วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
เพื่อนของความล้มเหลว
เมื่อเจอกับความล้มเหลวในที่สุดแล้วเขาก็จะแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนของเขา คือ ความสำเร็จ นั่นเอง
วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
คำเตือนสั้นๆของ Peter Lynch
ไม่ว่าคุณจะใช้วิธีไหนในการคัดเลือกหุ้นหรือกองทุนรวม สุดท้ายแล้วสิ่งที่จะตัดสินว่าคุณจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวคือความสามารถในการเพิกเฉยต่อความกังวลเรื่องต่างๆในโลกได้ยาวนานพอ สิ่งที่จะกำหนดชะตากรรมของนักลงทุนไม่ใช่ความฉลาดหรือวิธีการคัดเลือกหุ้นแบบพิศดาร แต่เป็นความสามารถในการควบคุมอารมณ์ต่างหาก
นักลงทุนขี้ตกใจจะถูกกดดันให้ออกจากตลาดในยามที่ตลาดเต็มไปด้วยข่าวร้ายไม่ว่าพวกเขาจะเฉลียวฉลาดปานใดก็ตาม
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=53542
วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
3 ขั้นตอนที่ทำให้ร่ำรวยและสำเร็จในการลงทุน
การลงทุนหุ้นก็เหมือนงานอื่นๆ ถ้าอยากสำเร็จ คุณต้องทราบ “ขั้นตอนที่ถูกต้อง” ซึ่งจะทำให้คุณสำเร็จ สมหวังและทำกำไรจากหุ้นตามต้องการ
การทำผิดขั้นตอน ย่อมนำสู่ผลลัพธ์ที่ผิด เป็นการ “เสียแรงและเวลา” ประหนึ่งต้องการให้รถเดินหน้าแต่ใส่เกียร์ถอยหลัง ย่อมไม่เกิดผลตามที่ต้องการ
การรู้ “ขั้นตอนที่ถูกต้อง” จึงสำคัญมากต่อนักลงทุน อุปมาดังลายแทงขุมทรัพย์ สำคัญต่อนักล่าสมบัติ
โดย Stephen W. Bigalow ได้เขียน “ขั้นตอนที่ถูกต้อง” ในการลงทุน ที่จะพาคุณร่ำรวยและประสบความสำเร็จ โดยประกอบด้วย 3 ข้อ ดังนี้
1. เลือก “วิธีการลงทุน” ให้ถูกต้อง
วิธีการลงทุนที่ถูกต้อง คือ สิ่งแรกนักลงทุนต้องมี เพราะการนำวิธีที่ถูกต้องมาลงทุน จะทำให้คุณอยู่รอด ไม่ขาดทุน และมีกำไรจากตลาดหุ้นได้
กฏข้อหนึ่งที่ควรรู้คือ “ในโลกการลงทุน หากสิ่งใดไม่ได้ผล สิ่งนั่นจะไม่ดำรงอยู่” คุณจึงควรเลือกใช้ “วิธีการลงทุน” ที่ได้รับการพิสูจน์เป็นร้อยๆปีแล้วว่า “Work”
เพราะจะประกันว่า หากคุณเลือกวิธีนี้แล้ว สิ่งที่รออยู่ปลายทางคือ “ความสำเร็จ” หาใช่ “ความสูญเสียและว่างเปล่า”
หากคุณเป็นคนธรรมดาที่ไม่เก่งขนาดสร้างวิธีลงทุนใหม่ อันจะคงอยู่ไปอีกร้อยๆปี ก็เลือกมาสักวิธีหนึ่งที่ถูกจริตและคิดว่าถนัด แล้วฝึกฝนให้เชี่ยวชาญ ชำนาญ จนใช้ลงทุนจริงได้
2. สู้กับตัวเอง
ข่าวดีคือ ปัจจุบัน ไม่มี “ความลับเชิงทฤษฎี” ของวิธีการลงทุน มันแพร่หลายและเข้าถึงง่ายมาก คุณสามารถหามันได้จากอินเตอร์เน็ต ร้านหนังสือ หรือการสัมนา
คำถามคือ เมื่อทุกคนสามารถรู้วิธีที่ถูกต้อง แล้วทำไม ??? หลายคนจึงไม่สามารถทำ “กำไร” จากตลาดหุ้น
คำตอบคือ วิธีที่ถูกต้อง ก็ยังไม่เพียงพอที่จะกำจัด “ศัตรูหมายเลข1” นั่นคือ “อารมณ์” ของนักลงทุนเอง
โดยอารมณ์จะส่งผลให้ “ผิดพลาดและทำตรงข้าม” กับทฤษฎี เช่น โลภอยากได้ส่วนต่างราคา จนซื้อหุ้นที่รู้ทั้งรู้ว่า “ราคาแพงสุดขีด” หรือ กลัวจนขายหุ้นเมื่อราคาลด ทั้งที่พื้นฐานยังดีเยี่ยม เป็นต้น
ส่งผลให้ “เจ๊งตลอด” แม้ว่าจะแน่นทฤษฎีแค่ไหนก็ตาม
การควบคุมอารมณ์ คือ สิ่งสำคัญที่สุด และทำยากสุดๆด้วย เพราะอารมณ์เป็นเรื่อง “สัญชาตญาณ” มันเป็นเหมือนเงาที่ สลัดยังไงก็ไม่หลุด และสามารถผลักดันให้เราทำบางอย่างได้โดยที่ไม่รู้ตัว
ตัวอย่างเช่น เมื่อเราเดินในความมืด แล้วเห็นบางสิ่งที่มีขนาดใหญ่ขดอยู่ปลายเท้า เราจะเสียววูบด้วย “ความกลัว” ขาเราจะก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติ แม้ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งนั้นคืออะไร อาจจะเป็นงูเหลือม เศษผ้า หรือยางธรรมดาก็ได้ แต่อารมณ์กลัว ก็ทำให้ขาเราก้าวถอยหลังโดยสมองไม่ทันคิดด้วยซ้ำ
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า เมื่อกลัว หุ้นดีกลับขายทิ้ง แต่พอโลภ ช้างก็ตัวเท่าหมู หุ้นไม่ดีกลับกลายเป็นของมีค่าได้
นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ จึงไม่จำเป็นต้องรู้ทฤษฎีที่ซับซ้อน แต่ต้องสามารถควบคุม “อารมณ์” เพื่อให้ปฎิบัติตามวิธีการลงทุนที่ถูกต้องได้
3. ทำซ้ำๆ
เมื่อ “ทฤษฎีถูกต้อง” และ ปฎิบัติโดยไม่ถูก “อารมณ์” ครอบงำ คุณก็พร้อมที่จะเดินทางสู่ความสำเร็จ
อย่างไรก็ตาม ยังมีกฏข้อสุดท้ายที่เสมือน “เข็มขัดและถุงลมนิรภัย” อันช่วยให้คุณปลอดภัยตลอดเส้นทาง
นั่นคือ “ทำกฏข้อ 1-2 ซ้ำๆ อย่างมีวินัย ” จนกว่าคุณจะออกจากตลาด
เพราะตลาดหุ้นมีความเสี่ยงตลอดเวลา มันเหมือนคนโรคจิตที่พร้อมหาเรื่องคุณทุกวัน หากช่วงใดคุณไม่มี “วินัย” คุณอาจ “เจ็บตัว” จากตลาดหุ้นได้ ซึ่งหากคุณเกิดซวยในช่วงที่ใส่เงินเต็มพอร์ตพอดี ความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจรุนแรงมากๆ
บทเรียนล้ำค่าของกฏนี้คือ ชีวิตนักเก็งกำไรบันลือโลกอย่าง เจสซี่ ลิเวอร์มอร์ (JL) JL มีฝีมือสุดยอด เขาเก่งจนเป็น millionaire ก่อนอายุ 30 ปี ทั้งที่พื้นฐานครอบครัวมาจากชาวไร่ที่ยากจนมาก ทฤษฎีลงทุนของเขาก็ได้รับการยกย่องและสืบเนื่องมาถึงทุกวันนี้
อย่างไรก็ตาม JL ได้ทิ้ง “บทเรียนสำคัญ” ให้กับนักลงทุนรุ่นหลัง นั่นคือ ความสำคัญของวินัย ชีวิตของ JL ขาดทุนหนักหลายครั้ง โดย JL กล่าวว่า การขาดทุนไม่ได้มาจากทฤษฎีผิดพลาด แต่เป็นเพราะเขาแหกกฏเอง ในบางครั้งเขาไม่สามารถ “ฝืนใจ” ทำตามกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้ จนทำให้ขาดทุนอย่างหนัก
และนี้คือสิ่งสะท้อนว่า ถึงเยี่ยมยุทธแค่ไหน หากขาดวินัย ก็มีสิทธิ “เจ๊ง” ได้เสมอ
ดังนั้น การปฎิบัติที่ถูกต้องโดยไม่ถูกอารมณ์ครอบงำ คือสิ่งที่ต้องติดตัวนักลงทุนตลอด ประหนึ่งเงาต้องติดตามคนครับ
สรุป
“ขั้นตอนที่ถูกต้อง” คือสิ่งสำคัญที่นักลงทุนต้องทราบ โดยมี 3 ขั้นตอนคือ 1. ใช้วิธีที่ถูกต้องลงทุน 2 ควบคุมอารมณ์ให้ได้ 3 ทำข้อ 1-2 ซ้ำเรื่อยๆ การปฎิบัติตามขั้นตอนที่ถูกต้องทำให้นักลงทุนอยู่รอด และทำกำไรจากตลาดหุ้นได้ครับ
ขอบพระคุณครับ
นักเก็งกำไรด้วยปัจจัยพื้นฐาน
วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
ข้อคิดดีๆ โดนใจจากพี่บอย วิสูตร
ครั้งหนึ่ง
โกวเล้งเขียนประโยคไว้ในนิยายของเขาว่า
"ชีวิตคนเราจะมีสิบปีสักกี่ครั้งกัน"
ผมชอบประโยคนี้มาก
มันจริงอย่างยิ่ง
ถ้าคนเราอายุเฉลี่ยเจ็ดสิบปี
เราก็มีสิบปีแค่เจ็ดครั้ง
สิบปีแรก หมดไปกับความไร้เดียงสา
สิบปีต่อมา หมดไปกับการศึกษาเล่าเรียน
สิบปีต่อมา หมดไปกับการทำงานและการใช้ชีวิต
สิบปีต่อมา หมดไปกับการสร้างฐานะ สร้างครอบครัว
สิบปีต่อมา หมดไปกับการลงหลักปักฐาน รักษาสิ่งที่สร้างมา
สิบปีต่อมา หมดไปกับการดูแลรักษาสุขภาพกายใจให้แข็งแรง
สิบปีสุดท้าย หมดไปกับการปล่อยวางทุกสิ่ง รอคอยการกลับบ้าน
แต่ละสิบปีผ่านไปไวเหมือนโกหก
อีกไม่นานปีนี้ก็จะผ่านไปแล้ว
มีอะไรที่เราทำไปแล้วมากมาย
และก็ยังมีอะไรอีกมากมายที่เรายังไม่ได้ทำ
เวลาคือหน่วยเงินในกำมือของเราที่เอาไปแลกสิ่งอื่น
เราเอาเวลาไปแลกงาน
เราเอางานไปแลกเงิน
แต่เราก็ไม่เคยเอาเงินไปแลกเวลาคืนกลับมาได้สักที
ถ้าธนาคารเวลามีจริง
เราก็ไม่เคยมีสมุดบัญชีสักเล่ม
ที่จะให้เราดูได้ว่าตอนนี้เหลือเวลาอยู่เท่าไหร่?
เรารู้ว่าเราใช้ "สิบปี" ของเราไปกี่ครั้งแล้ว
แต่เราไม่อาจรู้ว่าเราจะใช้ "สิบปี" ที่เหลือของเราได้ครบมั้ย?
แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับ
เราใช้เวลาสิบปีของเราไปคุ้มค่าหรือเปล่า?
เมื่อเราหันหลังกลับมา
ขอให้พูดได้เต็มปากว่าเราใช้มันไปอย่างไม่น่าเสียดาย
"ชีวิตคนเราจะมีสิบปีสักกี่ครั้งกัน"
ใช้สิบปี เจ็ดครั้ง ของเราให้คุ้มค่าครับ
(credit : Boy's Thought)
พลังของการ “รอ”
Caseที่1.
เคยมี2คน มาปรึกษาผมว่าอยากลงทุนในหุ้นเพราะเห็นช่วงนี้ตลาดหุ้นบูมมาก หุ้นขึ้นแทบจะทุกตัวในตลาด มีคนรวยเกิดขึ้นมาเต็มไปหมด แต่เค้า2คนบอกผมว่า
อยากลงทุนในหุ้นระยะยาวเป็นการออมเงินไปในตัวหรือแบบVIที่เราเรียกๆกันนั่นเอง และตอนนี้เงินเค้าก็พร้อมแล้ว ช่วยแนะนำหน่อย
ผมเลยตอบเค้าไปว่างั้นอยู่เฉยๆ รอไปก่อน และช่วงที่รอนี้คุณก็เอาเวลาไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมซะ ลองฝึกอ่านงบการเงินให้เก่งๆ เพราะตอนนี้ราคาหุ้นหลายตัวแพงมากเกินไปแล้ว ยังมีเวลาอีกเยอะให้ลงทุน ไม่ต้องรีบ
ครับ ผลสุดท้ายมีคนนึง“รอไม่ได้” เพราะเหตุผลที่ว่า ตอนนี้ตลาดกำลังดี เศรษฐกิจก็ไม่แย่ คนอื่นเค้าเล่นหุ้นรวยกันไปหมดแล้ว ขืนมัวแต่มารอๆๆอยู่เฉยๆ ทั้งๆที่เงินก็พร้อมแล้ว มันก็เสียโอกาสสิ เพราะโอกาสไม่ได้มีเข้ามาบ่อยๆนะ เมื่อเราพร้อมก็ต้องลุยเลย (นี่คือความคิดเค้าครับ)
แล้วผลลัพธ์ก็คือ เค้าได้เป็นนักลงทุนแนว VI อย่างสมใจจริงๆครับ ซื้อไป 4 ตัว เต็มสูบหมดหน้าตักเรียบร้อย ถือยาวครับ ชิวๆ อยู่บนดอย ลงมาไม่ได้ครับ ซื้อปุ๊ปลงปั๊บ ช้อนเพิ่มปุ๊บก็ลงต่อปั๊บ เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นกลับตัวลง ปรับฐาน แหม่...อย่างเท่ไปเลยครับ
ผมลองถามหุ้นที่เค้าซื้อและเทียบผลตอบแทนที่น่าจะได้กับราคาแต่ละตัวไป แล้วลองมานั่งคำนวณให้ดู แต่ละตัวปันผลไม่ถึง2%ต่อปี บางตัวก็ไม่มีปันผลครับ แถมข่าวนี่มีแต่คำว่า “น่าจะ”เต็มไปหมด ประวัติก็เพิ่มทุนกันเป็นว่าเล่น งบก็สวยงาม”ติดลบ”อลังการ และในตอนนั้น สิ่งที่ผมช่วยเค้าได้คืออย่างเดียวครับ คือ “ขอให้โชคดีนะ อาเมน”
ในทางกลับกัน คนที่สอง เค้ารอตามที่ผมแนะนำครับ เค้าเอาเวลาไปศึกษาเพิ่มเติมจนเก่ง เค้าอดทนรอจนตลาดกลับตัวเป็นขาลง แล้วก็ค่อยๆทยอยซื้อหุ้นที่เค้าได้วิเคราะห์ทุกๆอย่างมาอย่างดี เตรียมเป็น wish lists เอาไว้แล้ว
ตอนนี้เหตุการณ์ที่เล่าของทั้งสองคนนี้ผ่านมาประมาณ 2 ปีกว่าๆ คนแรกที่ไม่รอ ขายขาดทุนและน่าจะเลิกเล่นหุ้นไปแล้วครับ ส่วนคนที่2 ตอนนี้พอร์ตเค้าเขียวขจีมีการเติบโตสวยงาม ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
Caseที่2.
นักเก็งกำไรท่านหนึ่งมาปรึกษาผม เค้าได้ซื้อหุ้นตัวนึงไว้แล้ว บังเอิญว่าหุ้นตัวนี้ขึ้นไปได้สูงเกินความคาดหมาย ผมจึงถามเค้าว่า
เค้าซื้อหุ้นตัวนี้เพราะอะไรในตอนแรก เค้าตอบว่าเห็นสัญญาณทางเทคนิคกลับตัวเป้นขาขึ้น และราคาตัดเส้นค่าเฉลี่ยที่ตั้งไว้ขึ้นไปแล้ว
ผมเลยถามกลับไปอีกครั้งว่าแล้วตอนนี้สัญญาณกลับตัวลงมาหรือยัง หรือไม่ก็ราคาตัดเส้นค่าเฉลี่ยลงมาแล้วหรือยัง คำตอบคือ ยัง!!!
แต่เค้าอยากจะขายเพียงเพราะเหตุผลคือ ตอนแรกเค้าคิดว่าได้กำไรจากตัวนี้แค่5-10%ก็หรูแล้ว นี่ขึ้นมาถึงเป้าที่ตั้งไว้แล้ว
เค้ากลัวว่าราคาจะตกแล้วกำไรจะหายไป กลัวจะขายไม่ทัน เพราะตลาดหุ้นไม่มีอะไรแน่นอน
และนี่คือคำตอบของผม หากคุณเข้าด้วยเทคนิคอะไรที่ตั้งไว้แต่แรก คุณก็ต้องออกด้วยวิธีเดิมนั่นแหละ ในเมื่อสัญญาณมันยังไม่กลับตัว คุณจะออกทำไม
คุณจะsetระบบเทรดแบบเทคนิคตั้งแต่แรกทำไม ถ้าคุณไม่ทำตามระบบเทรดที่คุณตั้งไว้ตอนแรกไปจนจบ และการที่คุณบอกตลาดหุ้นไม่มีอะไรแน่นอน
อันนั้นมันไม่ใช่เหตุผล เพราะมันไม่แน่นอนมานานแล้วและก็คงเป็นต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเล่นเทคนิค อย่าบวกอารมณ์เข้าไปช่วย มันจะติดเป็นนิสัย สุดท้ายระบบคุณก็จะพัง
การ ”รอ” ในความหมายของผม คือการ “Let profit run” นั่นเอง ผมแนะนำให้เค้าอดทนรอ อดทนรวยต่อไปให้ได้ เมื่อไหร่สัญญาณกลับตัวเป็นขาลงค่อยขาย
“อย่าใช้อารมณ์เด็ดขาด” บทสนทนาในวันนั้นก็จบลงเพียงแค่นี้
หลังจากนั้นอีกประมาณ 3 เดือน ผมได้เจอกับนักเก็งกำไรท่านนี้อีกครั้ง เค้ากลับมาคุยกับผม ผมจึงถามเค้าไปว่าเป็นยังไงบ้างหุ้นตัวนั้นที่เคยถามผมไว้ เค้าบอกผมว่า
เค้าไม่ได้รออย่างที่ผมแนะนำ เค้าตัดสินใจขายไปในวันรุ่งขึ้น ได้กำไรมา9%กว่าๆเพราะเห็นราคาลงในวันนั้น (แต่ยังไม่ตัดเส้นสัญญาณลงมานะครับ)
เลยกลัวกำไรหายจริงๆ (ทนรวยต่อไปไม่ได้) และผลสุดท้าย เค้าก็เอาเงินที่ขายได้กำไร ไปเข้าซื้อหุ้นตัวอื่น แล้วก็ทำวิธีเดิมๆคือกำไรนิดๆก็ขาย
บางทีก็ผิดทางต้องขายขาดทุน สุดท้ายตอนนี้พอร์ตก็ไม่ได้เปลี่ยนไปสักเท่าไหร่ บางตัวน่าจะติดลบอยู่ด้วยซ้ำ
ส่วนหุ้นตัวที่เค้าเคยถามผมไว้ ผมลองมานั่งดูว่าเป็นยังไงบ้างแล้ว สิ่งที่เห็นคือ ราคายังไม่เคยตัดเส้นสัญญาณลงมาชัดเจนแม้แต่ครั้งเดียว
ย้ำนะครับว่า "แม้แต่ครั้งเดียว" เพราะลงแล้วก็เด้ง ไม่ตัดนะ ลงแล้วก็เด้งไปได้เรื่อยๆ ผมจึงลองมาคำนวณดู หากเค้ายังถือไว้จนตอนนี้
พอร์ตเค้าจะเติบโตถึง 70% เลยทีเดียวครับ
และนี่คือทั้งหมดที่ผมอยากจะเล่าเกี่ยวกับ พลังของการ “รอ”
ปล. นี่เป็นเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นกับคนที่ผมรู้จักและผมเคยเขียนไว้ในเพจผมนานแล้วครับ แค่อยากนำมาเล่าใหม่อีกครั้ง เผื่อจะเป็นประโยชน์กับใครบ้างครับ
ขอโชคดีนะครับทุกคน ลงทุนอย่างมีสติ
นอนหลับฝันดีครับทุกท่าน ราตรีสวัสดิ์
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=52865
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
แค่หกส่วนก็พอ
ที่กรุงไทเปมีผู้รับเหมาก่อสร้างคนหนึ่ง เป็นคนหนุ่มที่ชาญฉลาดที่รู้กันทั้งวงการ มีหัวการค้าเป็นเลิศ ทำงานคล่องแคล่วว่องไว พร้อมลุยงานหนัก...
-
ผมไม่เคยรู้จักหลวงปู่สุภา พระเกจิชื่อดัง กระทั่งทราบข่าวท่านละสังขารทางหนังสือพิมพ์ พอได้อ่านคอลัมสกู๊ปหน้า 1 ไทยรัฐ วันที่ 5 กันยายน 2...
-
ฝั่งทะเลอันดามัน 1.หมู่เกาะสิมิลัน หมู่เกาะที่โดดเด่นด้วยน้ำทะเลสีฟ้าใสและหาดทรายขาวนวลละเอียดราวกับผงแป้ง หัวใจของสิมิลันคือ หินเรือใบที่โ...
-
" ....... Goal without Action , Just Dreaming ........ " "....... เป้าหมายที่ไม่ลงมือทำ มันก็แค่ความฝันตื่นหนึ่ง .....