Caseที่1.

เคยมี2คน มาปรึกษาผมว่าอยากลงทุนในหุ้นเพราะเห็นช่วงนี้ตลาดหุ้นบูมมาก หุ้นขึ้นแทบจะทุกตัวในตลาด มีคนรวยเกิดขึ้นมาเต็มไปหมด แต่เค้า2คนบอกผมว่า
อยากลงทุนในหุ้นระยะยาวเป็นการออมเงินไปในตัวหรือแบบVIที่เราเรียกๆกันนั่นเอง และตอนนี้เงินเค้าก็พร้อมแล้ว ช่วยแนะนำหน่อย

ผมเลยตอบเค้าไปว่างั้นอยู่เฉยๆ รอไปก่อน และช่วงที่รอนี้คุณก็เอาเวลาไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมซะ ลองฝึกอ่านงบการเงินให้เก่งๆ เพราะตอนนี้ราคาหุ้นหลายตัวแพงมากเกินไปแล้ว ยังมีเวลาอีกเยอะให้ลงทุน ไม่ต้องรีบ

ครับ ผลสุดท้ายมีคนนึง“รอไม่ได้” เพราะเหตุผลที่ว่า ตอนนี้ตลาดกำลังดี เศรษฐกิจก็ไม่แย่ คนอื่นเค้าเล่นหุ้นรวยกันไปหมดแล้ว ขืนมัวแต่มารอๆๆอยู่เฉยๆ ทั้งๆที่เงินก็พร้อมแล้ว มันก็เสียโอกาสสิ เพราะโอกาสไม่ได้มีเข้ามาบ่อยๆนะ เมื่อเราพร้อมก็ต้องลุยเลย (นี่คือความคิดเค้าครับ)

แล้วผลลัพธ์ก็คือ เค้าได้เป็นนักลงทุนแนว VI อย่างสมใจจริงๆครับ ซื้อไป 4 ตัว เต็มสูบหมดหน้าตักเรียบร้อย ถือยาวครับ ชิวๆ อยู่บนดอย ลงมาไม่ได้ครับ ซื้อปุ๊ปลงปั๊บ ช้อนเพิ่มปุ๊บก็ลงต่อปั๊บ เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นกลับตัวลง ปรับฐาน แหม่...อย่างเท่ไปเลยครับ

ผมลองถามหุ้นที่เค้าซื้อและเทียบผลตอบแทนที่น่าจะได้กับราคาแต่ละตัวไป แล้วลองมานั่งคำนวณให้ดู แต่ละตัวปันผลไม่ถึง2%ต่อปี บางตัวก็ไม่มีปันผลครับ แถมข่าวนี่มีแต่คำว่า “น่าจะ”เต็มไปหมด ประวัติก็เพิ่มทุนกันเป็นว่าเล่น งบก็สวยงาม”ติดลบ”อลังการ และในตอนนั้น สิ่งที่ผมช่วยเค้าได้คืออย่างเดียวครับ คือ “ขอให้โชคดีนะ อาเมน”

ในทางกลับกัน คนที่สอง เค้ารอตามที่ผมแนะนำครับ เค้าเอาเวลาไปศึกษาเพิ่มเติมจนเก่ง เค้าอดทนรอจนตลาดกลับตัวเป็นขาลง แล้วก็ค่อยๆทยอยซื้อหุ้นที่เค้าได้วิเคราะห์ทุกๆอย่างมาอย่างดี เตรียมเป็น wish lists เอาไว้แล้ว

ตอนนี้เหตุการณ์ที่เล่าของทั้งสองคนนี้ผ่านมาประมาณ 2 ปีกว่าๆ คนแรกที่ไม่รอ ขายขาดทุนและน่าจะเลิกเล่นหุ้นไปแล้วครับ ส่วนคนที่2 ตอนนี้พอร์ตเค้าเขียวขจีมีการเติบโตสวยงาม ต่างกันอย่างสิ้นเชิง




Caseที่2.

นักเก็งกำไรท่านหนึ่งมาปรึกษาผม เค้าได้ซื้อหุ้นตัวนึงไว้แล้ว บังเอิญว่าหุ้นตัวนี้ขึ้นไปได้สูงเกินความคาดหมาย ผมจึงถามเค้าว่า
เค้าซื้อหุ้นตัวนี้เพราะอะไรในตอนแรก เค้าตอบว่าเห็นสัญญาณทางเทคนิคกลับตัวเป้นขาขึ้น และราคาตัดเส้นค่าเฉลี่ยที่ตั้งไว้ขึ้นไปแล้ว

ผมเลยถามกลับไปอีกครั้งว่าแล้วตอนนี้สัญญาณกลับตัวลงมาหรือยัง หรือไม่ก็ราคาตัดเส้นค่าเฉลี่ยลงมาแล้วหรือยัง คำตอบคือ ยัง!!!
แต่เค้าอยากจะขายเพียงเพราะเหตุผลคือ ตอนแรกเค้าคิดว่าได้กำไรจากตัวนี้แค่5-10%ก็หรูแล้ว นี่ขึ้นมาถึงเป้าที่ตั้งไว้แล้ว
เค้ากลัวว่าราคาจะตกแล้วกำไรจะหายไป กลัวจะขายไม่ทัน เพราะตลาดหุ้นไม่มีอะไรแน่นอน

และนี่คือคำตอบของผม หากคุณเข้าด้วยเทคนิคอะไรที่ตั้งไว้แต่แรก คุณก็ต้องออกด้วยวิธีเดิมนั่นแหละ ในเมื่อสัญญาณมันยังไม่กลับตัว คุณจะออกทำไม
คุณจะsetระบบเทรดแบบเทคนิคตั้งแต่แรกทำไม ถ้าคุณไม่ทำตามระบบเทรดที่คุณตั้งไว้ตอนแรกไปจนจบ และการที่คุณบอกตลาดหุ้นไม่มีอะไรแน่นอน
อันนั้นมันไม่ใช่เหตุผล เพราะมันไม่แน่นอนมานานแล้วและก็คงเป็นต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเล่นเทคนิค อย่าบวกอารมณ์เข้าไปช่วย มันจะติดเป็นนิสัย สุดท้ายระบบคุณก็จะพัง

การ ”รอ” ในความหมายของผม คือการ “Let profit run” นั่นเอง ผมแนะนำให้เค้าอดทนรอ อดทนรวยต่อไปให้ได้ เมื่อไหร่สัญญาณกลับตัวเป็นขาลงค่อยขาย
“อย่าใช้อารมณ์เด็ดขาด” บทสนทนาในวันนั้นก็จบลงเพียงแค่นี้

หลังจากนั้นอีกประมาณ 3 เดือน ผมได้เจอกับนักเก็งกำไรท่านนี้อีกครั้ง เค้ากลับมาคุยกับผม ผมจึงถามเค้าไปว่าเป็นยังไงบ้างหุ้นตัวนั้นที่เคยถามผมไว้ เค้าบอกผมว่า
เค้าไม่ได้รออย่างที่ผมแนะนำ เค้าตัดสินใจขายไปในวันรุ่งขึ้น ได้กำไรมา9%กว่าๆเพราะเห็นราคาลงในวันนั้น (แต่ยังไม่ตัดเส้นสัญญาณลงมานะครับ)
เลยกลัวกำไรหายจริงๆ (ทนรวยต่อไปไม่ได้) และผลสุดท้าย เค้าก็เอาเงินที่ขายได้กำไร ไปเข้าซื้อหุ้นตัวอื่น แล้วก็ทำวิธีเดิมๆคือกำไรนิดๆก็ขาย
บางทีก็ผิดทางต้องขายขาดทุน สุดท้ายตอนนี้พอร์ตก็ไม่ได้เปลี่ยนไปสักเท่าไหร่ บางตัวน่าจะติดลบอยู่ด้วยซ้ำ

ส่วนหุ้นตัวที่เค้าเคยถามผมไว้ ผมลองมานั่งดูว่าเป็นยังไงบ้างแล้ว สิ่งที่เห็นคือ ราคายังไม่เคยตัดเส้นสัญญาณลงมาชัดเจนแม้แต่ครั้งเดียว
ย้ำนะครับว่า "แม้แต่ครั้งเดียว" เพราะลงแล้วก็เด้ง ไม่ตัดนะ ลงแล้วก็เด้งไปได้เรื่อยๆ ผมจึงลองมาคำนวณดู หากเค้ายังถือไว้จนตอนนี้
พอร์ตเค้าจะเติบโตถึง 70% เลยทีเดียวครับ

และนี่คือทั้งหมดที่ผมอยากจะเล่าเกี่ยวกับ พลังของการ “รอ”


ปล. นี่เป็นเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นกับคนที่ผมรู้จักและผมเคยเขียนไว้ในเพจผมนานแล้วครับ แค่อยากนำมาเล่าใหม่อีกครั้ง เผื่อจะเป็นประโยชน์กับใครบ้างครับ

ขอโชคดีนะครับทุกคน ลงทุนอย่างมีสติ

นอนหลับฝันดีครับทุกท่าน ราตรีสวัสดิ์