ายาเสพย์ติดในเม็กซิโกเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการถดถอยทางเศรษฐกิจ และ Ciudad Juarez คือเมืองหนึ่งที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด กลุ่มนักค้ายาผู้ทรงอิทธิพลทำธุรกิจกันอย่างฉ่าวโฉ่ ไม่เกรงกลัวกฎหมาย เมืองนี้เป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีความรุนแรงมากที่สุดในโลกเมื่อเทียบจากพื้นที่สงครามอื่นๆ ทางการตำรวจมีการฉ้อฉลและถูกแทรกแซง จน Ciudad Juarez ถูกขนานนามว่าเป็น สวรรค์ของฆาตกร


ประเทศที่อันตรายที่สุดในโลก อันดับ 5. Bogota, Colombia

ชื่อ:  5.jpg
ครั้ง: 2475
ขนาด:  32.0 กิโลไบต์

ปัญหาหลักของ Bogota คือการค้ายาเสพย์ติดและกลุ่มกบฏทางการเมืองที่ต่อต้านรัฐบาลโคลอมเบีย แต่บางภาคส่วนได้มีการเข้าปราบปรามตั้งแต่ยุค 90 ทางตอนเหนือของ Bogota เป็นพื้นที่สงบและปลอดภัย ขณะที่ทางตอนใต้ ไม่ควรย่างกรายไปเหยียบ Bogota จึงยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่หลายคนอยากไปสัมผัส แต่ต้องระมัดระวังให้ห่างไกลพื้นที่เสี่ยงภัย

ประเทศที่อันตรายที่สุดในโลก อันดับ 4. Baghdad, Iraq

ชื่อ:  4.jpg
ครั้ง: 2477
ขนาด:  27.0 กิโลไบต์

Baghdad ยังคงทุกข์ทรมานจากสถานการณ์อันระส่ำระสายทางการเมือง โครงสร้างบ้านเมืองถูกทำลายล้างด้วยระเบิด ท้องถนนเต็มไปด้วยความรุนแรงอันไม่อาจคาดเดา การรุกรานจากสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 เป็นตัวบ่งชี้ความรุนแรงและกลายเป็นปรปักษ์กันตั้งแต่นั้นมา บวกกับการขาดแคลนหน่วยงานรัฐและโครงสร้างพื้นฐานที่ดีจึงทำสถานการณ์ใน อิรัก นั้นแย่ลงอย่างต่อเนื่อง



ประเทศที่อันตรายที่สุดในโลก อันดับ 3. Guatemala City, Guatemala

ชื่อ:  3.jpg
ครั้ง: 2471
ขนาด:  25.4 กิโลไบต์

กัวเตมาลา พรุนไปทั่วทั้งเมืองด้วยการก่อการร้าย จากรัฐบาลฉ้อโกงและกองกำลังตำรวจไม่ติดอาวุธ ร่วมมือกันก่ออาชญากรรม บ้านเมืองตกอยู่ในสภาวะย่ำแย่ เนื่องจากสงครามช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนที่นำไปสู่ความขัดแย้ง ปล้น ฆ่า กันเป็นว่าเล่น ทั้งๆ ที่ กัวเตมาลา เป็นประเทศที่มีความสวยงามมาก แต่กลับถูกแทรกแซงด้วยการฉ้อฉล ปองร้าย จนกลายเป็นสถานที่ซึ่งไม่ปลอดภัย


ประเทศที่อันตรายที่สุดในโลก อันดับ 2. San Pedro Sula, Honduras

ชื่อ:  2.jpg
ครั้ง: 2473
ขนาด:  31.5 กิโลไบต์

San Pedro Sula ประเทศฮอนดูรัส เป็นหนึ่งเมืองที่มีอัตราการฆาตกรรมสูงที่สุดในโลก และถือเป็นเมืองที่อันตรายเสียยิ่งกว่าเขตเสี่ยงในอิรักและอัฟกานิสถาน การโจรกรรมรุนแรง ประชากรส่วนใหญ่ต้องพกอาวุธไว้ป้องกันตัว บ่อยครั้งที่ข้อพิพาทเล็กๆ กลายเป็นเรื่องใหญ่ แม้แต่การเดินถนนยังต้องห่วงหน้าพะวงหลัง นักท่องเที่ยวต้องตระหนักให้ดีหากจะมาเยือน San Pedro Sula เพราะชาวต่างชาตินี่แหละ คือเป้าหมายหลักของอาชญากร


ประเทศที่อันตรายที่สุดในโลก อันดับ 1. Cape Town, South Africa

ชื่อ:  1.jpg
ครั้ง: 2465
ขนาด:  32.7 กิโลไบต์

Cape Town เป็นหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวในฝัน ขณะเดียวกันก็เป็นสถานที่แห่งฝันร้าย เพราะมากมายไปด้วยอาชญากร หากเดินเล่นผิดที่ผิดเวลาอาจสิ้นชีวาแบบไม่คาดคิด ความไม่เสมอภาคทางสังคมเป็นมูลเหตุหลักที่ก่อให้เกิดอาชญากรรมและการปล้นฆ่า แนะนำให้นักท่องเที่ยวศึกษาข้อมูลหาพื้นที่ปลอดภัยของ Cape Town ก่อนเดินทาง และไม่จำเป็นไม่ควรเตร็ดเตร่บนถนนหากผู้คนบางตา ที่สำคัญต้องหันซ้ายหันขวาเวลากด ATM เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
ชอบจัง มีประเทศที่เราคิดจะไปอยู่พอดี ตั้ง  4  แน่ะ
Cape Town, South Africa
Baghdad, Iraq
Rio de Janeiro, Brazil
Caracas, Venezuela

ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=32774

วันพุธที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ความสุข-และความทุกข์-ของการเล่นหุ้น
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร


"เงิน 1 ดอลลาร์ ที่เก็บได้บนถนนนั้น ให้ความพึงพอใจแก่คุณมากกว่าเงิน 99 ดอลลาร์ ที่คุณได้จากการทำงาน และเงินที่คุณเล่นได้จากวงไพ่หรือในตลาดหุ้น ก็สอดแทรกเข้าไปในหัวใจคุณในแบบเดียวกัน" นั่นคือ คำกล่าวของ มาร์ก ทเวน นักเขียนชื่อดังชาวอเมริกัน

ความสุขและความพึงพอใจจากเงินที่ได้จากการพนัน ซึ่งในสายตาของ มาร์ก ทเวน หรือคนทั่วไป รวมถึงการเล่นหุ้นนั้น ช่างมากมายเสียเหลือเกิน และนี่น่าจะเป็นเหตุผลที่คนจำนวนไม่น้อย ที่มีเงินพอสมควร และคนที่มีเงินมาก ต่างก็เข้ามาเล่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เป็นนิจศีลแต่ความพึงพอใจที่ "ได้เงิน" เท่านั้น หรือที่ทำให้คน "ติด" อยู่กับการเล่นหุ้น ทำไมคนจำนวนมากที่วนเวียนเล่นหุ้นมายาวนาน แต่โดยรวมแล้วก็ไม่ได้กำไร บางคนขาดทุนด้วยซ้ำ แต่พวกเขาเหล่านั้น ก็ไม่เลิกเล่น อะไรเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้คนอยากเล่นหุ้นจริงๆ นอกเหนือจากเรื่องเงินที่จะได้ คำตอบ ก็คือ "ความสุขและความพึงพอใจจากการเล่นหุ้น"

การศึกษาทางวิทยาศาสตร์เรื่องของ ความสุขและความพึงพอใจ ของคนเรา น่าจะอธิบายพฤติกรรมของคนที่ชอบ "เล่นหุ้น" ซึ่งในความหมายของผม คือ คนที่ชอบ "เก็งกำไร" นั่นคือ ซื้อๆ ขายๆ หุ้นในระยะเวลาอันสั้นได้ ลองมาดูกันว่าเป็นอย่างไร

การศึกษาเรื่องของความสุข หรือความเพลิดเพลิน หรือความพึงพอใจของคนเรา พบว่ามันเกิดขึ้นใน "สมอง" นั่นก็คือ เวลาที่เรามีความสุข ร่างกายของเราก็จะหลั่งสารบางอย่างไปจับกับตัวจับที่ต่อเข้ากับสมอง เราจะรู้สึก "ชอบ" และ "อยากทำ" อีก เพราะมัน "มีความสุข" การดื่มน้ำ การกินอาหาร การมีเซ็กซ์ หรือการออกกำลังกาย เหล่านี้ ร่างกายก็จะ "ส่งสัญญาณ" ผ่านเคมีบางอย่างไปที่ตัวจับเพื่อบอกสมองว่า นี่คือ "ความสุข" และคุณจะอยากทำอีก นี่เป็นเรื่องจำเป็นทางชีววิทยา เพื่อความอยู่รอดของชีวิต และสายพันธุ์ของมนุษย์

ยาเสพติดเช่น กัญชา ฝิ่น เฮโรอีน บุหรี่ เหล่านี้ มีสารที่ก่อให้เกิด "ความสุข" สูงมาก และเมื่อคนเสพเข้าไปแล้ว ก็จะรู้สึกดีมาก บางครั้งคล้ายจะ "หลุดโลก" นักวิจัยคนหนึ่งเคยทดลองเสพเฮโรอีน เพื่อดูความรู้สึกว่าเกิดอะไรขึ้น เขาถึงกับบอกว่าเหมือนกับการ "ถึงจุดสุดยอดจากการมีเพศสัมพันธ์พันครั้ง" ซึ่งทำให้คนอยากเสพอีก ปัญหา ก็คือ เมื่อเสพไปเรื่อยๆ ความรู้สึกสุดยอดก็จะน้อยลงไปเรื่อยๆ เพราะตัวจับเคมีอาจจะ "ด้าน" ต้องใช้ยาเพิ่มขึ้นๆ จนถึงจุดหนึ่ง "ความสุข" จากการเสพ ก็แทบจะหมดไป ความ "ชอบ" ก็ไม่มีเหลือ เหลือแต่ "ความต้องการ" คือ ถ้าไม่ได้เสพก็จะ "ลงแดง" ถึงจุดนี้ ความ "หายนะ" ก็จะเกิดขึ้นทั้งทางร่างกายและจิตใจ บางคนต้องก่ออาชญากรรมเพื่อให้ได้เงินมาซื้อยา

กิจกรรมบางอย่างของคนเรา ก็ก่อให้เกิดความสุข หรือความพึงพอใจได้ไม่น้อยและบางครั้งและ/หรือบางคนก็ "ติด" ได้เช่นเดียวกัน เช่น การดื่มสุรา การดื่มกาแฟ การเล่นการพนัน เช่น ในบ่อนกาสิโน การเล่นพนันบอล การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ หรือแม้การออกกำลัง หรือการมีเซ็กซ์ ทั้งหมดนี้ พิสูจน์ได้จากการตรวจสอบสารเคมีในสมองของคนที่กำลังทำ ประเด็นสำคัญคือ คนที่ "ติด" ก็คือคนที่ร่างกายมีสารเคมี หรือตัวรับที่ผิดปกติจากคนธรรมดา ที่ทำให้พวกเขาต้องทำมากกว่าคนอื่น เพื่อที่จะมีความสุข หรือความพึงพอใจเท่ากัน ในกรณีต่างๆ เหล่านี้ ยกเว้นสุราแล้ว คนจำนวนไม่น้อยก็สามารถ "เลิก" ได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องใช้ยา หรือปรึกษาแพทย์ พูดถึงเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึง ไทเกอร์ วู้ดส์ นักกอล์ฟชื่อก้องโลกที่เคยบอกว่าเขาเป็นโรค "ติดเซ็กซ์" และต้องได้รับการบำบัด ทำให้ผมนึกต่อไปว่า คนที่ "ติด" ในเรื่องเหล่านี้ นอกจากเป็นเรื่องของร่างกายแล้ว ต้องอาศัย "สภาวะแวดล้อม" ที่ว่า คุณสามารถเข้าถึงมันได้ง่าย หรืออยู่ใกล้ตัวคุณมาก คุณมีกำลังซื้อพอ และไม่ผิดกฎหมาย ต่างๆ เหล่านี้เป็นต้น

การศึกษาที่น่าสนใจมากอีกเรื่องหนึ่ง คือ "ผลตอบแทน" นั่นคือ การทำอะไรก็ตาม โดย "ธรรมชาติ" มนุษย์น่าจะทำเพื่อให้ได้ผลตอบแทนต่อร่างกายและสืบเผ่าพันธุ์ แต่การทดลองพบว่า ความสุข หรือความพึงพอใจนั้นเกิดขึ้นได้ แม้จะไม่มีผลตอบแทนอะไรมา "ล่อ" พูดง่ายๆ สมองมีการเปลี่ยนแปลงแบบเดียวกันเวลาที่เราทำบางสิ่งบางอย่างทั้งๆ ที่ไม่ได้มีผลตอบแทนอะไรเลยเช่น การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ การทดลองยังพบว่า คนเรานั้น ชอบ "ลุ้น" นั่นก็คือ เราชอบเล่นกับความไม่แน่นอน โดยเฉพาะถ้าเรามีส่วนจะก่อให้เกิดผลตามที่เราต้องการ ตัวอย่างง่ายๆ คือ ความสุข หรือความพึงพอใจที่จะเล่นหวย หรือลอตเตอรี่ จะเพิ่มขึ้นถ้าเรามีสิทธิเลือกเบอร์ที่จะแทง และเรื่องผลลัพธ์ก็มีส่วนต่อความสุข หรือความพึงพอใจที่เกิดขึ้น

ถ้าผลลัพธ์ออกมาถูกต้อง แน่นอน เราจะมีความสุขมากและอยากเล่นอีก ถ้าผลลัพธ์ "ห่างไกล" ความพึงพอใจก็น้อย แต่ถ้าผลลัพธ์ใกล้เคียงกับตัวที่เราเลือก ซึ่งเราเสียเงินเท่ากัน แต่ผลทางสมองจะแตกต่างกัน เคมีที่เกิดขึ้นนั้น ผมคิดว่าคงไม่ใช่ตัวเดียวกับเคมีความสุขแต่ก็ใกล้กันมาก และทำให้เรา "อยากแทงอีก" พูดภาษาชาวบ้านผมคิดว่า น่าจะเป็นเรื่องความรู้สึก "เจ็บใจ" และเราอยาก "เอาคืน"

และนั่นทำให้ผมนึกถึงเรื่องการเล่นหุ้น ซึ่งผมคิดว่า เข้าข่ายก่อให้เกิดความสุข หรือความพึงพอใจให้แก่คนเล่นไม่น้อย ข้อแรก คือ เป็นเกมที่มีความไม่แน่นอนสูง ข้อสอง มีผลตอบแทนที่เป็นเงิน "เดิมพัน" ข้อสาม คนเล่นสามารถเลือกหุ้น หรือมีส่วนกำหนดผลลัพธ์ที่จะออกมาได้ในระดับหนึ่ง ที่ค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับเกมอื่นๆ ข้อสี่ ผลลัพธ์ที่ออกมา คือ กำไร หรือขาดทุนในหุ้นแต่ละตัว หรือแต่ละครั้ง หรือแต่ละช่วงเวลานั้น จะเป็นเรื่องการผิดพลาดที่ "ใกล้เคียง" กับที่ "แทง" ไว้ ความหมาย คือ ในยามปกติ นักเล่นหุ้นจะมีได้มีเสียในบางตัว ผลตอบแทนมักจะกลับไปมาตามภาวะของตลาดหุ้น เวลาของการ "ลุ้น" มีอยู่ตลอดเวลา ไม่ใคร่ที่จะมีช่วงเวลาที่เล่นหุ้นแล้วเสียทุกตัว และพอร์ตมีแต่ลดลงต่อเนื่องยาวนาน ยกเว้นในช่วงวิกฤติครั้งใหญ่ ดังนั้น คนเล่นหุ้น แม้จะขาดทุน ก็ยังอยากกลับมาเล่นใหม่อีกเสมอๆ เพราะเขาคง "เจ็บใจ" และอยาก "เอาคืน"

ความสุขที่เกิดจากการ "เล่นหุ้น" ดังที่กล่าวนั้น น่าเสียดายที่ในระยะยาวแล้ว คนเล่นมักจะขาดทุน เพราะคนส่วนใหญ่ ไม่มีความรู้ หรือความสามารถ ที่จะควบคุมผลลัพธ์ที่จะออกมาได้จริง เขาเพียงคิดว่าเขารู้เขาคุมได้ ดังนั้น ในระยะยาว เขาจะต้องเสียค่าคอมมิชชั่น ในการซื้อขายและขาดทุนในส่วนต่างของราคาซื้อและราคาขาย นั่นคือ เวลาซื้อเขาจะต้องซื้อแพงขึ้นเล็กน้อย และเวลาขาย เขาจะขายได้ถูกลงเล็กน้อย แต่ผลจากการซื้อๆ ขายๆ จำนวนมาก เขาจะขาดทุน และนี่คือ ความทุกข์ของการ "เล่นหุ้น" หนทางหลีกเลี่ยง "กับดัก" นี้ คือ เราต้องเปลี่ยนการเล่นหุ้นเป็น "การลงทุน" ซึ่งจะต้องใช้แนวความคิดอีกชุดหนึ่งของความสุข และความพึงพอใจของคนเรา

ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=32406

วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2555


การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน (Ratio Analysis)



เป็นการนำรายการต่างๆ ในงบการเงินมาเทียบอัตราส่วนเพื่อหาความสัมพันธ์ว่า มีความเหมาะสมเพียงใด การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินแบ่งตามวัตถุประสงค์ในการใช้งาน 4 ประการ

1. การวิเคราะห์สภาพคล่องทางการเงิน (Liquidity Ratio)
2. การวิเคราะห์ความสามารถในการหากำไร (Profitability Ratio)
3. การวิเคราะห์ความสามารถ (ประสิทธิภาพ) ในการดำเนินงาน (Efficiency Ratio)
4. การวิเคราะห์โครงสร้างของเงินทุนหรือภาระหนี้สิน (Leverage Ratio or Financial Policy Ratio


ชื่อ:  money2.jpg
ครั้ง: 979
ขนาด:  15.5 กิโลไบต์

1.การวิเคราะห์สภาพคล่องทางการเงิน (Liquidity Ratio)

1.1 อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนหรืออัตราส่วนสภาพคล่อง (Current Ratio)
อัตราส่วนทุนหมุนเวียน (Current Ratio) = สินทรัพย์หมุนเวียน (CA) /หนี้สินหมุนเวียน (CL)
วัดความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น ถ้าค่าที่คำนวณได้สูงเท่าใด แสดงว่า บริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนที่ประกอบไปด้วย เงินสด ลูกหนี้ และสินค้าคงเหลือมากกว่าหนี้ระยะสั้น ทำให้คล่องตัวในการชำระหนี้ระยะสั้นมีค่อนข้างมาก โดยปกติ อัตราส่วน 2 : 1 ถือว่าเหมาะสมแล้ว

1.2 อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio or Acid Test Ratio)
อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio) = (สินทรัพย์หมุนเวียน – สินค้าคงเหลือ) /หนี้สินหมุนเวียน
หรือ( Quick Ratio = CA – Inventory )/CL
เป็นการวัดส่วนของสินทรัพย์ที่ได้หักค่าสินค้าคงเหลือ ที่เป็นสินทรัพย์ระยะสั้นและมีความคล่องตัวในการเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ต่ำสุดออก เพื่อให้ทราบถึงสภาพคล่องที่แท้จริงของกิจการได้ โดยปกติอัตราส่วน 1 : 1 ถือว่าเหมาะสมแล้ว



1.3 อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้ (Account Receivable Turnover)
อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ (Account Receivable Turnover)
A/R Turnover = ขายเชื่อสุทธิ หรือใช้ยอดขายรวม (ครั้ง หรือ รอบ) /ลูกหนี้ถัว เฉลี่ย
ลูกหนี้ถัว เฉลี่ย = (ลูกหนี้ต้นงวด + ลูกหนี้ปลายงวด )/ 2
หากค่าที่คำนวณได้ มีค่าสูง แสดงถึงความสามารถในการบริหารลูกหนี้ให้แปลงสภาพเป็นเงินสดได้เร็ว

1.4 ระยะเวลาถัวเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้ (Average Collection Period)
ระยะเวลาถัวเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้ (Avg. Collection Period) (วัน) = 365 วัน /อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้
ยิ่งต่ำยิ่งดี
แสดงให้เห็นถึงระยะเวลาในการเรียกเก็บหนี้ว่าสั้นหรือยาว เพื่อให้ทราบถึงคุณภาพของลูกหนี้
ประสิทธิภาพในการเรียกเก็บหนี้ และนโยบายในการให้สินเชื่อทางธุรกิจ

1.5 อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover)
อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover) = ต้นทุนสินค้าขาย (COGS) /สินค้าคงเหลือเฉลี่ย (Avg. Inventory)
สินค้าคงเหลือเฉลี่ย =( สินค้าต้นงวด + สินค้าปลายงวด )/ 2
หากค่าคำนวณได้สูง ย่อมแสดงถึงความสามารถในการบริหารการขายสินค้าได้เร็ว

1.6 ระยะเวลาในการจำหน่าย (ขาย) สินค้า
ระยะเวลาในการจำหน่าย (ขาย) สินค้า(วัน) = 365 (วัน) /อัตราหมุนเวียนของสินค้า (Inventory Turnover)
ยิ่งขายได้เร็ว (ระยะเวลาสั้น) ยิ่งดี


2.ความสามารถในการหากำไร (Profitability Ratio)

1.1 อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin)
1.2 อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit Margin)
1.3 อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)
1.4 อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (Return On Equity or ROE)

อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin)(%) = ขายสุทธิ – ต้นทุนขาย หรือ SALES – COGS / ขายสุทธิ SALES
= กำไรขั้นต้น หรือ Gross Profit /ขายสุทธิ SALES
ยิ่งสูงยิ่งดี

อัตรากำไรจากผลการดำเนินงาน(Operating Profit Margin)(%) = กำไรจากการดำเนินงาน(Operating Profit Margin) /ขายสุทธิ (SALES)

ยิ่งสูงยิ่งดี

อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)(%) = กำไรสุทธิ (Net Profit) /ขายสุทธิ (SALES)
ยิ่งสูงยิ่งดี แสดงให้เห็นประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทในการทำกำไร หลังจากหักต้นทุนค่าใช้จ่ายรวมทั้งภาษีเงินได้หมดแล้ว

ผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE %) = กำไรสุทธิ (Net Profit) /ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity)
ยิ่งสูงยิ่งดี แสดงให้เห็นว่าเงินลงทุนในส่วนของเจ้าของ จะได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาจากการดำเนินการของกิจการนั้นในอัตราส่วนเท่าไร หากมีค่าสูง แสดงถึงประสิทธิภาพในการหากำไรสูงด้วย

Dupont Equation
ROE (%) = NP (or EAT) = (EAT/SALES) (SALES/ASSETS) (ASSETS/EQUITY) /Equity
หรือ ROE (%) =รายได้จากการขาย สินทรัพย์ทั้งหมด= กำไรสุทธิ X รายได้จากการขาย X สินทรัพย์ทั้งหมด / ส่วนของผู้ถือหุ้น
= (ความสามารถในการหากำไร) (การใช้เงินทุน) (ความสามารถในการหาทุน)
หรือ สมการนี้เท่ากับ
ROE (%) = (Net Profit Margin) (Total Asset Turnover) (Financial Leverage)

3. อัตราส่วนแสดงประสิทธิภาพในการทำงาน (Efficiency Ratio)

อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวม (ROA)(%) = กำไรสุทธิ (Net Profit) /สินทรัพย์รวม (Total Assets)
ยิ่งสูงยิ่งดี เป็นการวัดความสามารถในการทำกำไรของสินทรัพย์ทั้งหมดที่ธุรกิจใช้ในการดำเนินงาน ว่าให้ผลตอบแทนจากการดำเนินงานได้มากน้อยเพียงใด หากมีค่าสูง แสดงถึงการใช้สินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ

อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ถาวร (ROFA) = กำไรสุทธิ (Net Profit or NP) /รวมสินทรัพย์ถาวร (Fix Assets)
อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Turnover)
อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Turnover)(ครั้ง) = ขายสุทธิ (SALES) /สินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset)
ยิ่งสูงยิ่งดี

อัตราการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (Total Assets Turnover)
อัตราส่วนการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (Total Assets Turnover) (ครั้งหรือเท่า) = ขายสุทธิ (SALES) /สินทรัพย์รวม (Total Assets)
จำนวนครั้งสูง ดี เป็นอัตราส่วนที่แสดงถึงประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์ทั้งหมด (TA) เมื่อเทียบกับยอดขาย (SALES) ถ้าอัตราส่วนนี้ต่ำ แสดงว่า บริษัทมีสินทรัพย์มากเกินความต้องการ

4. อัตราส่วนวิเคราะห์นโยบายทางการเงิน (Leverage Ratio or Financial Ratio)

เพื่อให้ทราบถึงแหล่งที่มาของเงินทุนว่ามาจากหนี้สินหรือส่วนของเจ้าของ ว่ามีมากน้อยเพียงใด
อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt/Equity Ratio) (เท่า) = หนี้สินรวม (Total Debt) /ส่วนของเจ้าของ (Equity)
ยิ่งต่ำ ยิ่งดี แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงในด้านเจ้าหนี้และเจ้าของกิจการ ถ้าอัตราส่วนสูง
แสดงว่า กิจการมีความเสี่ยงจากการกู้ยืมเงินมาใช้ในการดำเนินกิจการ

ความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (Interest Coverage) (เท่า) = {กำไรสุทธิ (NP) + ภาษีเงินได้ (Tax) – ดอกเบี้ยจ่าย(Interest)} /ดอกเบี้ยจ่าย (Interest)
เป็นการวัดความสามารถของธุรกิจในการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ ผลคำนวณออกมามีค่าสูง แสดงว่าธุรกิจมีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยสูง

อัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout) = เงินปันผลต่อหุ้น (Dividend /share) /กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS)
แสดงถึงนโยบายการจ่ายเงินปันผลของธุรกิจ
อัตราส่วนที่กล่าวมาเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์หลักทรัพย์ด้วยปัจจัยพื้นฐาน เพื่อท่านจะได้พิจารณางบการเงินได้ในระดับหนึ่ง

สัญญาณเตือนภัยจากการวิเคราะห์งบการเงิน

1.ขาดทุนมากๆ และติดต่อกันหลายปี
2.ระยะเวลาการเก็บหนี้นานขึ้น
3.อัตราหนี้สินต่อส่วนของเจ้าของสูงขึ้นเร็วมาก
4.สินค้าคงคลังสูงมากผิดปกติ
5.ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น
6.ยอดขายสูงขึ้น แต่กำไรลดลง
7.หนี้สูญเพิ่มขึ้น
8.รายงานผู้สอบบัญชีผิดปกติ เปลี่ยนผู้สอบบัญชีใหม่
9.ขายสินทรัพย์ของบริษัท เพื่อสร้างกำไรให้เข้าเป้าในระยะสั้น
ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=32368
P/E คืออะไร

หุ้นที่มี P/E ratio สูงหมายถึงว่าเรายอมจ่ายแพงกว่าเพื่อซื้อหุ้นตัวนี้เมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นอีกตัวนึงที่มี P/E ต่ำกว่า ดังนั้นหลายคนมักจะบอกว่า หุ้นที่มี P/E ratio สูงๆ คือหุ้นที่แพง และหุ้นที่มี P/E ratio ต่ำๆ คือหุ้นที่ถูก ดังนั้น การซื้อหุ้นที่มีราคาถูก น่าจะมีโอกาสกำไรมากกว่าซื้อหุ้นที่แพง


ชื่อ:  pe1.jpg
ครั้ง: 405
ขนาด:  22.4 กิโลไบต์

เช่น หากหุ้น A ราคา 60 บาท และมีกำไรต่อหุ้น 5 บาท หุ้น A จะมี P/E ratio 12 เท่า ดังนั้นหากสมมุติว่าหุ้น A ไม่มีหนี้เลยจึงสามารถนำกำไรทั้งหมดมาจ่ายปันผลได้ทั้ง 5 บาท นั่นคือ หุ้น A จะให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลต่อปีคือ 5/60 = 8.33% และสมมุติว่าหุ้น A จะสามารถรักษาการทำกำไรได้ปีละ 5 บาทไปเรื่อยๆ จะได้ว่าหากเราลงทุนในหุ้น A จะต้องใช้เวลา 60 / 5 หรือ 12 ปีจึงจะได้ทุนที่ลงไปทั้งหมด 60 บาทคืนมา ดังนั้น P/E จะเปรียบเสมือนระยะเวลาในการคืนทุนของการลงทุนในหุ้นตัวหนึ่งๆ นั่นเอง



เมื่อเปรียบเทียบกับหุ้น B ราคา 60 บาทเท่ากัน และมีกำไรต่อหุ้น 10 บาท หุ้น B จะมี P/E ratio 6 เท่า ถ้าสมมุติในแบบเดียวกันกับหุ้น A จะได้ว่า หุ้น B จะให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล 10/60 = 16.67% และจะใช้เวลาคืนทุน 6 ปี

ชื่อ:  pe2.png
ครั้ง: 407
ขนาด:  5.4 กิโลไบต์

ดังนั้น ถ้าหุ้น A กับหุ้น B อยู่ใต้ข้อสมมุติฐานเดียวกันทั้งหมด เราควรจะลงทุนในหุ้นที่มี P/E ต่ำกว่าคือหุ้น B เพราะใช้เวลาในการคืนทุนเร็วกว่าและให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลต่อปีมากกว่า


ดังนั้น อาจจะดูเหมือนว่าการใช้ P/E ratio จะง่ายนิดเดียว ก็คือ ซื้อหุ้นที่ P/E ต่ำๆ และขายหุ้นที่ P/E สูงๆ ออกไป แต่ในทางความเป็นจริงแล้ว อาจจะไม่ทุกครั้งไปที่ทำอย่างนี้แล้วจะได้ผล บางครั้ง การซื้อหุ้นที่มี P/E ratio สูงกลับมีผลกำไรดีกว่าการซื้อหุ้นที่มี P/E ratio ต่ำ เนื่องจากหุ้นแต่ละตัวมีลักษณะไม่เหมือนกัน และไม่ได้เป็นไปตามข้อสุมมติฐานที่สมมุติดังกล่าว

ผมเองชอบหุ้นที่มี P/E ต่ำๆ ครับ แต่คงจะไม่ใช่ว่าหุ้นที่มี P/E ต่ำทุกตัวจะน่าลงทุนนะครับ คงจะต้องดูปัจจัยต่างๆ ที่บอกขั้นต้นคือ การเติบโต ความเสี่ยงและผู้บริหาร ประกอบกันด้วย หากนักลงทุนพบว่าหุ้นตัวไหนมีการขยายตัวของกำไรใช้ได้ ความเสี่ยงไม่สูงนัก ผู้บริหารมีความสามารถ แต่กลับซื้อขายกันที่ P/E ต่ำซึ่งแสดงถึงว่าหุ้นตัวนี้ไม่ค่อยมีคนสนใจ ควรซื้อครับ เพราะหมายถึงว่าเรากำลังพบหุ้นที่จะทำกำไรให้เราเป็นกอบเป็นกำแล้วครับ หากกิจการดีอย่างที่เราคาดไว้จริง จะต้องมีนักลงทุนคนอื่นหรือกองทุนสนใจจะซื้ออย่างแน่นอนครับ

อย่างไรก็ตาม เราก็ไม่ควรใช้ P/E ratio เพียงอย่างเดียวในการวิเคราะห์หุ้นนะครับ ควรพิจารณาปัจจัยอย่างอื่นประกอบด้วย


P/BV คืออะไร

เราได้คุยกันเรื่อง PE Ratio มาแล้ว คราวนี้ขอคุยเรื่อง PB/V Ratio กันบ้าง เพราะอัตราส่วน
สองตัวนี้นักลงทุนมักนำมาใช้ร่วมกันเสมอๆ


P/BV (Price/Book Value) โดย Book Value คิดมาจาก Equity/Number of Shares โดยทั่วๆไปแล้วค่า P/BV นี้ยิ่งต่ำยิ่งดี ตัวเลขมาตราฐานที่มักจะใช้เป็นฐานก็คือ 1 เท่า หากสามารถซื้อหุ้นที่มีค่า P/BV น้อยกว่า 1 ได้ก็หมายความว่าเราสามารถซื้อหุ้นได้ในราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีของบริษัท


BV หรือ Book Value แปลเป็นไทยคือ "มูลค่าตามบัญชี" ก็คือมูลค่าส่วนผู้ถือหุ้น หรือถ้าความหมายจริงๆ ก็คือ มูลค่าของทรัพย์สินที่หักด้วยหนี้สินแล้ว เหลือเป็นมูลค่าของผู้ถือหุ้นเท่าไร


เนื่องจากเป็นมูลค่าทางบัญชี มันจึงเกิดปัญหาขึ้นมาคือ การลงบัญชีนั้นแต่ละบริษัทอาจบันทึกสินทรัพย์และหนี้สินแตกต่างกันไป เช่นสินทรัพย์ถูกกำหนดให้บันทึกมูลค่าที่ราคาทุน คือราคาที่ได้สินทรัพย์นั้นมา บางบริษัทมีที่ดินที่บันทึกไว้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว พอมาถึงปัจจุบันมูลค่าของที่ดินเพิ่มขึ้นมาหลายเท่าตัว แต่มูลค่าที่บันทึกลงในบัญชีนั้นยังมีมูลค่าเท่ากับเมื่อ 20 ปีที่แล้ว หากไม่มีการประเมินมูลค่าและบันทึกบัญชีใหม่มูลค่าก็ยังคงบันทึกเอาไว้เท่าเดิม

ชื่อ:  pbv1.jpg
ครั้ง: 413
ขนาด:  27.7 กิโลไบต์

มูลค่าทางบัญชีนี้ถ้าหากเราเข้าใจลึกซึ้งก็สามารถช่วยให้เราค้นพบบริษัทที่น่าลงทุนได้ไม่ยาก
ยกตัวอย่างเช่น บริษัทมีเครื่องจักรผลิตสินค้าอยู่เครื่องหนึ่ง สามารถผลิตสินค้าที่เป็นที่ต้องการของตลาดในขณะนั้นได้เป็นอย่างดี พอเวลาผ่านไป มีผู้ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันออกมาขายมากๆ เข้า ผลกำไรที่เคยมีกลับกลายเป็นผลขาดทุน บางบริษัทคู่แข่งทนไม่ไหวเลิกกิจการไประหว่างยังขาดทุน ส่วนบริษัทยังทนผลิตสินค้าต่อไป แน่นอนราคาหุ้นของบริษัทคงต้องตกลงมาอย่างหนัก



และถ้าหากตกลงมามากๆ เมื่อเทียบกับมูลค่าของเครื่องจักรแล้วละก็ดูให้ดีๆ เลยครับ เพราะถ้าเราสร้างเครื่องจักรใหม่อาจต้องใช้เงินทุนมากกว่าราคาหุ้นตอนนั้นแน่นอน


ฉะนั้นหุ้นของบริษัทนั้นจึงถือได้ว่าถูกมากๆ เมื่อเทียบกับราคาที่จะต้องไปลงทุนสร้างเครื่องจักรใหม่ เหตุการณ์ลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีตที่ราคาหุ้นปิโตรเคมีบางบริษัทต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี และต่ำกว่ามูลค่าสร้างโรงงานใหม่มาก พอธุรกิจกลับมาเริ่มมีกำไร ราคาหุ้นก็วิ่งขึ้นหลายเท่าตัว

กลับมาดูความหมายของ PBV กันต่อครับ PBV = ราคาหุ้นปัจจุบัน / มูลค่าทางบัญชี หรือ PBV = P0 / Book Value


Book Value = Equity (ส่วนผู้ถือหุ้น)

เอากำไรสุทธิหรือ Net income หรือ Earning เข้ามาคูณและหารไปพร้อมๆ กัน เราจะได้สูตรใหม่ ดังนี้


PBV = (Price x Earning) / (Equity x Earning)

จับคู่ใหม่ให้เห็นชัดๆ คือ PBV = {Price / Earning) x {Earning / Equity) เราจะได้ สูตรใหม่ดังนี้


PBV = PE x ROE

สูตรนี้บอกเราว่าค่า PBV ถูกกำหนดด้วยค่าสองค่าคือ PE และ ROE (อัตราผลตอบแทนส่วนผู้ถือหุ้น) เรื่อง PE ผมกล่าวไปแล้วเมื่อคราวที่แล้ว ส่วน ROE นั้นค่านี้บอกเราว่าบริษัทเอาเงินทุนที่ได้จากผู้ถือหุ้นไปลงทุนแล้วสร้างผลตอบแทนได้คุ้มค่าหรือไม่


คราวนี้เรามาดูว่า หุ้นที่ PBV มีค่าสูงค่าต่ำนั้นบ่งบอกอะไรบ้าง

หุ้นที่ PBV ต่ำ PE สูง ROE ต่ำ เป็นหุ้นที่อาจมีมูลค่าเกินพื้นฐานไปแล้ว เพราะ PE สูงแต่กลับให้ผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้นต่ำ มันจึงมาสะท้อนออกที่ PBV


หุ้นที่ PBV ต่ำ PE ต่ำ ROE สูง อาจเป็นหุ้นที่มีความเสี่ยงสูง (สะท้อนออกทาง PE) หรืออาจจะมีมูลค่าต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน อันนี้ต้องเข้าไปดูรายละเอียดการดำเนินงานของบริษัท ถ้าธุรกิจดี ไม่เสี่ยงอย่างที่ตลาดคิดก็น่าลงทุนมาก

หุ้นที่ PBV สูง PE สูง ROE ต่ำ หุ้นแบบนี้อันตรายมาก เพราะผลตอบแทนผู้ถือหุ้นต่ำ PE กลับสูง และเชื่อว่าต้องสูงมากถึงสามารถดึง PBV ให้สูงตามไปด้วย


หุ้นที่ PBV สูง PE ต่ำ ROE สูง หุ้นแบบนี้อาจเป็นหุ้นที่มีความเสี่ยงสูง หรือความไม่แน่นอนของการทำกำไรไม่แน่นอน หรือบางครั้งราคาสูงเกินมูลค่าไปแล้วก็ได้ เพราะผลตอบแทนผู้ถือหุ้นสูงมาก แต่ PE กลับต่ำมาก การที่ ROE สูงอาจเป็นเพราะมีหนี้สินมากกว่าทุนมากๆ ก็ได้ แน่นอนครับว่าหนี้สินมากๆ ก็นำมาซึ่งความเสี่ยงที่สูงตามไปด้วย

ทั้งหมดนี้เราต้องดูพื้นฐานทางธุรกิจประกอบกันเพื่อให้เป็นการยืนยันซึ่งกันและกันว่า ทั้งธุรกิจซึ่งเป็นเหตุนั้นส่งผลให้ผลที่ได้ออกมาคืออัตราส่วนต่างๆ นั้นออกมาในรูปแบบใด

         ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=32328

วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2555

BOLLINGER BANDS
Bollinger Bands จะคล้ายคลึงกับ Moving Average Envelope แตกต่างกันที่ Envelope ถูก Plot โดยใช้เปอร์เซ็นต์ที่แน่นอน โดย Plot ไว้เหนือเส้นและใต้เส้น Moving Average ในขณะที่ Bollinger Bands ถูก Plot โดยใช้เส้นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) โดย Plot ไว้เหนือและใต้เส้น Moving Average เพราะเส้นเบี่ยงเบนมาตรฐานใช้วัดความเปลี่ยนแปลง Bollinger Bands จะขยายกว้างขึ้นในขณะที่ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงและหดลงในช่วงที่ตลาดซบเซา


ชื่อ:  bollinger_ban.gif
ครั้ง: 1777
ขนาด:  12.8 กิโลไบต์

BOLLINGER BANDS เป็นกรอบการซื้อขายที่มีระยะห่างจากค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่เปลี่ยนแปลงไปตามการเคลื่อนไหวของราคา ซึ่งเท่ากับ 2 เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (STANDARD DEVIATION) แล้วเขียนเส้นคู่ไปกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ทั้งด้านบน และด้านล่าง เมื่อมีการเคลื่อนที่ของหุ้นอย่างรุนแรง ช่องการซื้อขายจะขยายตัวห่างออกจากกัน แต่ถ้ามีการเคลื่อนไหวของราคาน้อย ช่องการซื้อขายจะบีบตัวแคบลง



BOLLINGER BANDS เป็นเครื่องมือการวิเคราะห์หุ้นชนิดหนึ่งที่พัฒนามาจาก เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบล้อมกรอบ (MOVING AVERAGE ENVELOPES) โดยนาย จอห์น โบลินเจอร์ (JOHN BOLLINGER) จอห์น ได้ทดลองใช้ช่วงเวลาต่าง ๆ ตั้งแต่ 5 วัน จนถึง 200 วันในการเขียนเส้น BOLLINGER BANDS ทำให้เขาทราบว่าการใช้จำนวนวันที่น้อยกว่า 10 วัน นั้นไม่ดีเท่าที่ควรและเขาเห็นว่าการใช้ 20 วันในการคำนวณนั้นดีที่สุด ส่วนช่วงเวลาที่มากกว่า 50 วัน เหมาะสำหรับระยะยาว

BOLLINGER BANDS ใช้ในการวิเคราะห์ราคาหุ้นได้ดังนี้

1. ถ้ามีจุดต่ำสุดที่เกิดขึ้นนอกช่องการซื้อขาย แล้วตามด้วยจุดต่ำสุดที่เกิดขึ้นภายในช่องการซื้อขาย แสดงถึงการเกิดโอกาสกลับตัวของแนวโน้มจากลงมาเป็นขึ้น (เป็นสัญญาณให้ซื้อ จุดA)

2. ในทางกลับกัน ถ้ามีจุดสูงสุดที่เกิดขึ้นนอกช่องการซื้อขาย แล้วตามด้วยจุดสูงสุดที่เกิดขึ้นภายในช่องการซื้อขาย แสดงถึงการเกิดโอกาสกลับตัวของแนวโน้มจากขึ้นมาเป็นลง (เป็นสัญญาณให้ขาย)

3.. ราคาที่เพิ่มขึ้นจนถึงเส้นกรอบบน แล้วปรับตัวลงมาตัดเส้นค่าเฉลี่ยฯ (เส้นกลาง) แสดงว่าแนวโน้มราคาเปลี่ยนเป็นลง (เป็นสัญญาณให้ขาย)

4. ในทางกลับกัน ราคาที่ลดลงจน ชนเส้นกรอบล่าง แล้วปรับตัวสูงขึ้นมาตัดเส้นค่าเฉลี่ยฯ (เส้นกลาง จุดC) แสดงว่าแนวโน้มราคาเปลี่ยนเป็นขึ้น (เป็นสัญญาณให้ซื้อ จุดB)

ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=32226

วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ Moving Average
การคำนวณค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบพื้นฐาน ทำได้โดยนำราคาของวันปัจจุบันและวันก่อนหน้านี้มารวมกัน แล้วหารด้วยจำนวนวันที่ต้องการเฉลี่ยทั้งหมด ซึ่งจะขึ้นอยู่กับเส้นค่าเฉลี่ยนั้นว่า จะนำมาใช้ในการวิเคราะห์แนวโน้มในระยะสั้น กลาง หรือระยะยาว และสำหรับวันถัดไปสามารถหาค่าเฉลี่ยได้ โดยตัดข้อมูลวันแรกสุดออกไป และเอาราคาของวันล่าสุดเข้ามาแทนที่ จากนั้นก็นำมาคำนวณโดยวิธีเดียวกัน เช่น ถ้าต้องการหาค่าเฉลี่ยระยะสั้น 10 วัน ราคาสำหรับ 10 วันสุดท้ายจะถูกนำมารวมกันแล้วหารผลทั้งหมดด้วย 10 เนื่องจากข้อมูลทั้งหมด (ในที่นี้คือ 10 วัน แล้วหารผลทั้งหมดด้วย 10 เนื่องจากข้อมูลทั้งหมด (ในที่นี้คือ 10 วันสุดท้าย) จะถูกเฉลี่ยเคลื่อนที่ (MOVE) ไปข้างหน้า จึงเรียกว่า ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่



ชื่อ:  moving_average1.gif
ครั้ง: 1426
ขนาด:  11.8 กิโลไบต์

ตัวอย่างสูตรคำนวณ

ชื่อ:  cal_moving_average.gif
ครั้ง: 1430
ขนาด:  5.2 กิโลไบต์

ช่วงเวลาที่ใช้

ปัจจุบันช่วงเวลาที่นิยมใช้ในการแบ่งกลุ่มของผู้ลงทุน คือ

10 วัน (2 สัปดาห์) ใช้สำหรับการลงทุนระยะสั้น

25 วัน (5 สัปดาห์) ใช้สำหรับการลงทุนระยะค่อนข้างปานกลาง

75 วัน (15 สัปดาห์) ใช้สำหรับการลงทุนระยะกลาง

200 วัน (40 สัปดาห์) ใช้สำหรับการลงทุนระยะยาว


โดยช่วงเวลาทั้ง 4 ได้ผ่านการทดสอบแล้วและเหมาะสมสำหรับตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ดี ช่วงระยะเวลานี้อาจจะแตกต่างออกไปตามความนิยมใช้ของผู้ลงทุนแต่ละกลุ่ม เช่น ระยะสั้นอาจเป็น 12 วัน ระยะยาวอาจมีช่วงสั้นลงเป็น 150 วัน หรือ 30 สัปดาห์ แต่สำหรับระยะปานกลางมักจะใช้ 75 วันหรือ 15 สัปดาห์เป็นหลัก และเส้นค่าเฉลี่ยฯ ที่ใช้จำนวนวันน้อย ๆ เช่น เส้นค่าเฉลี่ยฯ 5 วันหรือ 10 วันจะเปลี่ยนแปลงไปตามราคามากกว่าเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว เช่น 40 วัน


สำหรับในสภาพตลาดที่มีลักษณะที่เด่นชัด (BULL OR BEAR MARKET) การใช้เส้นค่าเฉลี่ยฯ ระยะสั้นจะได้ผลมากกว่า แต่ในภาวะที่ตลาดมีลักษณะไม่ชัดเจน (SIDEWAYS) เราควรใช้เส้นค่าเฉลี่ย ระยะยาว ในการหาสัญญาณซื้อหรือขาย


การหาสัญญาณซื้อ-ขายโดยใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

จากการที่เส้นราคาหุ้นย่อมนำหน้าเส้นราคาเฉลี่ย ดังนั้นความสัมพันธ์ของเส้น 2 เส้น จึงมีความสำคัญในการบอกถึงการเปลี่ยนทิศทางของราคาหุ้น และจะนำมาช่วยในการบอกถึงสัญญาณซื้อและขายได้ ซึ่งสามารถบอกความสัมพันธ์ได้ดังนี้


1. เมื่อราคาเคลื่อนขึ้น และทะลุผ่านเส้นค่าเฉลี่ยฯ ที่เคลื่อนขึ้นตาม จะถือเป็นสัญญาณซื้อ ( จุด B ตามรูปด้านบน )

2. เมื่อเส้นราคาหุ้นทะลุขึ้น ผ่านเส้นค่าเฉลี่ยฯ ที่เปลี่ยนจากเคลื่อนที่ลงเป็นขึ้น และสามารถยืนอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยฯ ได้นานพอสมควร ให้ถือเป็นสัญญาณซื้อ

3. เมื่อราคาเคลื่อนลงและทะลุผ่านเส้นค่าเฉลี่ยฯ ที่เคลื่อนลงตาม จะถือเป็นสัญญาณขาย ( จุด A และ C ตามรูปด้านบน )

4. เมื่อเส้นราคาหุ้นทะลุลง ผ่านเส้นค่าเฉลี่ยฯ ที่เปลี่ยนจากเคลื่อนที่ขึ้นเป็นลง และอยู่ใต้เส้นค่าเฉลี่ยฯ นานพอสมควร ให้ถือเป็นสัญญาณขาย

ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=32160
อาหารกับอารมณ์
คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ ที่รู้สึกว่าหลังตื่นนอนตอนเช้า อารมณ์ไม่แจ่มใสอย่างที่ควรเป็น (ไม่นับอาการเบื่อเรียนหรือเบื่องาน) ทั้งๆ ที่นอนหลับเต็มอิ่ม ไม่เครียดหรือมีเรื่องทุกข์ร้อนใจ บางครั้งรับประทานอาหารเช้าแล้วกลับทำให้ยิ่งหิวเร็ว หนำซ้ำช่วงสายก่อนเที่ยงมีอาการมือสั่น อ่อนเพลีย หรือบ่ายๆ หลังรับประทานอาหารกลางวัน ยิ่งอ่อนเพลีย ง่วงนอน เฉื่อยชายิ่งกว่าเดิม อาการแบบนี้มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการรับประทานอาหาร ซึ่งอาหารกับอารมณ์นั้น เกี่ยวข้องกันชนิดที่คุณคาดไม่ถึงทีเดียว

ชื่อ:  37.jpg
ครั้ง: 1197
ขนาด:  64.7 กิโลไบต์


แหล่งต้นเหตุของอาหารที่มีผลต่ออารมณ์


ในต่างประเทศมีงานวิจัยและบทความทางวิชาการศึกษา เกี่ยวกับบทบาทสารอาหารกับอารมณ์อยู่มากมายหลายชิ้น แต่บทความที่ได้รับรองอย่างเป็นทางการยังมีเพียงเล็กน้อย แต่ที่แน่ๆ ปัจจัยในร่างกายที่มีผลต่ออารมณ์ มาจาก 2 แหล่ง คือ อาหารและสารเคมีในสมอง

เริ่มจากอาหาร ที่ปกติเรารับประทาน 3 มื้อต่อวัน แต่ละมื้อประกอบด้วยอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต คือ แป้งและน้ำตาลเป็นหลัก เนื่องจากเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของร่างกาย หลังจากรับประทานแล้ว ร่างกายจะค่อยๆ ย่อย เปลี่ยนให้เป็นคาร์โบไฮเดรตที่เล็กลง และกลายเป็นน้ำตาลกลูโคส เพื่อร่างกายสามารถดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด และนำไปใช้ตามอวัยวะต่างๆ ทั้งนี้ปริมาณและชนิดของคาร์โบไฮเดรตที่ต่างกัน ย่อมส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงต่างกัน เช่นเดียวกับระดับน้ำตาลกลูโคสที่ได้จากอาหารแต่ละชนิด หรือที่เราเรียกว่า “ดัชนีน้ำตาล” ค่าดัชนีน้ำตาลแบ่งเป็น 3 ระดับ คืออาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลปานกลาง และอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง

การรับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูงมากเท่าไร


คาร์โบไฮเดรตก็จะย่อยเป็นกลูโคส และถูกดูดซึมอย่างรวดเร็ว กระตุ้นให้มีการหลั่งฮอร์โมนอินซูลิน ที่นำกลูโคสเข้าสู่เซลล์ต่างๆ เพื่อ
เผาผลาญเป็นพลังงาน แต่หลังจากรับประทานไปได้ 2-4 ชั่วโมง ระดับน้ำตาลในเลือดจะลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ร่างกาย
อ่อนแรง อารมณ์เซื่องซึม ตัวอย่างอาหารดัชนีน้ำตาลสูง ได้แก่ ไอศกรีม ข้าวขาว ข้าวเหนียว มันฝรั่งบด ฯลฯ นอกจากนี้ระดับน้ำตาลในเลือดอาจแปรปรวน ลดและเพิ่มอย่างรวดเร็วจากกรณีอื่นๆ อีก เช่น

• รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง อาหารประเภททอด ขนมขบเคี้ยวต่างๆ น้ำอัดลม เป็นต้น เพราะหลังจากรับประทานร่างกายจะรู้สึกหนัก อ่อนเพลียและง่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังอาหารเช้าและอาหารกลางวัน ที่คนทำงานหลายคนมีอาการตาหนัก ลืมไม่ขึ้นเป็นประจำ
• เว้นระยะเวลาการรับประทานอาหารระหว่างมื้อนานเกินไป หรือออกกำลังกายติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้เกิดสัญญาณเตือน เช่น อาการปวดหัวหรือเหนื่อยล้า มือสั่น เหงื่อแตก
• ไม่รับประทานอาหารเช้า หรือใช้วิธีลดความอ้วนด้วยการงดอาหารบางมื้อ ซึ่งเป็นวิธีที่ผิด เพราะจะยิ่งทำให้ร่างกายต้องการพลังงานชดเชยมากขึ้นจากมื้อที่หายไป ส่งผลให้มื้อต่อๆ ไปรับประทานมากเกินได้ง่าย ส่วนปัจจัยที่มีผลต่ออารมณ์

ส่วนหนึ่งมาจากสารเคมีในสมอง ยกตัวอย่างเช่น


• เซอร์โรโทนิน (serotonin) ถ้าระดับเซอร์โรโทนินต่ำจะทำให้เกิดอาการซึมเศร้าได้ และมีการศึกษาพบว่า หากได้รับอาหารที่ไม่มีกรดอะมิโนทริบโทเฟน (Tryptophan) โดยอาหารที่มีทริบโทเฟน เช่น นม กล้วย โยเกิร์ต ข้าวโอ๊ต ซึ่งเป็นสารเริ่มต้นในการสังเคราะห์ เซอร์โรโทนินในสมอง จะทำให้การสร้างเซอร์โรโทนินลดลง ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ในบางคน แต่ก็ไม่ใช่ทุกคน การรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง เช่น ข้าวเหนียว ข้าวโพด กรอย เผือกหรือมัน จะเพิ่มการสร้างเซอร์โรโทนินทำให้อารมณ์ดีขึ้น ซึ่งจะพบว่าคนบางคนเมื่อมีอาการซึมเศร้า จะอยากรับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตมากขึ้น (เศร้าแล้วก็เลยอ้วน)

• การขาดกรดโฟลิก จากการศึกษาในหนูทดลอง เมื่อขาดกรดโฟลิก ทำให้ระดับเซอร์โรโทนินในสมองลดลง ซึ่งคาดว่าถ้ามนุษย์ขาดสารโฟลิกก็จะมีอารมณ์ซึมเศร้า ไม่กระตือรือร้น อาหารที่มีกรดโฟลิก ได้แก่ บร็อกโคลี ถั่วลิสง ข้าวซ้อมมือ

• การขาดไทอะมิน (วิตามินบี1) ทำให้ซึมเศร้า อ่อนเพลีย เนื่องจากวิตามินบี1 มีบทบาท สำคัญในการเผาผลาญกลูโคสให้เป็นพลังงาน และสมองจำเป็นต้องใช้พลังงานจากกลูโคส ถ้าขาดวิตามินบี1 ก็จะมีผลเหมือนการขาดคาร์โบไฮเดรต อาหารที่มีไทอะมิน ได้แก่ ปลา เนื้อสัตว์ปีก

• การขาดไนอะซิน ซึ่งเป็นวิตามินบีชนิดหนึ่ง ก็มีผลต่ออารมณ์เช่นกัน คนที่ขาดวิตามินไนอะซินจะหงุดหงิด อารมณ์เสีย ถ้าขาดมากๆ ก็อาจจะถึงขั้นความจำเสื่อม ไนอะซินเป็นวิตามินที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญกลูโคสเช่นกัน การขาดไนอะซินนี้จะพบมากในกลุ่มคนที่รับประทานข้าวโพดเป็นอาหารหลัก ซึ่งในประเทศไทย ยังไม่พบการขาดวิตามินชนิดนี้ อาหารที่มีไนอะซิน ได้แก่ ไข่ เนื้อสัตว์ปีก ปลา ธัญพืชที่ไม่ขัดสี นม

รับประทานอาหารอย่างไรจึงทำให้อารมณ์ดีขึ้น


การปรับเปลี่ยนประเภทของอาหารเพียงเล็กน้อยก็สามารถส่งผลให้อารมณ์ดีขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพียงแค่คุณ...

• รับประทานอาหารให้ครบมื้อ ถ้าไม่มีเวลารับประทานอาหารเป็นมื้อแบบกิจลักษณะ ควรเลือกของว่างเล็กๆ น้อยๆ เช่น ขนมปังโฮลวีทสักแผ่นหรือ ขนมปังกรอบธัญพืชสัก 2-3 แผ่น อย่าปล่อยให้ท้องว่างเด็ดขาด หรือว่าจะแบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อเล็กๆ แต่รับประทานบ่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำตาลในเลือดตก

• รับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท ผักและผลไม้ที่มีเส้นใยมาก และมีรสไม่หวาน เป็นต้น เพราะร่างกายจะค่อยๆ ย่อยและดูดซึมช้าๆ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ สม่ำเสมอ และหลังรับประทานอาหารได้ 4-6 ชั่วโมง ร่างกายจะหลั่งสารฮอร์โมนบางชนิดเพื่อสลายไกลโคเจน ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่สะสมอยู่ในร่างกาย และเพิ่มการสร้างกลูโคสจากแหล่งอาหารอื่น เช่น ไขมัน

• งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คาเฟอีน หันมาดื่มน้ำผลไม้คั้นสดหรือน้ำเปล่าธรรมดาแทน

• หมั่นออกกำลังกาย เนื่องจากหลังออกกำลังกายต่อเนื่องสัก 20 นาที ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนแอนโดรฟีนออกมาตามธรรมชาติ ทำให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้ปกระเปร่าและมีความสุข ลดความกังวลและเครียดลงได้

สรุปแล้วความสัมพันธ์ระหว่างอาหารและอารมณ์นี้ ยังมีความซับซ้อนอยู่มาก จำเป็นต้องมีการศึกษาเพื่อหาข้อสรุปต่อไป แต่ปราการป้องกันขั้นพื้นฐานไม่ให้อารมณ์หม่นหมอง ง่วงซึม ทุกครั้งที่เกี่ยวข้องกับการรับประทานอาหาร ก็ควรรับประทานอาหารอย่างเหมาะสม ครบมื้อพอเพียงกับความต้องการของร่างกาย รับประทานอาหารหลากหลายให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงและมีค่าดัชนีน้ำตาลสูง ประกอบกับการออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับรองว่าอาการเซื่องซึม ง่วงนอน อ่อนเพลียจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด



ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=32168
“นักฆ่าความฝัน”
เคยได้ยินประโยคทำนองนี้กันบ้างไหมครับ บทสนทนาในละครฉากเล็กๆของชีวิตจริง
ลูกชาย – “พ่อ เห็นตึกสี่ชั้นที่อยู่หน้าหมู่บ้านนั่นไหม เขาติดประกาศขายแล้ว ไม่ไกลจากบ้านเราด้วย หน้ามันกว้างดี จอดรถน่าจะได้สองคันสบายๆเลยนะพ่อ”
พ่อ –“ไหน …หลังไหน ร้านหนังสือเก่านั่นน่ะเหรอ ละเมอไปหรือเปล่า อย่างเราจะมีปัญญาไปซื้ออย่างไรไหว”
ลูกชาย –“ลองโทรไปถามหน่อยไม่ดีหรือ เผื่อเอาเข้าแบ๊งค์แล้วขยับขยายร้านได้ใหญ่ขึ้น”
พ่อ –“เสียเวลา เสียค่าโทรศัพท์เปล่าๆ ก้มหน้าก้มตาทำงานไปเถอะ”
………………………………….
สามี –“ไปเที่ยวยุโรปกันไหม กลางๆปีเขาว่าไม่หนาวมาก อยากไปเห็นเมืองนอกบ้าง”
ภรรยา –“ ไปต่างประเทศ คุณจะมีเวลาหรือ แล้วเรื่องเงินอีก ไหนจะค่าตั๋ว ค่าที่พัก แล้วยังต้องซื้อของฝากคนอื่นอีกล่ะ โอย…ยุ่งยากเปล่าๆ อย่าคิดอะไรเกินตัวนักสิ
…………………………………
น้อง –“พินัยกรรมสรุปออกมาแล้ว คุณป้าท่านยกเงินให้เราแสนหนึ่งแน่ะ”
พี่ –“แสนหนึ่ง ค่าทนาย ค่าธรรมเนียม แล้วก็ต้องผ่อนรถที่เหลืออีกสามสี่เดือน จะไปเหลือสักเท่าไร ไม่เห็นน่าดีใจเลย”
………………………………….
อาจารย์ที่ปรึกษา –“อีกอาทิตย์เดียวก็สอบใหญ่แล้วนะ เธอนอนอยู่โรงพยาบาลนานขนาดนั้น ขาดเรียนสิบกว่าครั้งอย่างนี้ อ่านทวนเยอะๆหน่อยก็ดี ข้อสอบปีนี้ไม่ง่ายนะ”
นักศึกษา –“ อ่านอย่างไรอ่านก็ไม่ทันแล้วครับ หนังสือตั้งเกือบสิบเล่ม อาทิตย์เดียวจะไปอ่านทันได้อย่างไร… ช่างมันเถอะครับอาจารย์ มันจะตกก็ให้มันตกไป อ่านไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว”
………………………………….

บางทีผมก็แอบเรียกคนมองโลกในแง่ร้ายอย่างนี้ว่า “นักฆ่าความฝัน”

ในสังคมรอบๆตัวท่านผู้อ่านก็คงมีให้เห็นบ้างละครับ ทั้งแบบนักฆ่าสมัครเล่นที่มองอะไรก็เห็นว่าเป็นไปไม่ได้หมด กับพวกนักฆ่ามืออาชีพ พวกนี้ต่างจากพวกสมัครเล่นก็คือไม่เพียงแต่มองไม่เห็นความเป็นไปได้แค่นั้น พวกนี้ยังออกโรงออกแรงค้านอย่างจริงจังจนทุกโครงการที่นักฝันคนไหนก็ตามเสนอขึ้นมา เป็นหมันตั้งแต่ออกจากปากแล้ว

ยอมรับครับว่าทุกวันนี้ผมก็ยังผจญภัยกับคนเหล่านี้อยู่ วิธีคิดของผมก็คือ อย่ามองเขาเป็นศัตรู ให้มองเขาเป็นเพื่อน มองเขาเป็นฝ่ายค้านที่มาช่วยติงช่วยติ

แต่อย่ายอมให้เขาฆ่าความฝันเราได้นะครับ

ที่สำคัญที่สุดหากเราทำให้ฝันที่เขาคิดว่าเป็นจริงไม่ได้สำเร็จเป็นรูปเป็นร่างให้เขาเห็นได้บ่อยๆ ต่อไปเขาก็จะไม่กล้าฆ่าความฝันใคร แม้แต่ของตัวเอง

มีกรณีศึกษาจากนักจิตวิทยาที่ผมเคยอ่านเจอ นักฆ่าความฝันพวกนี้มักมีปมในวัยเด็กกับประสบการณ์แย่ๆ เช่น พ่อกับแม่ชอบสัญยิงสัญญาอะไรกับเขาแล้วไม่เคยทำได้สักครั้ง คงเคยเห็นใช่ไหมครับพ่อแม่ที่รับปากลูกไปวันๆ ฝันอันงดงามในความรู้สึกของเด็กจึงกลายเป็นฝันลมๆแล้งๆแทบทุกครั้ง หนักเข้าก็เริ่มไม่วางใจใคร สุดท้ายการมองโลกในแง่ร้ายก็เลยฝังลึกลงก้นบึ้งจิตใจ

ไม่มีอะไรแนะนำมากกว่านี้ครับ นอกจากขออนุญาตเล่าถึงโครงการแปลกๆในอดีตให้ฟังกัน

โครงการพวกนี้ล้วนเคยเป็นโครงการที่ไม่น่าสนใจแทบทั้งสิ้นครับ

อากิโอะ โมริตะประธานฯบริษัทโซนี่ มองเห็นอีฟูกะ ผู้ร่วมก่อตั้งโซนี่อีกคนหนึ่งชอบหิ้วเครื่องเล่นเทปพร้อมกับหูฟังติดอยู่ที่หูเดินไปไหนมาไหนอยู่เรื่อย จึงออกปากถามถึงเหตุผล อีฟูกะบอกว่าเขาชอบฟังเพลงเป็นชีวิตจิตใจ เดินไปนั่งตรงไหนก็อยากเอาเพลงไปฟังด้วย แต่ไม่อยากเปิดเบาๆ และก็ไม่อยากให้หนวกหูคนอื่นจึงจำต้องใช้หูฟัง

อากิโอะ ได้ยินเข้าก็เกิดความคิดสว่างวาบขึ้นที่จะทำสินค้าออกขาย โดยคิดย่อเครื่องเล่นเทปให้เล็กลง พร้อมหูฟังที่เล็กลงด้วย
ใช่ครับ จุดกำเนิดซาวด์นอะเบ๊าท์ มันเกิดง่ายๆอย่างนี้แหละครับ
แต่ฝ่ายการตลาดไม่เห็นด้วยกับสินค้าตัวนี้ คำวิจารณ์แรงๆก็คือ “จะมีใครที่ไหนโง่มาซื้อเครื่องเล่นเทปที่ไม่มีส่วนของการบันทึกเสียง”

อากิโอะไม่คิดอย่างนั้น เขาไม่ยอมให้ใครฆ่าความฝันของเขา เขาเชื่อว่าซาวด์นอะเบาท์นั้นมีไว้เพื่อฟังไม่ใช่เพื่ออัด การจะใส่ส่วนของการบันทึกเสียงลงไปด้วยจะทำให้เครื่องใหญ่ขึ้น และเพื่อไม่ทะเลาะกับฝ่ายการตลาด เขาขอเป้าการขายแค่เพียงปีละหนึ่งแสนเครื่องเท่านั้น และไม่ต้องทุ่มโฆษณาให้สินค้าตัวนี้มากนักด้วย ปีแรกที่วางตลาด ซาวด์อะเบ๊าท์ ทำยอดจำหน่ายให้โซนี่เท่าไรรู้ไหมครับ
สี่ล้านเครื่อง !

เรื่องราวของอากิโอะนั้นคล้ายๆกับบิล เลียร์ แต่ตอนจบกลับไม่เหมือนกัน

บิล เลียร์ คิดเรื่องวิทยุติดรถยนต์ขึ้นมาครั้งแรก คนรอบๆข้างเขาต่างรุมถล่มความฝันอันบรรเจิดของเขาอย่างหูดับตับไหม้ ความเห็นที่มองไปทางเดียวกันก็คือ “มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้คนจะติดวิทยุไว้ในรถ เพราะมันจะทำให้คนขับเสียสมาธิได้” ไม่รู้ว่าเลียร์ไม่หนักแน่นพอหรือนักฆ่าพวกนั้นออกอาวุธหนักเสียจนเลียร์ตั้งตัวไม่ติด เขายอมขายความคิดนี้ให้กับบริษัทกัลวิน แมนูแฟคเตอร์ไป

หลังจากร่ำรวยจากวิทยุติดรถยนต์ บริษัทกัลวินนี้ก็ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น โมโตโรลา บริษัทยักษ์ใหญ่บริษัทที่เคยเป็นเจ้าพ่อโทรศัพท์มือถือมายุคหนึ่ง

พูดถึงโทรศัพท์มือถือ นี่ถ้าเกรแฮมเบลล์ ผู้ประดิษฐ์โทรศัพท์รู้ว่าทุกวันนี้มีคนบนโลกใช้โทรศัพท์อยู่ตลอดเวลาไม่เว้นแต่วินาทีเดียว เขาคงดีใจที่สุด เพราะตอนที่เบลล์ เพิ่งทดลองโทรศัพท์ข้ามแม่น้ำสำเร็จใหม่ๆเมื่อร้อยสามสิบปีก่อน นายกเทศมนตรีให้สัมภาษณ์นักข่าวดูแคลนสิ่งประดิษฐ์ของเบลล์ว่า “ของเล่นอันนี้มันก็ดีอยู่หรอก แต่มันจะใช้ทำอะไรได้”

ปีพ.ศ.2505 บริษัทแผ่นเสียงยักษ์ใหญ่ เดคค้า เรคคอร์ด ปฏิเสธงานของวงดนตรีหน้าใหม่ที่ชื่อเดอะบี้ทเทิ้ลด้วยเหตุผลว่า “เพลงที่เล่นด้วยกีต้าร์กำลังจะหมดสมัยแล้ว”

ใกล้ๆตัวนี่เลยครับ จา พนมที่กำลังเนื้อหอมในต่างประเทศจากหนังเรื่ององค์บาก ก็เคยถูกคำวิจารณ์จากบริษัทเก่าที่จา เคยเซ็นสัญญาด้วยว่า “เขาไม่มีเสน่ห์พอ ถ้าจะทำหนังให้เขาเล่น เขาต้องประกบกับพระเอกที่หล่อกว่าเขา” ไม่รู้ปรัชญา ปิ่นแก้วผู้กำกับฯองค์บากประชดประชันหรือคิดอะไรอยู่ หลังจากมาเซ็นสัญญากับบริษัทใหม่ เขาให้จาเล่นหนังเรื่องแรกโดยประกบกับหม่ำ จ๊กมกเสียเลย

มองคำทักท้วงเหล่านี้เป็นมิตรสิครับ แล้วเอาชนะมันให้เขาเห็น

เมื่อ 60 ปีก่อน โทมัส วัตสัน ประธานไอบีเอ็มยังเคยพูดถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเลยว่า “ตลาดของพีซีทั้งโลก น่าจะมีประมาณห้าเครื่องได้มั้ง” ดีนะครับที่สุดท้ายแล้วผู้บริหารรุ่นหลังของไอบีเอ็มไม่ได้เชื่อคำพูดของวัตสัน

ประโยคสกัดดาวรุ่งประโยคสุดท้ายครับ เป็นของนักฝันชื่อดัง บิล เกตส์ เจ้าพ่อไมโครซอฟท์

ฟังประโยคนี้แล้วอย่าหัวเราะดังนะครับ บิล เกตส์ พูดไว้เมื่อปี พ.ศ.2511 คนเรานี่บางทีก็เผลอเป็นนักฆ่าความฝันของตัวเองไปเหมือนกัน เขาพยากรณ์ถึงหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในอนาคตว่า

“ 640 k ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับทุกๆคน”

ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=32173
ลงทุนอย่างมีความสุข : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ความผันผวนของราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นั้นรุนแรงมากโดยเฉพาะในช่วงเวลาสั้นๆ สิ่งนี้ก่อให้เกิดกำไรหรือผลตอบแทนได้อย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับความเสียหายมากมายให้กับคนที่เข้ามาเล่นหุ้นในตลาดแบบเก็งกำไร
ความสุขแบบเพ้อฝันและความโศกเศร้าเสียใจดูเหมือนว่าจะเป็นวัฏจักรที่ไม่จบสิ้นในตลาดหลักทรัพย์ ชีวิตของคนเล่นหุ้นจำนวนมากผูกพันอยู่กับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ นั่นก็คือเมื่อดัชนีปรับตัวขึ้นชีวิตเขาก็มีความสุข เมื่อดัชนีปรับตัวลงชีวิตเขาก็เป็นทุกข์

ความหวาดกลัวต่อการสูญเสียทำให้นักเล่นหุ้นมีความวิตกกังวลอยู่ตลอดเวลาตราบที่ยังมีหุ้นอยู่ในมือ การแก้ปัญหาสำหรับหลายคนก็คือการถือหุ้นให้สั้นลง โดยเฉพาะในช่วงที่หุ้นผันผวนสูงนั้นคนจำนวนมากไม่ยอมถือหุ้นข้ามวันด้วยซ้ำ นั่นเป็นเหตุที่ทำให้การซื้อขายแบบหักลบกลบหนี้ภายในวันเดียวกันหรือเรียกว่า Net Settlement หรือการซื้อหุ้นตอนเช้าแล้วขายตอนบ่ายมีมากถึง 20 – 30% ของการซื้อขายหุ้นทั้งตลาด

คนเล่นหุ้นจำนวนมากคงเห็นว่านั่นคือความสุขของการเล่นหุ้น คือเมื่อลงเงินแล้วก็อยากเห็นผลเร็วว่าได้หรือเสีย และคำว่าได้หรือเสียก็คือต้องเห็นเม็ดเงินในบัญชีว่ามีเพิ่มขึ้นหรือลดลง แน่นอน ถ้าเม็ดเงินเพิ่มขึ้นความสุขก็ตามมา แต่ถ้าเม็ดเงินลดลง ความสุขจากการเล่นหุ้นก็กลายเป็นความทุกข์

โดยเฉลี่ยแล้วคนที่เล่นหุ้นเก็งกำไรระยะสั้นซื้อๆขายๆเป็นนิจสินในช่วงเกือบ 30 ปีที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเปิดมานั้น ผมคิดว่านอกจากจะไม่ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนแล้ว ยังขาดทุนด้วย เพราะในช่วง 28 ปีของตลาดหลักทรัพย์นั้น การลงทุนให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยประมาณปีละ 6 – 7% เท่านั้น ในขณะที่คนเล่นหุ้นระยะสั้นต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายปีหนึ่งๆผมคิดว่ามากกว่านั้น เพราะฉะนั้นข้อสรุปของผมก็คือ คนเล่นหุ้นในช่วงที่ผ่านมาเกือบ 30 ปี โดยเฉลี่ยแล้วมีความทุกข์มากกว่าความสุข และนั่นทำให้คนส่วนใหญ่ไม่อยากจะลงทุนในหุ้น

วิธีการลงทุนในหุ้นที่จะมีความสุขมากกว่าความทุกข์ โดยเฉพาะสำหรับคนทั่วๆไปที่มีเงินออมระยะยาวนั้น ผมมีความเห็นว่าควรจะเป็นการลงทุนในแนว Value Investment ที่เน้นการลงทุนระยะยาวในหุ้นที่มีคุณภาพดีและราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรเป็น โดยสูตรง่ายๆที่ผมเสนอก็คือ

ข้อแรก กันเงินประมาณ 30% ของทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องหรือเงินในบัญชีที่คุณไม่จำเป็นที่จะต้องใช้อีกนานมาก(ไม่ต่ำกว่า 5 ปี) เอามาลงทุนในหุ้น โดยที่เงินนี้ถ้าเกิดต้องสูญเสียไปมาก คุณก็ยังไม่เดือดร้อน แต่อย่าเพิ่งห่วงไปว่าคุณจะสูญเสียมาก ผมพูดเผื่อไว้เท่านั้นเพราะโอกาสเกิดอย่างนั้นมีน้อย ถ้าคุณปฏิบัติตามวิธีที่ผมจะพูดต่อไป

ข้อสอง เลือกหุ้น 5 – 6 ตัวในอุตสาหกรรมต่างๆกัน โดยหุ้นแต่ละตัวจะต้องเป็นกิจการที่มีคุณภาพดี นั่นก็คือเป็นธุรกิจที่อยู่มานานพอสมควร มีกำไรและจ่ายปันผลตลอดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เจ้าของไม่มีประวัติที่เสียหาย และถ้าจะให้ปลอดภัยขึ้นไปอีก ก็ควรเป็นบริษัทที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมของเขาก็จะยิ่งดี แต่นี่ก็ยังไม่พอจะต้องพิจารณาประกอบกับข้อสาม

ข้อสาม ราคาที่ซื้อหุ้นดังกล่าวในข้อสองจะต้องถูก และการที่จะดูว่าหุ้นถูกหรือแพงนั้นจะต้องดูที่ค่า PE, PB และ DP โดยเงื่อนไขง่ายๆก็คือ ค่า PE ไม่ควรจะเกิน 10 เท่า ซึ่งแปลว่าการลงทุนจะให้ผลตอบแทนปีละไม่ต่ำกว่า 10% ค่า PB เป็นตัวประกอบว่าเราจ่ายเงินแพงกว่าผู้ถือหุ้นเดิมมากน้อยแค่ไหน พยายามอย่าให้เกิน 2 เท่า ค่า DP บอกว่าในแต่ละปีเราจะได้เงินปันผลคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของเงินที่เราลงทุนไป ซึ่งผมคิดว่าน่าจะไม่ต่ำกว่า 4% ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยเหลือเพียงปีละ 1%

ข้อสี่ เมื่อซื้อเสร็จแล้วก็ให้กอดหุ้นเหล่านั้นไว้อย่าไปขายเมื่อหุ้นขึ้นหรือลงในช่วงสั้นๆ โดยเฉลี่ยแล้วผมคิดว่าควรถือหุ้นไว้สัก 5 ปี นั่นก็คือ ถ้าคุณมีเงินลงทุน 1 ล้านบาท ปีหนึ่งคุณควรขายออกไปโดยเฉลี่ยเพียง 200,000 บาท แต่เมื่อขายแล้วก็ต้องเอาเงินที่ได้ไปซื้อหุ้นตัวใหม่แทน โดยที่การตัดสินใจขายหุ้นและซื้อหุ้นตัวใหม่นั้นมาจากการวิเคราะห์และติดตามที่จะกล่าวถึงในข้อห้า

ข้อห้า เมื่อคุณซื้อหุ้นแล้วคุณก็คือเจ้าของบริษัทคนหนึ่ง ดังนั้นคุณจะต้องติดตามผลการดำเนินงานของกิจการในทุกไตรมาส จะต้องติดตามข่าวคราวจากหน้าหนังสือพิมพ์แนวธุรกิจเป็นประจำ ติดตามการเคลื่อนไหวทางการตลาดของบริษัทซึ่งรวมถึงการโฆษณาประชาสัมพันธ์ต่างๆ และถ้าบริษัทเป็นผู้ขายสินค้าอุปโภคบริโภค คุณก็ควรจะลองใช้หรือคอยสังเกตว่าสินค้าหรือบริการของบริษัทเป็นอย่างไรด้วย

ข้อหก ในส่วนของราคาหุ้นนั้น คุณจะต้องไม่ตื่นเต้นเมื่อหุ้นตัวใดตัวหนึ่งวิ่งขึ้นหรือลงอย่างรวดเร็วในบางช่วง คุณไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบขาย สิ่งที่คุณควรสนใจมากกว่าก็คือมูลค่าของราคาหุ้นทั้งพอร์ตหรือของหุ้นทั้งหมดที่ถืออยู่ว่ามันปรับตัวขึ้นลงอย่างไร ถ้ามูลค่าปรับตัวขึ้นก็ถือว่าคุณมาถูกทาง และถ้ามันปรับตัวลงหลังจากลงทุนมานานพอสมควรแล้ว(เป็นปี) บางทีคุณอาจจะต้องทบทวนตัวหุ้นที่เลือกมา

ถ้าคุณทำอย่างที่กล่าวมาทั้ง 6 ข้อ อย่างมั่นคง ผมคิดว่าโอกาสที่คุณจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 10% โดยที่บางส่วนประมาณ 4 – 5% จะมาจากเงินปันผล และอีกส่วนหนึ่งมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นจะมีสูง นั่นหมายความว่าภายในเวลาประมาณ 7 ปี มูลค่าของพอร์ตลงทุนของคุณจะโตขึ้นเป็นเท่าตัว โดยที่คุณจะไม่ต้องกังวลว่าดัชนีตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร

คุณอาจจะกังวลบ้างในช่วงแรกๆที่คุณเริ่มลงทุนตามแบบที่กล่าว โดยเฉพาะถ้าคุณเฝ้าตามดัชนีหรือราคาหุ้นในพอร์ตมากเกินไป หรือคุณไปฟังนักเล่นหุ้นหรือเพื่อน “ผู้หวังดี” มากเกินไป
แต่ถ้าคุณผ่านช่วงเวลามาพอสมควรและพอร์ตคุณเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ จนโอกาสที่คุณจะ “ขาดทุน” คือมูลค่าของพอร์ตลดลงต่ำกว่าต้นทุน มีน้อยลงมากแล้ว เมื่อนั้นคุณก็จะเลิกกังวล และจะรู้สึกว่าการลงทุนของคุณนั้นไม่เสี่ยง ความมั่นใจในการลงทุนจะเพิ่มขึ้น และที่สำคัญคุณจะได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าการเล่นหุ้นระยะสั้น ทั้งหมดนี้จะทำให้คุณเป็นนักลงทุนที่มีความสุข

***********************

          ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=32175

วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เส้นแนวโน้ม Trend Line
เส้นแนวโน้ม (TREND LINE) หมายถึง ทิศทางของหุ้นที่มีการเคลื่อนที่ไปในแนวทางใดทางหนึ่ง ตามแนวโน้มนั้น ๆ ทำให้เราทราบถึงแนวโน้มของราคาหุ้นในอนาคต เราสามารถนำเส้นแนวโน้มไปหาแนวต้าน, แนวรับ หรือหาทิศทางของราคาได้ในแผนภูมิแบบแท่ง, แผนภูมิแบบแท่งเทียน หรือในแผนภูมิแบบ POINT & FIGURE และเราสามารถนำเอาเส้นแนวโน้มไปใช้ร่วมกับ เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคตัวอื่น ๆ ได้ เช่น RSI, MOMENTUM ฯลฯ

การวิเคราะห์แนวโน้ม Trend Line

การวิเคราะห์แนวโน้มสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะ คือ

แนวโน้มขึ้น (UPTREND)

แนวโน้มลง (DOWNTREND)

แนวโน้มที่เคลื่อนตัวไปทางด้านข้าง (SIDEWAYS TREND)


แนวโน้มขึ้น (UPTREND)

มีรูปแบบที่จุดยอดของราคาที่ขึ้นไปในแต่ละครั้งจะสูงกว่ายอดเก่า และราคาต่ำสุดของหุ้นที่ลดลงในครั้งใหม่จะสูงกว่าครั้งก่อน โดยเส้นแนวโน้มขึ้น (UPTREND LINE) จะเป็นเส้นตรงที่ลากผ่านจุดต่ำอย่างน้อยสองจุดในแนวขึ้น โดยไม่ควรมีจุดฐานที่ต่ำกว่าเส้นแนวโน้มขึ้นดังกล่าว ต่อมาหากราคาหุ้นตกทะลุผ่านเส้นแนวโน้มนี้ เป็นการบอกถึงแนวโน้มหุ้นจะเปลี่ยนเป็นลง


ชื่อ:  แนวโน้มขาขึ้น.gif
ครั้ง: 549
ขนาด:  8.7 กิโลไบต์


แนวโน้มลง (DOWNTREND)

มีรูปแบบที่จุดยอดของราคาที่ขึ้นไปในแต่ละครั้งจะต่ำกว่ายอดเก่า และจุดต่ำสุดของการลดลงครั้งใหม่จะต่ำกว่าครั้งก่อน โดยเส้นแนวโน้มลง (DOWNTREND LINE) จะเป็นเส้นตรงที่ลากผ่านจุดสูงสุดอย่างน้อยสองจุดในแนวลง โดยไม่ควรมีจุดยอดที่สูงกว่าเส้นแนวโน้มลงดังกล่าวต่อมา หากราคาหุ้นทะลุผ่านเส้นแนวโน้มนี้ขึ้นไป เป็นการบอกถึงแนวโน้มหุ้นจะเปลี่ยนเป็นขึ้น


ชื่อ:  แนวโน้มขาลง.gif
ครั้ง: 549
ขนาด:  7.9 กิโลไบต์

แนวโน้มที่เคลื่อนตัวไปทางด้านข้าง (SIDEWAYS TREND)

ระดับราคาจะวิ่งอยู่ภายในช่วงแนวรับและแนวต้านในแนวนอน โดยเมื่อราคาเคลื่อนตัวขึ้นและไปพบกับเส้นต้าน ราคาหุ้นจะดีดตัวลง ในทางตรงกันข้ามเมื่อราคาเคลื่อนที่ไปจนพบกับแนวรับ ก็จะดีดตัวขึ้น โดยเคลื่อนตัวสลับขึ้นลงไปมาในลักษณะแนวระนาบ


ชื่อ:  ออกข้าง.gif
ครั้ง: 551
ขนาด:  19.9 กิโลไบต์
            ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=32015

วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ช่วงนี้เล่นหุ้นไม่ได้เลย
รอให้ตลาดกลับตัวก่อนค่อยว่ากันใหม่
ระหว่างรอก็เทรด FX เล่น ๆ  ไปพลาง ๆ ก่อน
เปิดตลาดวันจันทร์จะ BUY EURGBP ตามระบบ
เด็กเทคนิคต้องมีวินัย เทรดไปตามระบบ
ไม่งั้นหมดตัวแน่ ๆ
"ไม่มีคำว่าสาย" ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ชื่อ:  img_003820copy1.jpg
ครั้ง: 630
ขนาด:  132.6 กิโลไบต์

ในเรื่องของการลงทุนในหุ้นนั้น นักวิชาการจำนวนมากมักจะบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ “เสี่ยง” กว่าการลงทุนในพันธบัตร เงินฝากธนาคาร หุ้นกู้ เพราะที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเงินต้นจะยัง “อยู่ครบ” เสมอ พร้อมกับดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแน่นอน นอกจากนั้น หุ้นก็ยังถูกมองว่ามีความเสี่ยงกว่าที่ดินหรือทองคำในสายตาของคนทั่วไปในแง่ที่ว่า ทั้งสองอย่างนั้น “จับต้องได้และไม่สึกหรอ” และมันรักษาคุณค่าของมันได้เสมอ ราคาทองคำและที่ดินมีแต่จะ “เพิ่มขึ้น” แม้ว่าในช่วงหลังนี้ราคาทองคำอาจจะมีการ “ปรับตัวลงบ้าง” ในระยะสั้น ๆ แต่ในระยะยาวแล้ว มัน “ไม่เสี่ยง” ผิดกับหุ้นที่ราคาขึ้นลงทุกวัน หุ้นบางตัวนั้น ราคาตกลงไปมากในเวลาสั้น ๆ จนแทบจะหมดค่า หุ้นสำหรับบางคนนั้นคงเหมือนกับ “กระดาษ” ที่ราคาขึ้นลงได้รวดเร็ว บางครั้งขึ้นไปหลายเท่าได้ในเวลาอันสั้น แต่บางครั้งก็สามารถตกลงมาได้มากมายแทบจะไม่มีค่าเหมือน “กระดาษ” ดังนั้น หุ้นจึงเป็นอะไรที่ “เสี่ยงมาก”


ข้างต้นนั้นก็เป็นการวิเคราะห์เรื่องของความเสี่ยงในบางมิติ นั่นก็คือ เป็นการวิเคราะห์โดยอิงอยู่กับการลงทุน “ระยะสั้น” และเป็นการมองทรัพย์สินหรือหุ้นเป็น “รายตัว” แต่ถ้าเรามองการลงทุนเป็น “ระยะยาว” และลงทุนในทรัพย์สินหรือหุ้นเป็นแบบ “พอร์ตโฟลิโอ” หรือกระจายการลงทุนโดยการถือทรัพย์สินหรือหุ้นเป็นกลุ่ม เรื่องของความเสี่ยงก็จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เหตุผลสำคัญก็คือ ในระยะยาวแล้ว มิติสำคัญที่เข้ามาเกี่ยวข้องอีกตัวหนึ่งก็คือ “อัตราเงินเฟ้อ” เพราะนี่จะทำให้เงินมีค่าลดลงแม้ว่าเม็ดเงินของเราจะยังอยู่ครบ ตัวอย่างเช่น ถ้าสมมุติว่าในอีก 20 ปีข้างหน้าอัตราเงินเฟ้อเท่ากับปีละ 3% แต่เงินลงทุนของเราได้ผลตอบแทนปีละ 2% เมื่อครบ 20 ปี เงินลงทุนของเราจะโตขึ้นจาก 100 บาท เป็น 149 บาท แต่ในวันนั้น สินค้าจะขึ้นราคาจาก 100 บาท เป็น 181 บาท ทำให้เรา “ขาดทุน” 32 บาท หรือซื้อของได้น้อยลงไปประมาณ 18% และนี่ก็คือความเสี่ยงของการถือทรัพย์สินที่มีมูลค่าคงที่แต่ไม่เติบโตหรือเติบโตช้ากว่าเงินเฟ้อในระยะยาว


มิติของการลงทุนแบบ “พอร์ตโฟลิโอ” นั้น ช่วยให้การลงทุนมี “ความผันผวน” น้อยลงมากทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การลงทุนในทรัพย์สินอย่างอื่นนั้น อาจจะมองได้ไม่ชัด แต่การลงทุนในหุ้นนั้น ถ้าเราลงทุนในหุ้นเพียงตัวเดียว ความเสี่ยงจะสูงมาก เนื่องจากหุ้นตัวนั้นอาจจะประสบปัญหารุนแรงได้ กิจการอาจจะเจ๊งไปและทำให้ราคาหุ้นกลายเป็นศูนย์ แต่ถ้าเราถือหุ้นหลาย ๆ ตัว โอกาสที่ทุกกิจการจะล้มละลายมีน้อยมาก ดังนั้น ราคาของหุ้นก็จะคละเคล้ากันไป บางตัวดี บางตัวอาจจะไม่ค่อยดี แต่โดยรวมแล้ว ราคาหุ้นก็จะเปลี่ยนแปลงไปไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น แม้ว่าเราจะถือหุ้นเป็นพอร์ตหลาย ๆ ตัวหรือถือกองทุนรวมที่มีหุ้นจำนวนมาก มูลค่าหุ้นก็อาจจะลดลงได้เนื่องจากปัจจัยร้อยแปด แต่ในระยะยาวแล้ว มูลค่าหุ้นโดยรวมก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย และถ้าเราสามารถถือหุ้นได้ถึง 20 ปี โอกาสที่มูลค่าหุ้นจะลดลงนั้นน้อยมาก ในทางตรงกันข้าม โอกาสที่หุ้นจะขึ้นไปสูงจะมีมาก โดยเฉลี่ยแล้ว ผลตอบแทนจะอยู่ที่ประมาณ 10% ต่อปี เงิน 100 บาทจะกลายเป็นประมาณ 673 บาทในเวลา 20 ปี เทียบกับการฝากเงินที่เราจะได้ประมาณ 149 บาทแล้ว ต้องบอกว่าการลงทุนในหุ้นนั้น ดีกว่ามากถ้าเรามีเวลาลงทุนถึง 20 ปี หรือเป็นการลงทุนระยะยาว


ข้อสรุปในขั้นนี้ก็คือ ถ้าเรามีเวลาลงทุนถึง 20 ปีแล้ว การลงทุนในหุ้น โดยการลงทุนแบบเป็นพอร์ตโฟลิโอหรือถือกองทุนรวม จะให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดโดยที่มีความเสี่ยง “ต่ำที่สุด” และนี่ทำให้เราควรถือหุ้นเป็นสัดส่วนที่มากเมื่อเทียบกับทรัพย์สินอย่างอื่น มากเท่าไรนั้นคงขึ้นอยู่กับความมั่งคั่งและความรู้เกี่ยวกับการลงทุนของแต่ละคน แต่ใจผมคิดว่าอย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 50% ของทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ และคนที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนเป็นอย่างดีจะมีหุ้นเกิน 90% ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก


ประเด็นสำคัญต่อมาก็คือ คนมักจะคิดว่าตนเองแก่แล้วหรือมีอายุมากแล้ว การลงทุนในหุ้นอาจจะเป็นเรื่องที่ “สายเกินไป” แล้ว เขาไม่มีเวลา 10 หรือ 20 ปี ที่จะทำให้การลงทุนในหุ้นเป็นเรื่องที่ “ไม่เสี่ยง” ดังนั้น เขาขอฝากเงินหรือซื้อพันธบัตรดีกว่า นี่อาจจะเป็นเรื่องที่ “ผิดพลาด” เรามาดูกันว่าเพราะอะไร?


เรื่องที่ทำให้คนคิดผิดน่าจะอยู่ที่ประเด็นของ “อายุเกษียณ” หรือเวลาเลิกทำงานที่มักกำหนดไว้ที่ 60 ปี นี่ทำให้เรารู้สึกว่าเราแก่แล้วตั้งแต่อายุใกล้เกษียณที่ 50 ปีขึ้นไป แต่ความเป็นจริงก็คือ อายุของคนกำลังยืนขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับสุขภาพก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ และผมคิดว่า คนรุ่นนี้จำนวนมากน่าจะมีอายุถึง 80 ปีขึ้นไปก่อนตาย นอกจากนั้น ความสามารถในการลงทุนในหุ้นก็น่าจะทำได้จนถึงอายุ 80 ปี และนี่ทำให้ผมคิดว่าการวางแผนเกี่ยวกับการลงทุนของเรานั้น เราควรกำหนดว่าเราจะลงทุนจนถึงอายุ 80 ปี และถ้าเป็นเช่นนั้น คนส่วนใหญ่ที่ยังไม่เกษียณในวันนี้หรือแม้แต่คนที่กำลังเกษียณจึงมีเวลาที่จะลงทุนอีกถึง 20 ปี ซึ่งทำให้การลงทุนในหุ้นเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด


คำแนะนำของผมสำหรับคนที่คิดว่าตนเอง “แก่” เกินที่จะเริ่มลงทุนก็คือ การลงทุน โดยเฉพาะในแนว Value Investment นั้น ไม่ได้ยากหรือใช้พลังอะไรมากมายนักแต่มันใช้ความสุขุมรอบคอบและใจเย็นยึดมั่นศรัทธาในสิ่งที่เราเห็นว่าถูกต้องซึ่งสิ่งเหล่านี้คนมีอายุไม่ได้เสียเปรียบคนหนุ่มสาวเลย ดังนั้น คนแก่ทำได้แน่นอน แต่จริง ๆ แล้วบางทีคุณอาจจะไม่ได้แก่อย่างที่คุณคิด และถ้าคุณสามารถลงทุนได้อีกถึง 20 ปี คุณก็สามารถเริ่ม “อาชีพใหม่” นี้ได้แม้ว่าคุณจะอายุ 60 ปีแล้ว และถ้าคุณทำได้ดี โอกาสที่คุณจะเป็น “เซียน” และมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นมหาศาลก็ยังมีอยู่


พูดถึงเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึง แอนน์ ไชเบอร์ ซึ่งผมเคยเขียนถึงนานมาแล้วว่า เธอน่าจะเป็น “ไอดอล” ของนักลงทุน “คนแก่” ทั่วโลก เพราะเธอเริ่มลงทุนเมื่ออายุ 50 ปี โดยที่เธอเป็นเพียงเสมียนและมีเงินเดือนน้อยมากไม่ต้องพูดถึงความรู้ในการเลือกหุ้น เธอเริ่มจากเงินประมาณ 5,000 ดอลลาร์ โดยลงทุนซื้อหุ้นที่เป็น “ซุปเปอร์สต็อก” ที่ผลิตและขายสินค้าที่เธอรู้จักดีเช่น โคคาโคลา บริษัทยาเช่นเชอริงพลาวก์ เธอซื้อแล้วก็เก็บ ติดตามดูกิจการของบริษัทไปเรื่อย ๆ เมื่อได้เงินปันผลมาก็ลงทุนเพิ่มในหุ้นทบต้นไปเรื่อย ๆ สุดท้ายในวันที่เธอตาย ความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านเหรียญ ซึ่งเธอบริจาคให้กับโรงพยาบาลหมดเนื่องจากเธอไม่เคยแต่งงานและไม่มีญาติพี่น้อง สิ่งที่ทำให้เธอประสบความสำเร็จระดับนั้นก็คือ เวลาในการลงทุนอีก 51 ปี เพราะเธอตายตอนอายุ 101 ปี และผลตอบแทนที่เธอทำได้คือเฉลี่ยปีละประมาณ 17-18% ซึ่งก็เป็นผลตอบแทนที่ดีมาก ๆ แต่ก็เป็นสิ่งที่ Value Investor มีโอกาสทำได้


คนมักจะถามว่า แก่แล้วจะหาเงินมาก ๆ ไปทำอะไร ได้แล้วก็ “ไม่มีโอกาสใช้” หรือคนที่มีเงินเก็บ “พอดี ๆ” ก็อาจจะกลัวว่าจะขาดทุนจากหุ้นแล้วเงินจะไม่เหลือพอใช้จนตาย คำตอบของผมก็คือ เราไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไร เราอาจจะคำนวณว่าเราจะตายเมื่ออายุ 80 ปี แต่เราอาจจะอยู่จนถึง 100 ปีก็ได้ และเมื่อถึงเวลานั้นเรายังจะมีเงินพอใช้หรือไม่? ดังนั้น การไม่ลงทุนในหุ้นจึงอาจจะเป็นเรื่องที่เสี่ยงพอ ๆ หรือมากกว่าการลงทุนในหุ้นก็ได้ ข้อสรุปสุดท้ายของผมก็คือ มีโอกาสสูงที่คุณควรลงทุนในหุ้นแม้ว่าคุณจะอายุมากแล้ว ไม่มีคำว่าสายเกินไป
          ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=32000&s=af52f7477e5a65e32ec09d10227c96af

วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555

คำเตือนสั้นๆของ Peter Lynch

ภาวะตลาดนั้นมีความผันผวนอย่างมาก และผมเชื่อว่าไม่มีใครสามารถคาดเดามันได้ ในความเป็นจริง คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า เดียวมันก็จะเกิดขึ้นอีก แต่จริงๆแล้วมันจะเกิดขึ้นในทางตรงข้าม มันทำให้ผมนึกถึงเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับชาวมายา

ในความเชื่อของชาวมายานั้น จักรวาลจะถูกทำลาย 4 ครั้ง และทุกครั้งพวกเขาก็จะเรียนรู้บทเรียนและจะทำทุกวิถีทางไม่ให้มันเกิดขึ้นมาอีก ครั้งแรกเกิดน้ำท่วมและผู้ที่รอดตายก็ได้อพยพตัวเองไปอยู่ที่สูงในป่า สร้างเขื่อนและกั้นกำแพงและสร้างบ้านบนต้นไม้ แต่น่าเสียดายครั้งที่สองโลกกลับถูกทำลายด้วย"ไฟ"

ผู้ที่รอดชีวิตก็หนีไกลจากป่าเท่าที่จะเป็นไปได้ พวกเขาสร้างบ้านใหม่ด้วยหินและอาศัยอยู่ตามรอยแยกของพื้น ในไม่ช้าโลกก็ถูกทำลายด้วยแผ่นดินไหว ผมจำเรื่องที่ 4 ไม่ได้แต่อาจจะเป็น"เศรษฐกิจตกต่ำ" แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรชาวมายาก็จะพลาด พวกเขากำลังยุ่งมากที่จะสร้างบ้านป้องกันแผ่นดินไหวครั้งต่อไป


มนุุษย์ปัจจุบันก็เหมือนชาวมายาในอดีต พยายามป้องกันในสิ่งที่มันเกิดไปแล้ว และเราก็รอดมาแล้ว(แน่นอน ไม่มีใครรู้มาก่อน) ไม่นานมานี้มีคนกังวลว่าน้ำมันจะเหลือเพียง 90 เหรียญต่อบาร์เรล แต่มันก็วิ่งไป 105 เหรียญต่อบาร์เรล คนก็วิตกอีกว่ามันราคาสูงเกินไป แต่มันก็วิ่งอยู่ใน 100 เหรียญมาหลายเดือน

ครั้งหนึ่งพวกเขาเตรียมตัวสำหรับเงินเฟ้อที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่เราได้เงินฝืดมาแทน คนก็กลับมากังวลว่าเงินฝืดจะร้ายแรงกว่าเดิม แต่น่าเสียดายเงินเฟ้อก็กลับมาอีกครั้งและมันก็รุนแรงกว่าเดิม

ความกังวลมีอยู่ทุกที มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่กังวลกับสิ่งที่มันเคยเกิดขึ้นไปแล้ว และมันก็ไม่มีหลักฐานอะไรยืนยันว่ามันจะเกิดขึ้นอีก

- Peter Lynch

ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=31967
การแก้แค้นของจอนนี่ จอห์นนี่ เด็กชายอายุ 10 ขวบ เดินไปตามทาง..มือนึงลากรถลาก

อีกมือนึ่งดึงเชือกที่ผูกติดกับซากกบตัวแบนแต๊ดแต๋..

เมื่อเขาเดินมาถึงหอนางโลม.. เขาก็เคาะประตู..

หญิงวัยกลางคนนางนึงออกมาเปิดประตู

และเมื่อหญิงผู้นั้นเห็นจอนห์นี่กับรถลากและซากกบ

หล่อนจ้องมองเขาแล้วถามว่าเขาต้องการอะไร

จอห์นนี่ตอบว่า "ผมรู้น่าว่าคุณขายอะไร ผมมีเงินนะ

และผมก็จะไม่ไปไหนจนกว่าผมจะได้สิ่งที่ผมต้องการ"

หญิงผู้นั้นขำ และคิดจะหยอกเด็กน้อยเล่น

หล่อนจึงบอกให้เขาเข้ามาข้างในก่อน

"เข้ามาสิ แล้วก็เลือกหญิงสาวที่เธอต้องการ"

จอห์นนี่ถามว่า "มีสาวคนไหนที่เป็นโรคบ้างมั้ยเนี่ย?"

หญิงวัยกลางคนประหลาดใจนิดๆแต่หล่อนก็ตอบไปว่า

"ไม่มีหรอก"

จอห์นนี่เถียง "แต่ผมได้ยินพวกผู้ชายพูดกันนะว่า

ใครที่มีเซ็กซ์กับนางมาเบลที่หอนางโลมแล้วนั้น

จะต้องไปโรงพยาบาลและโดนฉีดยา...

ผมเอาคนนั้นแหละ.. ผมขอเลือกมาเบล..

ผมมีตังค์จ่ายน่า ไม่ต้องห่วง"

หญิงวัยกลางคนมองจอห์นนี่อย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

แต่ในที่สุดหล่อนก็บอกจอห์นนี่ว่า

"เอาหล่ะ ถ้าอย่างงั้นจะเลือกมาเบลก็ได้

ขึ้นไปชั้นบนนะ มาเบลอยู่ห้องแรกทางขวามือ"

จากนั้นจอห์นนี่ก็เดินไปที่บันไดพร้อมกับลากซากกบที่ถูกรถทับไปด้วย..

10 นาทีต่อมา

เขาก็เดินลงบันไดมา

มือก็ยังลากซากกบตายอยู่อย่างนั้น

เขาจ่ายเงินให้หญิงวัยกลางคน

แล้วจูงรถลากมุ่งหน้าไปทางประตู

หญิงวัยกลางคนเรียกให้เค้าหยุดก่อนแล้วถามว่า

"ถามหน่อยเถอะ ไหน ๆ เธอก็รู้เรื่องของมาเบลแล้ว

แล้วทำไมถึงเลือกสาวคนเดียวที่ติดโรคอีก ทำไมไม่เลือกคนอื่นหล่ะ?"

จอห์นนี่ตอบว่า..

"อ๋อ..มันเป็นแผนการแก้แค้นของผมน่ะ..คืนนี้พอผมกลับบ้าน

พ่อกับแม่จะออกไปกินข้าวนอกบ้านกัน แล้วทิ้งให้ผมอยู่กับพี่เลี้ยง

พอพ่อกับแม่ออกไป ผมก็จะมีอะไรกับพี่เลี้ยงซะ..แล้วพี่เลี้ยงผมก็จะติดโรคที่ผมเพิ่งติดไปเนี่ยแหละ..

พอพ่อกับแม่กลับมาบ้าน พ่อก็จะขับรถไปส่งพี่เลี้ยงของผม

ระหว่างทางพ่อก็จะมีอะไรกับพี่เลี้ยง..แล้วพ่อก็จะติดโรค..

พอพ่อกลับมาบ้าน พ่อก็มีอะไรกับแม่..แล้วแม่ก็จะติดโรคอีก..

แล้วพอถึงตอนเช้า พอพ่อไปทำงาน คนส่งนมก็จะมาส่งนม

แล้วเขาก็จะมีอะไรกับแม่ผม..แล้วเขาก็จะติดโรค..

ไอ้คนส่งนมเนี่ยแหละครับที่มันขับรถทับกบของผมตาย"

ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=31970
10 อันดับทะเลไทย สวยที่สุดในดวงใจ ^^
สำหรับคนรักการเที่ยวทะเลแล้ว ทะเลไทยขึ้นชื่อว่า เป็นทะเลที่สวยติดอันดับโลก ไม่ว่าจะเป็นฝั่งอันดามัน หรือ อ่าวไทย วันนี้ก็เลยอยากจะจัดอันดับทะเล
เที่ยวเมืองไทยไม่ไปไม่รู้ รักประเทศไทย i love u


อันดับ 1 :อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน น้ำใสจนนึกว่าเรือลอยได้ ^^ ถ้าไปเที่ยวแนะนำ 3 วัน 2 คืนครับ จุใจแน่นอน ทั้งดำน้ำ และ วิวสวยๆ จนไม่อยากกลับเลยละ

ชื่อ:  เกาะสิมิลัน.jpg
ครั้ง: 75
ขนาด:  58.1 กิโลไบต์

อันดับ 2 : อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ ที่ที่ดำน้ำตื้นที่สวยที่สุดในประเทศ ไม่เคยคิดว่า จะดำลงไปใต้ทะเล แล้วพบกับ ประการังเขากวาง ยาว สุดลูกหูลูกตา สวยจับใจ

ชื่อ:  เกาะสุรินทร์.jpg
ครั้ง: 74
ขนาด:  69.0 กิโลไบต์

ชื่อ:  เกาะสุรินทร์2.jpg
ครั้ง: 74
ขนาด:  150.3 กิโลไบต์

อันดับ 3 : เกาะตาชัย ตอนนี้ได้จัดให้อยู่เป็นเกาะที่ 10 ในหมู่เกาะสิมิลันเรียบร้อยแล้วค่ะเพิ่งเปิดเกาะได้ สองปีนิดๆ หาดทรายปุยนุ่น ทะเลใสเครียร์ เหมาะกับไป 1 day trip มากๆ ค่ะ ชิวดีจริงๆ
ชื่อ:  เกาะตาชัย.jpg
ครั้ง: 74
ขนาด:  50.2 กิโลไบต์

อันดับ 4 : อุทยานแห่งชาติตะรุเตา ( อาดัง ราวี หลีเป้ะ และเกาะเล็กๆ อีก 51 เกาะ) ไปที่เดียวเที่ยวได้ทุกเกาะ อยู่ใกล้ๆ กันหมดเลยค่ะ อยากจะอยู่ซักอาทิตย์นึง

ชื่อ:  เกาะตะรุเตา.jpg
ครั้ง: 74
ขนาด:  245.4 กิโลไบต์

อันดับ 5 : อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตนธารา - หมู่เกาะพีพี
ที่เที่ยวในตำนาน ยุคบุคเบิกเลยก็ว่าได้ค่ะ ตอนนี้กลายเป็นเมืองไปแล้วเสียความเป็นธรรมชาติไปเยอะค่ะ แต่ความสวยงาม ก็ยังคงอยู่แต่ก็ไม่สวยเท่าเดิม ที่เที่ยวที่มีคนรู้จักมากมายก็คือ อ่าวมาหยา อ่าวปิเละ


ชื่อ:  หาดนพรัตน์.jpg
ครั้ง: 74
ขนาด:  69.6 กิโลไบต์

อันดับ 6 : เกาะราชา อยู่ใกล้ภูเก็ตนิดเดียวค่ะ เหมาะกับการเที่ยวชิวๆมากๆ มีชายหาดเล็กๆ รอบเกาะ หลายที่ เลยค่ะ

ชื่อ:  เกาะราชา1.jpg
ครั้ง: 74
ขนาด:  42.6 กิโลไบต์[/CENTER]

อันดับ 7 : onedaytrip ทะเลแหวก เกาะห้อง ไร่เลย์ ไปวันเดียวก็เที่ยวได้ทุกที่ค่ะ ทะเลกระบี นำสีเขียวใส สวยมั่ก

ชื่อ:  ทะเลแหวก.JPG
ครั้ง: 74
ขนาด:  17.5 กิโลไบต์

ชื่อ:  เกาะห้อง.jpg
ครั้ง: 74
ขนาด:  60.6 กิโลไบต์

ชื่อ:  อ่าวไร่เลย์.jpg
ครั้ง: 74
ขนาด:  94.0 กิโลไบต์

อันดับ 8 : เกาะไข่นอก เกาะเล็กๆ เป็นรูปไข่เดินได้รอบเกาะภายใน 20 นาที 555 เป็นเกาะแวะ เวลาทัวร์เค้าไปเกาะอื่นๆ เช่นพีพี

ชื่อ:  เกาะไข่นอก.jpg
ครั้ง: 74
ขนาด:  65.5 กิโลไบต์

อันดับ 9 : เกาะหมาก มาทางอ่าวไทยกันบ้างค่ะ

ชื่อ:  เกาะหมาก.jpg
ครั้ง: 74
ขนาด:  67.5 กิโลไบต์

อันดับ 10 : เกาะกูด อ่าวไทย

ชื่อ:  เกาะกูด.jpg
ครั้ง: 74
ขนาด:  39.2 กิโลไบต์

ชื่อ:  เกาะกูด1.jpg
ครั้ง: 75
ขนาด:  149.3 กิโลไบต์

วันหยุดยาวนี้เพื่อนๆชาว S2M คงมีโปรแกรมพักผ่อนกันแน่นอน ขอให้เที่ยวให้สนุกนะค่ะ ไว้ถ้าใครมีโอกาส ลงรีวิวให้ดูด้วยนะค่ะ ^^ ส่วน NangFah วันหยุดยาวนี้ขอเวลาออกไปตามหาสายชลนะค่ะ อิอิอิ^^

         ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=31988

แค่หกส่วนก็พอ

ที่กรุงไทเปมีผู้รับเหมาก่อสร้างคนหนึ่ง  เป็นคนหนุ่มที่ชาญฉลาดที่รู้กันทั้งวงการ  มีหัวการค้าเป็นเลิศ  ทำงานคล่องแคล่วว่องไว  พร้อมลุยงานหนัก...