วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

หุ้นหลายเด้ง

ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร


นักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จสูงในระยะยาวนั้น หนีไม่พ้นที่เขาจะต้องมีหุ้นที่ทำกำไรสูงมากเป็นหลาย ๆ เท่าตัวจากต้นทุนที่เขาซื้อมา ในวงการนักลงทุนเรียกว่า ?หุ้นหลายเด้ง?นอกจากกำไรเป็นหลายเท่าตัวแล้ว หุ้นหลายเด้งที่ว่านั้น จะต้องมีจำนวนเป็นเม็ดเงินอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ใช่มีเพียง 200-300 หุ้นซึ่งไม่มีความหมายต่อขนาดของพอร์ตโฟลิโอ ตรงกันข้าม หุ้นหลายเด้งนั้นจะต้องมีขนาดพอสมควรที่ทำให้ผลตอบแทนรวมของพอร์ตสูงกว่าปกติต่อเนื่องกันหลายปี พูดง่าย ๆ ถ้าตัดหุ้นตัวนี้ออก ผลตอบแทนรวมของพอร์ตอาจจะดูธรรมดามาก หรือพูดอีกทางหนึ่งก็คือ หุ้นหลายเด้งเป็นหุ้นที่สร้างความแตกต่างระหว่าง ?เซียน? กับนักลงทุนธรรมดา ดังนั้น เราจึงควรมาดูกันว่าเราจะหาหุ้นหลายเด้งได้อย่างไร

ข้อแรกที่ผมคิดว่าสำคัญก็คือ หุ้นที่จะเติบโตขึ้นมาหลาย ๆ เท่าตัวได้ในระยะเวลาไม่นานเช่น ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 3-5 เท่าตัวในเวลาไม่เกิน 5 ปี โดยที่หุ้นตัวนั้นไม่ได้ถูก ?ทำราคา? หรือ ?ปั่น? นั้น มักจะอยู่ในหุ้น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ นั่นก็คือ หนึ่ง เป็นหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีวัฎจักรขึ้นลงรุนแรง เช่น ธุรกิจเดินเรือ ปิโตรเคมี แร่ธาตุที่หายาก หรือสินค้าเกษตรที่ต้องใช้เวลาในการปลูกยาวนานเช่นยางพารา เป็นต้น การที่จะทำกำไรได้หลายเด้งในหุ้นกลุ่มนี้ วิธีที่ได้ผลมากที่สุดก็คือ ซื้อหุ้นในยามที่หุ้นอยู่ในช่วงที่อุตสาหกรรมตกต่ำสุดและไม่มีคนสนใจและพูดถึงเลย และ เรารู้หรือมั่นใจว่าอุตสาหกรรมกำลังฟื้นตัวและการฟื้นตัวนั้น จะฟื้นตัวอย่างแรงด้วยเหตุผลที่ชัดเจนถูกต้อง และเมื่อสิ่งที่เราคาดไว้ถูกต้อง หุ้นปรับตัวขึ้นแล้วในรอบแรก เราจะต้องถือหุ้นต่อไปจนกว่าวัฏจักรจะเป็นขาขึ้นเต็มตัวซึ่งราคาหุ้นก็จะปรับตัวตามไปเรื่อย ๆ เราจะขายต่อเมื่อทุกอย่าง ?ดูดีหมด? โบรกเกอร์เกือบทุกสำนักจะเชียร์หุ้นตัวนั้น นักลงทุนแทบจะทุกกลุ่มต่างก็ดูว่าเป็นหุ้น ?สุดยอด? เพราะ ?กำไรดีมาก? ผู้บริหาร ?คาดการณ์แม่นมีวิสัยทัศน์? บริษัท ?ขยายตัวต่อเนื่อง? และที่สุดยอดก็คือ ?เงินสดเพียบและไม่มีหนี้เลย? เมื่อเกิดภาวการณ์แบบนี้ อย่ารอที่จะขายหุ้นทิ้ง อย่ารอให้เห็นว่าเป็นวัฏจักรขาลงแล้ว เพราะนั่นจะไม่ทันการ

หุ้นที่จะมีโอกาสเป็นหุ้นหลายเด้งกลุ่มต่อไปก็คือ ?หุ้นฟื้นตัว? นี่คือหุ้นที่ประสบปัญหาการดำเนินงานจนแทบจะเอาตัวไม่รอด หลาย ๆ บริษัทต้องเข้าแผนฟื้นฟู บางบริษัทหุ้นถูกพักการซื้อขาย ราคาหุ้นจะตกต่ำมาก ดูจาก Market Cap. หรือมูลค่าตลาดของหุ้นทั้งบริษัทจะมีมูลค่าต่ำมากเทียบกับยอดขาย ถึงแม้ว่าบริษัทจะขาดทุนอย่างหนักและติดต่อกันมานานพอสมควรแต่กิจการก็ยังดำเนินต่อไปและก็ยังสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ ยี่ห้อสินค้าของบริษัทเองก็ยังเป็นที่ยอมรับของลูกค้า ที่สำคัญก็คือ ทรัพย์สินของบริษัทเองเช่นโรงงานและอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็ยังมีค่าและมีคนต้องการ และที่สำคัญประเด็นสุดท้ายก็คือ หนี้ของบริษัทไม่มากเกินไปเมื่อเทียบกับทรัพย์สินที่มีอยู่ตามราคาตลาด การซื้อหุ้นแบบนี้ บางครั้งก็ทำได้ยากเพราะปริมาณการซื้อขายหุ้นมีน้อยมากเนื่องจากบริษัทมีขนาดเล็กมากในแง่ของมูลค่าหุ้น อย่างไรก็ตาม ถ้าบริษัทเริ่มฟื้นจริง ๆ ราคาหุ้นก็มักจะปรับตัวขึ้นไปสูงและเร็วมาก บางครั้งปรับตัวเกินพื้นฐานไปด้วยเนื่องจากแรงเก็งกำไรของนักลงทุน ดังนั้น เราอาจจะขายทิ้งไปเมื่อหุ้นกำลัง ?ร้อนจัด? ดีกว่าที่จะรอซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อฟื้นแล้วบริษัทจะกำไรดีหรือเปล่า

หุ้นกลุ่มสุดท้ายที่จะเป็นหุ้นหลายเด้งได้ก็คือ หุ้นโตเร็ว นี่คือหุ้นที่เติบโตต่อไปได้ยาวนานไม่ต่ำกว่า 5 ปี โดยที่จะโตได้เป็นสองหลักทั้งในแง่รายได้และกำไร และกำไรจะโตมากกว่ารายได้ เช่น รายได้อาจจะโต 15% ต่อปี ในขณะที่กำไรจะโตถึง 20% ต่อปี โดยเฉลี่ย ประเด็นสำคัญในการมองหาหุ้นในกลุ่มนี้ก็คือเรื่องของการวิเคราะห์คาดการณ์การเติบโตและคุณสมบัติของตัวกิจการนั่นก็คือ บริษัทต้องเป็นบริษัทที่โตอย่างแท้จริงซึ่งก็คือ เมื่อรายได้และกำไรโตขึ้นแล้วจะต้องไม่ลดลงหรือเรียกว่า ?โตอย่างถาวร?ความเสี่ยงที่รายได้และกำไรจะลดลงในอนาคตมีน้อยมาก ประการต่อมาก็คือ การโตของบริษัทนั้น ไม่ควรจะต้องมีการลงทุนในสินทรัพย์มาก ถ้าโตได้โดยที่ ?แทบไม่ต้องลงทุนเลย? ก็ยิ่งดี แต่ถ้าโตโดยที่ต้องลงทุนมากก็จะเป็นการเติบโตที่ ?ไม่มีประโยชน์? เพราะกิจการอาจจะไม่สามารถจ่ายปันผลให้เราได้เพิ่มเติมเนื่องจากเวลามีกำไร ก็มักจะต้องเอาเงินนั้นไปลงทุนต่อ เงินนั้นไม่มาถึงผู้ถือหุ้นเท่าไรนัก วิธีที่จะดูว่าเป็นการโตที่มีประโยชน์หรือไม่ทางหนึ่งก็คือ ดูว่าค่า ROE หรือกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทสูงแค่ไหน ถ้าต่ำกว่า 10% ผมก็คิดว่าเป็นการโตที่ไม่มีประโยชน์ ถ้าสูงกว่า 20% ผมคิดว่าเป็นการโตที่ดีมาก ข้อมูลอีกตัวหนึ่งก็คือ บริษัทที่จะโต ไม่ควรมีหนี้เงินกู้มาก ถ้าจะให้ดีไม่ควรเกิน 1 เท่าของเงินทุนของบริษัท ถ้าโตโดยไม่มีหนี้เลยก็ยิ่งดีใหญ่

การซื้อหุ้นของบริษัทที่โตเร็วนั้น ควรซื้อในยามที่ราคาหุ้นยังไม่แพง ซึ่งอาจจะเป็นเพราะคนยังไม่ตระหนักว่ามันเป็นหุ้นโตเร็ว หรืออาจจะเกิดจากเหตุการณ์บางอย่างเช่นเรื่องของภาวะวิกฤติเศรษฐกิจหรือปัญหาบางอย่างของบริษัทที่สามารถแก้ไขได้ เมื่อซื้อแล้วและราคาหุ้นเริ่มปรับตัวขึ้นไป อย่ารีบขาย ถือไปเรื่อยไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีขึ้นไป ที่จริง 5 ปีขึ้นไปยิ่งดี แต่จุดขายจริง ๆ น่าจะเป็นช่วงเวลาที่การเติบโตเริ่มชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญหรือบริษัทอาจจะเริ่มเผชิญกับคู่แข่งที่น่ากลัว อย่างไรก็ตาม การขายหุ้นโตเร็วนั้น ความจำเป็นที่จะต้องขายอย่างรีบเร่งน่าจะน้อยกว่าหุ้นวัฏจักรหรือหุ้นฟื้นตัวมาก เพราะหุ้นโตเร็วนั้น ราคาหุ้นเมื่อการเติบโตเริ่มช้าลงนั้น มักจะค่อย ๆ ปรับตัวลงตามอย่างช้า ๆ มากกว่าจะดิ่งลงเหมือนหุ้นกลุ่มอื่น

การเล่นหุ้นหลายเด้งนั้น แม้ว่าจะทำให้เรามีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงแต่ความเสี่ยงก็มีอยู่ไม่น้อย ประเด็นก็คือ เราอาจคาดการณ์ผิด เราไม่รู้หรือไม่เข้าใจจริง ที่สำคัญก็คือ เราไปฟังการวิเคราะห์ของคนอื่นและเราเชื่อว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นถูกต้อง โดยสิ่งที่ทำให้เราเชื่อนั้น นอกจากเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมและตัวบริษัท ก็คือ ราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นไปอย่างแรงพร้อม ๆ กับปริมาณการซื้อขายหุ้นที่มากเกินปกติ ในลักษณะนี้ แม้ว่าสิ่งที่คาดการณ์ไว้เกี่ยวกับกิจการจะเป็นเรื่องจริง แต่เราก็จะไม่ได้หุ้นหลายเด้ง ถ้าโชคดี เราก็อาจจะได้กำไรบ้าง บางทีก็อาจจะได้สักหนึ่งเด้ง แต่ถ้าโชคร้าย เราก็อาจจะขาดทุนอย่างหนักได้เหมือนกัน คนที่จะได้กำไรหลายเด้งนั้น จะต้องเป็นคนที่ซื้อหุ้นในราคาที่ยังต่ำมาก ก่อนที่หุ้นจะเป็นข่าวหรือเป็นที่กล่าวขวัญถึง และนี่ก็คือ ?เซียน? ตัวจริง

ผมคงจะจบบทความไม่ได้ถ้าไม่ได้พูดว่า เราไม่ควรคิดจะลงทุนเฉพาะหุ้นที่อาจจะกลายเป็นหุ้นหลายเด้ง เพราะการทำแบบนั้นเป็นเรื่องที่อันตรายเนื่องจากมันจะทำให้พอร์ตของเราจะมีความเสี่ยงที่สูงเกินไป อย่าไปคิดว่าเราจะคาดการณ์ได้ถูกต้อง ว่าที่จริงเป็นเรื่องยากที่จะคาดการณ์หรือหาหุ้นหลาย ๆ เด้งได้ถูกต้อง บ่อยครั้งเราเห็นหุ้นที่กลายเป็นหุ้นหลายเด้งแล้วเราจึงมาสรุปถึงเหตุผล แล้วเราก็คิดว่าเรารู้ตั้งแต่วันแรก ประสบการณ์ของผมก็คือ หุ้นหลายเด้งส่วนใหญ่ที่ผมได้นั้น ในวันที่ผมซื้อ ผมไม่รู้และไม่ได้คิดว่ามันจะได้กำไรถึงขนาดนั้น ผมซื้อเนื่องจากกิจการมันดีและมีราคาที่เหมาะสมที่มันน่าจะทำให้ผมได้กำไรซักปีละ 10-15% ในอีก 5 ปีข้างหน้า แต่บังเอิญมันมา ?เด้ง? ทีหลัง ผมอยากเรียกว่า มันเป็นโชคดีที่เกิดจากการทำสิ่งที่ดีมากกว่า

ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=49303

บทความดีๆ

  
คำพูดที่ปราศจากการกระทำ ไม่เคยทำให้ใครสำเร็จ

ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=49301 

10 อันดับสิ่งที่เราไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน

เงินในสมัยนี้นับว่าสามารถซื้อได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราต้องการ และเงินยังถือเป็นวัตถุอย่างหนึ่งที่มีอิทธิพลมากที่สุดในตอนนี้ ทำให้พวกเราทุกคนอยากมีเงินมาครอบครองเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ ได้รับการยอมรับ และอยากได้สิ่งที่ตัวเองต้องการมาครอบครอง แม้ว่าเงินจะซื้อได้ทุกอย่างมากมาย แต่ก็ยังมีสิ่งที่เงินไม่สามารถซื้อได้ซึ่งมี 10 อันดับดังนี้คือ


ชื่อ:  imagesCAXM1LFH.jpg
ครั้ง: 91
ขนาด:  7.6 กิโลไบต์

10.ความรู้


ทุกยุคทุกสมัยความรู้มันไม่เคยมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องแม้แต่บาทเดียว มีแต่เราจะต้องพากเพียรหาความรู้เพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ โดยที่เงินจะเข้ามาหาคนที่ใช้ความรู้ความสามารถเท่านั้น ไม่สามารถซื้อได้ แต่พวกเรามักจะคิดว่าเงินซื้อความรู้ได้ ยกตัวอย่างเช่นหนังสือ แม้ว่าเราจะใช้เงินซื้อหนังสือเพื่อหาความรู้ แต่หนังสือมันก็ไม่ใช่ความรู้ที่แท้จริงหากว่าเราไม่นำไปใช้ต่อยอดในการทำเงิน


ชื่อ:  imagesCAS01FFM.jpg
ครั้ง: 90
ขนาด:  6.6 กิโลไบต์

9.ความถูกต้อง,ความยุติธรรม


เงินส่วนใหญ่มักจะใช้ไปในทางที่เสริมบารมี อำนาจซะเป็นส่วนใหญ่ เราจะเห็นได้จากการที่คนมีเงินส่วนใหญ่มักจะใช้เงินเป็นค่าผ่อนปรนความผิดที่ตัวเองทำ แต่ก็ไม่ใช่ว่าใช้เงินซื้อความถูกต้อง ความยุติธรรมสำหรับตัวเอง ทั้งใช้เงินจ้างทนายความเพื่อแก้ต่าง ให้สินบนต่างๆนาๆ จึงนับได้ว่าเงินไม่เคยอยู่กับความถูกต้อง ความยุติธรรมเลย


ชื่อ:  imagesCAV8MWY2.jpg
ครั้ง: 91
ขนาด:  9.4 กิโลไบต์

8.โลก


แม้ว่าเงินจะซื้อหลายสิ่งหลายอย่างที่อยู่บนโลกใบนี้ได้ แต่ก็ไม่สามารถซื้อโลกทั้งใบได้ ก็อาจมีบางคนพยายามคิดการใหญ่อยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีใครที่ประสบความสำเร็จเลยในการซื้อโลกทั้งใบ อาจเป็นเพราะว่าเงินมันอาจจะไม่เข้าใครออกใคร เพราะเงินมันก็ถูกกระจายไปสู่ผู้คนทั้งโลกก็เลยยากหน่อยที่จะซื้อโลกได้ทั้งใบ


ชื่อ:  images.jpg
ครั้ง: 91
ขนาด:  7.7 กิโลไบต์

7.สุขภาพ


เงินอาจจะซื้อของที่เอื้ออำนวยต่อสุขภาพได้เช่นการผ่าตัด การซื้อยารักษาโรค แต่ยังไงเงินก็ไม่สามารถซื้อสุขภาพที่ดีให้กับเราได้ แม้ว่าเราจะทำยังไงก็ตามแต่ ดูเหมือนว่าคนที่มีเงินเป็นจำนวนมากยิ่งมีมาก ยิ่งพลอยสุขภาพย่ำแย่ลงไปด้วยเมื่อเปรียบเทียบกับคนที่มีเงินแบบพอมีพอกิน เพราะว่าคนที่มีเงินจำนวนมากจะต้องรับผิดชอบในการบริหารจัดการเงินสูง จึงเกิดความเครียด ความกังวลใจได้ง่าย


ชื่อ:  imagesCALGZHMO.jpg
ครั้ง: 90
ขนาด:  5.2 กิโลไบต์

6.ความดี

แน่นอนว่าผู้คนส่วนใหญ่มองว่าเงินเป็นสิ่งชั่วร้ายอยู่แล้วหากมองตามความรู้สึกแบบนั้น แล้วแบบนี้เงินจะสามารถซื้อความดีได้ด้วยเหรอ? แน่นอนว่าเงินเป็นตัวโน้มน้าวให้ผู้คนคิดว่าความดีจะอยู่ที่เงินเป็นหลัก แต่เพียงแค่โน้มน้าวเท่านั้นนะ เพราะยังไงซะผู้คนก็จะมองว่าความดีอยู่ที่การปฏิบัติเป็นหลัก ถึงจะคิดว่าเงินสามารถซื้อความดีได้ แต่ก็ไม่สามารถขายความดีให้เป็นเงินกับใครๆก็ได้ จริงไหม เอาเป็นว่าซื้อไม่ได้ก็แล้วกัน จบ


ชื่อ:  imagesCALXDEE6.jpg
ครั้ง: 91
ขนาด:  5.7 กิโลไบต์

5.สันติภาพ


เงินนี่แหละตัวดีเลย ตัวจุดชนวนความขัดแย้งมากมายสารพัดไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตัวเอง ครอบครัว สถานบันไหนๆก็แล้วแต่ แล้วมันก็ลามบานปลายจนเกิดความขัดแย้งทั่วโลกที่เป็นอยู่ในขณะนี้ จนเกิดสงครามต่างๆมากมายทุกยุคทุกสมัย ก็เพราะมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ แล้วแบบนี้ยังจะเงินไปซื้อสันติภาพได้อยู่อีกหรือ?


ชื่อ:  imagesCABFJ3EY.jpg
ครั้ง: 91
ขนาด:  5.4 กิโลไบต์

4.ความรัก


หลายคนมักจะบอกว่าเดี๋ยวนี้เงินมันซื้อความรักได้แล้ว ความรักจะต้องมีเงินเสมอ คนมีมาก คนก็รักมาก คนมีน้อย ก็มีคนรักน้อยตามไปด้วย แต่จริงๆแล้วความรักเป็นสิ่งที่ผู้คนมักจะอ้างว่าใช้เงินซื้อได้มากกว่า เพราะว่าทุกๆคนก็ยังไม่เข้าใจความหมายของคำว่า “ความรัก”อยู่ดี แต่ที่หลายคนบอกว่าเงินสามารถซื้อได้ก็อาจจะมาจากอิทธิพล พลังอำนาจของเงินที่คิดว่าจะซื้อได้ทุกอย่าง


ชื่อ:  imagesCAF7RPEB.jpg
ครั้ง: 91
ขนาด:  5.0 กิโลไบต์

3.ความสุข


บางคนก็ปรารถนาว่ามีเงินยิ่งเยอะแล้ว จะยิ่งมีความสุข อันนี้ก็ต้องขอบอกไว้ก่อนเลยว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะว่าความสุขมันไม่ได้มาจากการมีเงินทองเยอะ แต่มันมาจากความพึงพอใจในสิ่งที่ตัวเองได้ทำ ไม่ใช่มาจากการที่เราได้เงินเยอะ เราก็ดูตัวอย่างเช่น คนที่มีเงินมากมายกว่าเราทำไมถึงฆ่าตัวตาย แน่นอนสาเหตุหลักๆก็มาจากการขาดความสุขเป็นอันดับแรก


ชื่อ:  imagesCABKBQ2Q.jpg
ครั้ง: 91
ขนาด:  4.4 กิโลไบต์

2.ชีวิต


เงินไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีชีวิต แต่เรามีชีวิตก็เพราะปัจจัยธรรมชาติ หลายคนก็ยังพยายามยืดเยื้อให้เงินอยู่กับเราไปนานๆ แต่ดันไม่สนใจเลยว่าชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร คิดว่าสาเหตุก็คงมาจากที่ผู้คนก็รู้ดีว่าเงินไม่สามารถซื้อชีวิตได้


ชื่อ:  imagesCABRQ6KO.jpg
ครั้ง: 90
ขนาด:  5.8 กิโลไบต์

1.เวลา


สิ่งที่เงินไม่สามารถซื้อได้เลย แน่นอนก็คือเวลา เวลามันเดินหน้าไม่มีหยุดหย่อน เวลามันไม่เคยรีรอใคร เวลาไม่เคยสนใจว่ามีเงินทองมากมายขนาดไหน เวลามันจะทำลายคนที่ไม่เคยสนใจตัวมัน เวลามันจะช่วยคนที่พัฒนาตัวเอง เวลาไม่เคยคดโกงใคร เวลาให้ความยุติธรรมให้กับทุกคน ที่สำคัญก็คือไม่มีใครสามารถซื้อเวลาได้แม้แต่คนเดียว
          ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=49312 

วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2556

10 ร้านอาหารอีสานสุดแซ่บสไตล์โมเดิร์น

  
ชื่อ:  5f168c1cc97b400a8493e1ee91af57ae.jpg
ครั้ง: 773
ขนาด:  98.0 กิโลไบต์

แซ่บซี้ดจี้ดถึงใจ...นิยามทางรสชาติที่บ่งบอกเอกลักษณ์ของอาหารอีสานได้เป็นอย่างดี ความจัดจ้านและรสชาติอันเผ็ดร้อนที่แทรกตัวอยู่ในส้มตำ ลาบ น้ำตก ซกเล็ก เป็นเมนูจานโปรดที่หลายคนบอกตรงๆ ว่าไม่มีทางยอมให้ขาดไปจากชีวิต แต่ครั้นจะกินส้มตำข้างทางเจ้าประจำทุกวันก็อาจจะเบื่อ ถมเดี๋ยวนี้คนก็ใช้ชีวิตวนเวียนอยู่ในห้างสรรพสินค้าบางคนก็คงอยากกินส้มตำในบรรยากาศดีๆ ที่มีเมนูอาหารอีสานอร่อยๆ ทั้งแบบต้นตำรับและแบบฟิวชั่นมาลิ้มลองกันบ้างใช่ไหมล่ะ ถ้าใครกำลังมองหาร้านอาหารอีสานแนวนั้นอยู่ล่ะก็ ตามมาทางนี้ เพราะเรารวบรวมร้านอาหารอีสานสไตล์โมเดิร์นที่รับรองว่าแซ่บมาให้แล้ว

 ชื่อ:  ESAN (1).png
ครั้ง: 609
ขนาด:  625.7 กิโลไบต์

ชื่อ:  ESAN (2).png
ครั้ง: 604
ขนาด:  654.8 กิโลไบต์

ชื่อ:  ESAN (3).png
ครั้ง: 604
ขนาด:  666.4 กิโลไบต์

ชื่อ:  ESAN (4).png
ครั้ง: 599
ขนาด:  678.2 กิโลไบต์

ชื่อ:  ESAN (5).png
ครั้ง: 589
ขนาด:  629.0 กิโลไบต์

ชื่อ:  ESAN (6).png
ครั้ง: 578
ขนาด:  690.3 กิโลไบต์

ชื่อ:  ESAN (8).png
ครั้ง: 563
ขนาด:  667.7 กิโลไบต์

ชื่อ:  ESAN (9).png
ครั้ง: 562
ขนาด:  591.9 กิโลไบต์

ชื่อ:  ESAN (10).png
ครั้ง: 561
ขนาด:  684.9 กิโลไบต์ 
ชื่อ:  ESAN (7).png
ครั้ง: 571
ขนาด:  647.7 กิโลไบต์

หุ้นและกลยุทธหมากล้อม

ผมลงทุนในตลาดหุ้นตามแนวทางเน้นคุณค่า (VI) มานาน ก่อนจะได้มีโอกาสได้เรียนรู้เกมโกะ (หรือหมากล้อม) เมื่อสองสามปีที่ผ่านมา สิ่งที่พบ คือโกะเป็นประโยชน์อย่างสูงกับการพัฒนาวิธีการลงทุน จากปรัชญาของเกมที่ ซ่อนอยู่ ทั้งรูปแบบ กลยุทธ์ในการต่อสู้บนกระดาน รวมถึงการมองภาพในหลายมิติ การมีจินตนาการ และสำคัญที่สุดคือ “จิต” ที่แบ่งแยกคนธรรมดาและเซียนออกจากกัน

แนวคิดเบื้องต้นของโกะอย่างบัญญัติ 10 ประการ ก็เป็นหลักคิดเบื้องต้นที่ช่วยสร้างพื้นฐานการลงทุนได้เป็นอย่างดี ซึ่งผมจะลองยกตัวอย่างมาบางส่วนดังนี้

เล่นมุม ข้าง กลาง ตามลำดับ : ควรลงทุนในสิ่งที่ง่าย ๆ และให้ผลดีก่อนจะเข้าไปลงทุนในสิ่งที่ยาก นักลงทุนส่วนใหญ่มักชอบลงทุนในกิจการที่เข้าใจยาก กิจการที่มีสินค้าชื่อแปลก ๆ เป็นภาษาวิทยาศาสตร์ ซึ่งติดตามความก้าวหน้ากิจการได้ยากมาก ซึ่งอันที่จริงแล้ว การเริ่มต้นการลงทุนด้วยสิ่งง่าย ๆ ที่เราเข้าใจ สินค้าและบริการอยู่รอบ ๆ ตัวเรา อย่างเช่นการเล่นมุมก่อนในเกมโกะ ย่อมได้ประสิทธิภาพสูงกว่ามาก

เล่นให้ได้ผลสองเท่าทุกครั้งที่มีโอกาส : การลงทุนทุกครั้งควรหวังทั้งกำไรที่มากและความเสี่ยงต่ำ ปรัชญา High Risk High Return ไม่ได้เป็นจริงเสมอไป ถ้านักลงทุนเข้าใจและมองเห็นโอกาส ดังนั้นหมากหุ้นทุกตัวที่เราลงทุน ควรจะหวังผลสองเท่า ไม่ว่าจะเป็น Upside ของหุ้นที่สูง Downside ต่ำ มีปันผลสม่ำเสมอในขณะที่รอ ถ้าเราสามารถเลือกหุ้นได้แบบนี้ทุก ๆ ครั้ง ก็เหมือนการเดินหมากที่ชาญฉลาดซึ่งมีโอกาสแพ้น้อย

ยืนให้มั่นคงด้วยสองเท้าที่แยกจากกัน : คือการมีพอร์ตหุ้นที่สมดุล หุ้นที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว สู้หุ้นที่อยู่กันเป็นกลุ่มอย่างแข็งแรงในพอร์ตโฟลิโอเราไม่ได้ ดังนั้นการวางโครงสร้างพอร์ตโฟลิโอจึงเป็นสิ่งสำคัญ การลอกการบ้านเป็นหุ้นรายตัวจากผู้อื่น จึงเหมือนกับแค่ถามว่าหมากนี้จะเดินตรงไหน โดยขาดเหตุผลและยุทธศาสตร์ของการวางหมากเม็ดต่อไป

มีทางออกสองทางเสมอ : การลงทุนควรมีทางหนีทีไล่หรือแผน 2 เสมอ นักลงทุนมักมองโลกในแง่ดีอยู่ด้านเดียว มองว่าเราจะทำกำไรกับหุ้นตัวนั้นได้มาก ๆ โดยไม่ประเมินความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งในข้อเท็จจริงแล้ว อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ โดยเฉพาะเหตุการณ์ในอนาคตที่มีปัจจัยใหม่ ๆ เข้ามากระทบ สิ่งนี้ผมได้เรียนรู้อย่างมากในช่วงวิกฤต Subprime ซึ่งหุ้นบางตัวเข้าแล้วแทบไม่มีทางออก หรือไม่มีสภาพคล่องให้ขายได้เลยยามวิกฤต หุ้นแบบนี้ หลัง ๆ ผมไม่ค่อยชอบนัก ผมจะจำปรัชญาข้อนี้เป็นพิเศษ เพราะวิกฤตหุ้นมีมาเสมอ ๆ และเป็นจุดเป็นจุดตายสำคัญของการลงทุน
ล้อมเขา อย่าให้เขาล้อมเรา, ตัดเขา อย่าให้เขาตัดเรา : อยู่เหนืออารมณ์ตลาด มิใช่ตามตลาดและคิดล่วงหน้ากว่าผู้อื่น หนึ่งก้าวเสมอ ในตลาดหุ้น เบนจามิน เกรแฮม ให้ฉายาตลาดหุ้นว่าเป็น Mr. Market หรือนายตลาดซึ่งมีอารมณ์แปรปรวน บางวันก็ตื่นเต้นมีความสุขยื่นเสนอหุ้นราคาแพง ๆ ให้เรา บางวันก็หดหู่เหมือนไร้อนาคต และยื่นเสนอหุ้นตัวเดียวกันในราคาถูกแสนถูก นักลงทุนควรมองข้ามไปหนึ่งขั้น ซื้อก่อน ขายก่อนที่ทุกคนจะมองเห็น

หมากล้อมยังเป็นการมองภาพใหญ่และภาพย่อยประกอบกัน ซึ่งเป็นหัวใจในการลงทุน ในเกมหมากล้อม การยอมเสียบางพื้นที่เพื่อรักษาหรือสร้างพื้นที่อื่น ก็เหมือนกับการขายหุ้นแย่ เก็บหุ้นดีไว้ เหมือนดังที่ปีเตอร์ ลินซ์ กูรูนักลงทุนบอกว่า จงอย่าเด็ดดอกไม้และรดน้ำวัชพืช

อีกสิ่งหนึ่งที่หมากล้อมสอนนักลงทุนได้เป็นอย่างดีคือ หมากจะหมากที่ดีได้ ต้องเดินตำแหน่งที่ดีและใน “เวลา” ที่เหมาะสมด้วย เปรียบเหมือนกับการลงทุนในตลาดหุ้น หุ้นบางตัว มีเวลาทองไม่เหมือนกัน จะพบบ่อย ๆ ว่าในหุ้นตัวเดียวกัน คนบางคนกำไรจากหุ้นตัวนั้นเป็นกอบเป็นกำ บางคนขาดทุนหนัก ธุรกิจบางอย่างถ้าเราเข้าไปลงทุนเร็วเกินไป ก็ส่งผลให้ประสิทธิภาพต่ำ หรือถ้าเราลงทุนช้าเกินไป บางครั้งก็สายไปเสียแล้ว ดังนั้นถ้าเราเข้าใจหลักเกณฑ์ว่าตำแหน่งยุทธศาสตร์ในเวลาที่เหมาะสมแล้ว จะช่วยให้การลงทุนดีขึ้นมาก

ความมีสเน่ห์อีกอย่างหนึ่งของหมากล้อมที่ผมชอบมากเมื่อมาเปรียบเทียบกับการลงทุนแนว VI คือการสร้างความได้เปรียบในระยะยาว ผ่านตัวหมากทีละเม็ด ๆ ความได้เปรียบเล็ก ๆ ของหมากแต่ละเม็ด ส่งผลยิ่งใหญ่ต่อเกมในอนาคต ซึ่งใกล้เคียงภาพการวิเคราะห์การลงทุนโดยเฉพาะเรื่อง Durable Competitive Advantage ( DCA ) ของกิจการที่เราจะเข้าลงทุน ซึ่งอันที่จริงหมากล้อมไม่ได้สอนให้เราเอาชนะโดยฆ่าผู้อื่น แต่เป็นการสร้างพื้นที่ตัวเองให้แข็งแรง เมื่อเราแข็งแรง คู่แข่งจะอ่อนแอลงไปโดยที่เราไม่ต้องรบ กลยุทธ์หมากล้อมนั้นเสมือนการลงทุนที่มองหาแต่คุณค่าของกิจการ และชนะใจตัวเอง โดยไม่มีผู้ใดมาเกี่ยวข้องเลย

ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=48944

หุ้น5สิงฆ์แห่งจุฑาเทพ

ผมคิดว่าละครไทยเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลและช่วยให้เราติดตามความเคลื่อนไหวของสังคมได้ในอีกรูปแบบหนึ่ง เนื่องจากเป็นพฤติกรรมสองทาง คือมีแนวคิดของผู้สร้างละครเพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ชม และยิ่งไปกว่านั้น ก็มีเสียงตอบรับจากผู้ชม ผ่านทางสื่อ Social Media ต่าง ๆ เพื่อให้เราสามารถมองเห็นมุมมองที่เป็นองค์ประกอบในสังคมครบถ้วนทั้งสองด้าน

ละครเรื่องล่าสุดที่ผมคิดว่ามีข้อคิดไม่น้อย สำหรับนักลงทุนและนักธุรกิจ คือเรื่องสุภาพบุรุษจุฑาเทพ เป็นละครพีเรียดที่ถูกแต่งขึ้น โดยอ้างอิงสังคมไทยในช่วงปีพ.ศ. 2500 ซึ่งอันที่จริงก็เป็นช่วงจุดเปลี่ยนหลายอย่างของเศรษฐกิจและสังคมไทย โดยเป็นเรื่องราวเกี่ยวข้องกับความรักหลายรูปแบบของคุณชายทั้ง 5 แห่งวังจุฑาเทพ

แนวคิดแรกคือ ในมุมของผู้สร้างละคร นี่คือตัวอย่างของ Business Model ที่น่าศึกษา นั่นคือ การรวบรวม “Product” หรือนักแสดง และผู้กำกับหลากหลายเข้าหากัน การวางบทละครโทรทัศน์เพื่อให้เกิดความหลากหลายในการถ่ายทอด ให้กลุ่มผู้ชมกว้างขึ้น มีการสร้างดารานำใหม่โดยผูกเข้ากับดาราที่มีฝีมืออยู่แล้ว มี “Place” หรือ การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อและช่องทางที่หลากหลาย มี “Promotion” การจัดกิจกรรมให้ผู้ชมสัมผัสได้และสามารถจินตนาการตามได้ไม่ยากนัก และยิ่งไปกว่านั้น “Price” คือการสร้าง Economy of Scale ด้วยการนำละคร 5 เรื่องมาผูกติดกัน ซึ่งทำให้ต้นทุนคงที่หลายอย่างลดลง โดยเฉพาะต้นทุนประชาสัมพันธ์ เราจะเห็นบ่อย ๆ ว่า ละครหรือหนัง ที่ผู้แสดงนำดี แต่ถ้าไม่มีระบบต่าง ๆ เกื้อหนุน ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จ One Man Show ในธุรกิจสมัยใหม่จะน้อยลงเรื่อย ๆ

แนวคิดที่สองคือ เนื้อเรื่องในละครทั้ง 5 เรื่อง เปรียบเสมือน “เรื่องราวของหุ้น” ที่มีลักษณะที่น่าสนใจยิ่ง นั่นคือ ในปฐมบทเรื่องคุณชายธราธร ซึ่งเป็นเรื่องราวเพื่อปูท้องเรื่องสำหรับคุณชายสี่คนที่เหลือ เนื้อหาความรักไม่ค่อยมีอุปสรรค เหมือนการเดินเข้าสู่ตลาดหุ้นไม่มีผิดเพี้ยน การเปิดบัญชีง่ายแสนง่าย มีของแถมเสียอีก หลังจากนั้นก็กดซื้อขายเทรดหุ้นบนโทรศัพท์สบาย ๆ ง่ายกว่าเล่นเกมด้วยซ้ำ

สำหรับเรื่องราวที่สองและสาม คือคุณชายปวรรุช และคุณชายพุฒิภัทรซึ่งเป็นเรื่องราวที่มีคนดูติดตามมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะการปูเรื่องและประชาสัมพันธ์มาตั้งแต่คุณชายคนแรก ณ เวลานี้ คือเวลาที่หอมหวานที่สุด ละครมีผู้ชมจำนวนมาก มีความรักที่ประโลมโลกให้ตัวเองอยู่ในฉาก เปรียบเสมือนตลาดหุ้นที่กำลังบูม เริ่มมีนักลงทุนหน้าใหม่ ๆ เข้ามา โดยฝันหวานไปกับความสวยงามในตลาดหุ้น เพราะมีคน “บอกต่อ” ว่าตลาดหุ้นคือแหล่งทำเงินอย่างง่ายดาย

ในขณะเดียวกันนั้น คุณชายที่สี่ คุณชายรัชชานนท์ คือเรื่องราวที่นักลงทุนแนว VI ต้องสนใจที่สุด เนื่องจากเริ่มแรกนั้นเป็นคุณชายที่ถูกคาดหวังต่ำกว่าเรื่องอื่น ๆ เพราะเนื้อหาแปลกกว่าคุณชายคนอื่นมาก เป็นเรื่องราวความรักในป่าในเขา ซึ่งออกลักษณะหวานน้อยกว่ามาตรฐานละครไทย รวมถึงละครออกจะดูยากนิด ๆ เพราะมีการใช้ภาษาอีสานปนภาษากลางจนมีบรรยายไทยอยู่ด้านล่าง นี่คือละคร หรือ หุ้นที่แทบจะไม่มีคนจับตามาตั้งแต่ตอนแรก

ผ่านไปหลาย ๆ สัปดาห์เข้า สิ่งที่น่าแปลกใจก็เกิดขึ้นคือ เรตติ้งละครเรื่องนี้สูงขึ้นทุกสัปดาห์ เมื่อมีผู้ชมเริ่มเห็น “คุณค่า” ของสิ่งที่ผู้กำกับและนักแสดงกำลังถ่ายทอด จนสุดท้าย ผมเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นละครที่เรตติ้งสูงสุดในประว้ติศาสตร์เรื่องหนึ่งทีเดียว และนี่คือลักษณะของการเลือกหุ้นแบบ VI คือเราต้องเห็น “คุณค่า” ก่อนคนอื่น ความสวยงาม หรือ Story เปลือกนอกของบริษัทมักเป็นแค่กระพี้ แต่แก่นที่แท้จริงคือ การขุดหาความสวยงามภายในของบริษัทต่างหาก

ละครเรื่องสุดท้ายคือคุณชายรณพีร์ นี่คือสิ่งที่น่าสนใจมากเช่นกัน เพราะคุณชายรณพีร์ คือคุณชายที่ถูกคาดหวังสูงมากจากผู้ชมคุณชายที่ผ่านมาทั้ง 4 คน ถ้าว่ากันตามเนื้อผ้า เนื้อเรื่องคุณชายก็ไม่ได้ต่ำกว่ามาตรฐานเรื่องอื่น ๆ แต่ผู้ชมกลับผิดหวังเพราะความหวังที่สูงลิ่ว และนี่คือตอนจบของตลาดหุ้น ว่าเส้นทางรวยนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ความคาดหวัง และราคาหุ้นอันสูงลิ่ว คือจุดจบของนักลงทุนมานักต่อนัก และดัชนีหุ้นที่ตกลงมาหลายร้อยจุด ในช่วงที่ผ่านมาคงเป็นคำตอบสำหรับนักลงทุนได้เป็นอย่างดี

ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=48943

Steve Jobs Stanford Commencement Speech 2005

คุณค่าของคน อยู่ที่ตัวเราเอง :    

วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2556

10 แนวทางที่ทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิต


ความสำเร็จย่อมมีแนวทางที่ต่างกันออกไปในแต่ละคน ทั้งอยู่ที่ความพึงพอใจของแต่ละคนเอง ที่บางคนอาจมองว่ายังไม่สำเร็จจริง บางคนก็มองว่าเพียงเท่านี้ก็ประสบความสำเร็จแล้ว แน่นอนว่าการที่เราจะประสบความสำเร็จก็จะต้องใช้หลักทฤษฎีและการปฏิบัติตามสภาพแวดล้อมแต่ละคนตามความเหมาะสม ต่อไปนี้คือ 10 อันดับที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ซึ่งมีดังนี้คือ


ชื่อ:  magnifycircle265tran.png
ครั้ง: 855
ขนาด:  113.4 กิโลไบต์
10.สำรวจตัวเอง

ก้าวแรกในการที่จะประสบความสำเร็จนั้น ก็ต้องสำรวจตัวเองว่า ตัวเรามีจุดแข็ง จุดอ่อนอย่างไร มีข้อดี ข้อเสียอย่างไร ทั้งยังต้องดูความเปลี่ยนแปลงตัวเองในแต่ละย่างก้าวด้วยว่าเป็นยังไงบ้าง ไม่ใช่เดินหน้าลุยลูกเดียว หากเราไม่ทำการสำรวจตัวเองเลย เราก็จะไม่รู้เลยว่าเพราะอะไรตัวเราถึงไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจไว้ แม้ว่าจะวางแผนดีแค่ไหนก็ตาม


ชื่อ:  imagesCAB2Y6AW.jpg
ครั้ง: 850
ขนาด:  8.9 กิโลไบต์

9.มองหาบุคคลต้นแบบที่ประสบความสำเร็จ


ความสำเร็จย่อมมีแรงบันดาลใจในการหนุนหลังให้กับเรา ซึ่งแรงบันดาลใจส่วนใหญ่ก็มักจะมาจากบุคคลต้นแบบที่เขาประสบความสำเร็จในชีวิต ที่พวกเขาจะแชร์มุมมอง ทัศนคติตามแบบฉบับของพวกเขาเอง เราก็นำสิ่งเหล่านี้มาเป็นแรงกระตุ้นเพื่อสานฝันความสำเร็จให้กับตัวเองได้ ไม่ใช่ใช้แต่ความคิดตัวเองเป็นใหญ่ เราควรที่จะเปิดรับทัศนคติให้กว้างมากขึ้นจากบุคคลอื่นด้วย


ชื่อ:  imagesCADULPN1.jpg
ครั้ง: 853
ขนาด:  12.8 กิโลไบต์

8.คิดบวกเสมอ

ไม่มีทางเลยที่ความสำเร็จจะเกิดมาจากการคิดลบตลอด ความสำเร็จทุกอย่างจะต้องมาจากการคิดบวกเสมอ หากเรากำลังคิดลบ ก็ต้องรู้ด้วยว่า จะทำให้เราไม่สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้เลย แม้ว่าจะพยายามหนักมากแค่ไหนก็ตาม การคิดบวกจะช่วยให้เราสามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆได้อย่างราบรื่น แม้ว่าจะเจอหนักแค่ไหน เราก็ยังรู้สึกยินดีกับมันที่ปัญหาเข้ามาหาเรา เพราะการคิดบวกจะทำให้เราคิดว่า ปัญหาต่างๆจะนำไปสู่ความสำเร็จในภายภาคหน้า


ชื่อ:  imagesCASY5IA6.jpg
ครั้ง: 848
ขนาด:  9.1 กิโลไบต์

7.ให้ความเคารพตัวเอง

การให้เคารพ ให้เกียรติ์ตัวเองจะทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองมีพลังอำนาจในการทำสิ่งต่างๆได้มากขึ้น หากเราไม่เคยให้ความเคารพตัวเองเลย เราก็รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ไม่เหมาะกับความสำเร็จอะไรเลย ฉะนั้นเราจะต้องหันมาส่องกระจกตัวเอง แล้วก็ฝึกฝนการให้ความเคารพตัวเองอยู่เสมอ เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองว่า เราเองก็มีดีพอที่จะทำสำเร็จเรื่องต่างๆได้ ไม่ใช่ให้คนอื่นมาเป็นกระจกแทนเรา


ชื่อ:  imagesCABYJEH3.jpg
ครั้ง: 851
ขนาด:  4.6 กิโลไบต์

6.ลืมอดีตแล้วมองปัจจุบันและอนาคตข้างหน้า


ข้อนี้ถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะเราทุกคนล้วนก็มีอดีตกันมาทั้งนั้น มีความผิดพลาดที่เคยทำไว้ในอดีต เราก็มักจะนำมาจดจำจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมันจะทำให้เรามีปัญหาเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ด้วยเหตุนี้เราจะต้องลืมเลือนอดีตและก็อภัยให้กับตัวเองที่เคยทำผิดพลาดมา แล้วเราก็นำมาเป็นบทเรียนในปัจจุบัน เพื่อที่จะทำให้เราสามารถวาดภาพความสำเร็จได้ในอนาคตข้างหน้าต่อไป


ชื่อ:  imagesCAB2IJMR.jpg
ครั้ง: 850
ขนาด:  8.8 กิโลไบต์

5.พัฒนาทักษะตัวเองอยู่เสมอ


ความสำเร็จนั้นจะต้องมีการฝึกฝนทักษะต่างๆเพื่อให้ตัวเองก้าวหน้าไม่มีที่สิ้นสุด หากเราละเลยที่จะพัฒนาทักษะตัวเอง ก็อย่าไปคิดฝันเลยว่าความสำเร็จจะเข้ามาเรา เราจะต้องพัฒนาทักษะตัวเองเพื่อให้เราสามารถคว้าความสำเร็จได้อย่างสง่างาม จะสังเกตได้ว่าคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตล้วนแล้วมีการพัฒนาทักษะเรื่อยๆไม่มีหยุด ตรงกันข้ามคนที่ไม่พัฒนาทักษะเลยก็มัวแต่คิดฝันกลางวันแบบนี้ไปเรื่อยๆ


ชื่อ:  imagesCAW7PLAK.jpg
ครั้ง: 848
ขนาด:  8.0 กิโลไบต์

4.จะต้องเจอกับความผิดพลาดก่อน


ผู้คนส่วนใหญ่มักจะหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองเกิดความผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว แต่หารู้ไม่ว่าความผิดพลาดต่างๆที่เราเคยได้ทำมา มันเป็นชนวนสำคัญที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จในชีวิตได้ เพราะความผิดพลาดจะเกิดจากการเรียนรู้จากประสบการณ์ของเราเอง ที่ทำให้เราเรียนรู้ได้เร็วกว่าคนอื่นๆ ในขณะที่คนที่ไม่เคยทำอะไรผิดพลาดเลย ก็จะเป็นคนที่ไม่เคยลงมือทำอะไรเลย เพราะว่าพวกเขากลัวที่จะผิดพลาดเท่านั้น พูดง่ายๆก็คือกลัวเสียหน้าเท่านั้นเอง เราจะต้องกล้าเผชิญหน้ากับความผิดพลาดและก็เรียนรู้กับมัน


ชื่อ:  imagesCACHL8901.jpg
ครั้ง: 851
ขนาด:  44.3 กิโลไบต์

3.เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ


ความสำเร็จไม่ใช่แค่เรียนรู้ไปเรื่อยๆเท่านั้น แต่จะต้องฝึกเรียนรู้สิ่งใหม่ๆที่อยู่บนโลกใบนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ปัจจุบันการเรียนรู้จะมีหลายสิ่งหลายอย่างใหม่ๆเข้ามามากขึ้น ทำให้เรายิ่งต้องเรียนรู้กับเรื่องพวกนี้เอาไว้ให้มากๆ ไม่ว่าผู้คนจะมองกับเราว่าเราบ้าบิ่น ผิดเพี้ยนไปจากมนุษย์ส่วนใหญ่ เราก็ไม่ต้องไปสนใจ เราก็เรียนรู้สิ่งที่เข้าใหม่ในชีวิตของเรา เพื่อที่จะได้มีอาวุธใหม่ๆเข้ามาในหัวของเราเพื่อผลักดันความสำเร็จให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปอีก


ชื่อ:  imagesCAXT54KE.jpg
ครั้ง: 851
ขนาด:  7.5 กิโลไบต์

2.จะต้องกล้าเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ

คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตจะเป็นคนที่กล้าเปลี่ยนแปลงทั้งตัวเอง ผู้อื่น รวมถึงโลกใบนี้ด้วย หากเราอยากที่จะประสบความสำเร็จจริง เราก็ต้องมีความกล้าบ้าบิ่นที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง หากเรามองให้ไกลกว่าอีก ก็ต้องรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่อยู่ในตัวเราออกมาเปลี่ยนแปลงผู้อื่นและโลกใบนี้ด้วย ฉะนั้นเราอย่ากลัวการเปลี่ยนแปลงเป็นอันขาด เพราะการเปลี่ยนแปลงจะทำให้โอกาสใหม่ๆเข้ามาหาเรามากยิ่งขึ้น แต่ที่คนส่วนใหญ่กลัวก็เพราะว่ากลัวความเสี่ยง กลัวว่าชีวิตจะไม่เหมือนเดิม เราจะต้องกล้าเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆไม่มีสิ้นสุด


ชื่อ:  story_sell_yourself_ts.jpg
ครั้ง: 850
ขนาด:  15.2 กิโลไบต์

1.จะต้องมีสูตรสำเร็จเป็นของตัวเอง

ข้อนี้ถือว่ามีความสำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่งที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จในชีวิตได้ เพราะแต่ละคนที่ประสบความสำเร็จก็จะมีการดำเนินชีวิต มีการวางแผน กลยุทธ์ต่างๆในการเดินเกมชีวิตที่ไม่เหมือนกัน ทั้งยังต้องคิดค้นวิธีการที่แตกต่างไปจากคนส่วนใหญ่เพื่อที่จะได้เปรียบมากกว่าคนอื่น แน่นอนว่าบุคคลที่ประสบความสำเร็จที่มีชื่อเสียงนั้น เขาจะมีสูตรสำเร็จเป็นของตัวเอง แม้ว่าสิ่งที่เราได้ยินมาว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ก็ไม่ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จได้จริง เพราะว่าคนส่วนใหญ่ก็นำปรัชญานี้ไปใช้กันหมดแล้ว ก็ทำให้เกิดการแข่งขันกันมากขึ้น โอกาสทองจึงไม่เข้าหาทุกคนที่ใช้ปรัชญานี้ เพราะฉะนั้นหากเราอยากที่จะประสบความสำเร็จ ก็ต้องมีสูตรสำเร็จไปของตัวเอง อย่าไปสนใจว่าคนอื่นจะเป็นยังไงก็ตาม เราจะต้องยอมรับสูตรที่เราสร้างขึ้นมาเอง

         ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=48488&s=ba88bedd91b2ea19b0760cef86d24db5 

วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ระบบการเงินโลกกำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยน

ระบบการเงินโลกกำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยน
ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงใดๆ มาอ่านบทความดีๆ น่าขบคิดกันดีกว่า...

ระบบการเงินโลกกำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยนแปลงอย่างหน้ามือพลิกเป็นหลังมือ: หน้าต่างอาเซียน
โดย ทนง ขันทอง

หลังจากที่ระบบการเงินสหรัฐอเมริกาล้มเมื่อปี 2008
มีการพิมพ์เงินโดยธนาคารกลางเฟดเดอรัล รีเซิร์ฟ ออกมาอย่างอุตลุด
เพื่อรักษาระบบไม่ให้พัง ไม่มีการเอาหนี้เสียจากธนาคารออกมาเลหลังขาย หรือปฏิรูปสถาบันการเงิน
ระเบียบบัญชีได้รับการผ่อนคลายเพื่อว่าจะไม่ต้องโชว์ความเสียหายของมูลค่าทรัพย์สินที่เสื่อมลงหลังจากฟองสบู่แตก

Fed เฟดรับซื้อหนี้เสียจนงบดุลปูดขึ้นมาจาก 6-7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
ก่อนช่วงวิกฤติ เป็น 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในขณะนี้
สิ้นปีนี้งบดุลของเฟดคาดว่าจะไปถึง 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 25% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ

ทาง ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ก็อุ้มวอลล์สตรีท รวมทั้งออกมาตรการต่างๆ
เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจนทำให้หนี้รัฐบาลกลางพุ่งจาก 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 16 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
หรือ 100% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติในปัจจุบัน มีผลทำให้การคลังสหรัฐยืนอยู่ปากเหว
มองไปข้างหน้างบประมาณจะขาดดุลกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐทุกปี
อีก 10 ปีก็ 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติโตแค่ปีละ 2% อย่างเก่งหรือเพิ่มขึ้น 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
ตัวเลขว่างงานล่าสุดขยับขึ้นไปเป็น 7.9%

อาการป่วยทางเศรษฐกิจแบบนี้ดูไม่ออกว่าจะฟื้นอย่างไร
และความเชื่อมันในค่าเงินดอลลาร์ในฐานะเป็นเงินสกุลหลักของโลกกำลังลดถอยลงทุกวัน

ทำให้เกิดปฏิกิริยาที่สำคัญ 2 เรื่องคือ
1. จีนต้องเร่งวางโครงสร้างระบบการเงินและสร้างความร่วมมือทางการเงินการค้ากับประเทศคู่ค้าหลัก
เพื่อเตรียมการลอยตัวค่าหยวน เพื่อให้หยวนเป็นเงินสกุลหลักอีกสกุลหนึ่งของโลก
2. ในขณะเดียวกันมีการพูดกันมากขึ้นถึงบทบาทของทองคำที่จะเป็นเงินสกุลหลักของโลกที่แท้จริงเพราะว่า
ไม่มีใครพิมพ์ทองจากอากาศได้ ทำให้มีวินัยการเงินการคลังที่แท้จริง


ขณะนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเฟดอย่างเดียวที่ต้องพิมพ์เงินออกมาเดือนละ8.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
เพื่อมาช่วยลดภาระต้นทุนของแบงก์ด้วยการซื้อหนี้เสียออกมาและอุดงบประมาณขาดดุลของรัฐบาลกลาง
นโยบายการพิมพ์เงินของเฟดออกมาเปล่าๆ จากกลางอากาศโดยไม่มีทองหรือทรัพย์สินอะไรหนุนหลังแบบนี้
ทำให้ค่าเงินดอลลาร์เสื่อมค่าหมดความน่าเชื่อถือ เป็นการทำสงครามการเงินไปในตัว
เพราะว่าแบงก์หรือพวกนักบริหารการเงินสามารถกู้เงินสกุลดอลลาร์ได้ถูกที่0.75%-1.0%
แล้วเอามาพยุงหุ้นดาวโจนส์รักษาฐานะทรัพย์สินของคน
และยังสามารถเอาดอลลาร์ถูกไปถล่มค่าเงิน หรือปั่นตลาดหุ้นตลาดการเงินประเทศอื่นๆ ได้อีกด้วย


ถึงแม้ว่าระบบการเงินของโลกมีปัญหาหนักหน่วง
แต่ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาตลาดอัตราแลกเปลี่ยนค่อนข้างจะสงบ
เงินยูโร/ดอลลาร์ซื้อขายกันอยู่ในช่วง 1.40-1.25
ในขณะที่ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 76-82 หยวน/ดอลลาร์อยู่ที่6.4-6.2
ดอลลาร์/ปอนด์อังกฤษอยู่ที่ 1.54-1.62 และสวิสฟรังค์/ยูโรอยู่ที่1.20

ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนบ้านเราก็มีเสถียรภาพพอสมควร บาท/ดอลลาร์อยู่ในช่วง 30-31
แต่สถานการณ์เริ่มเลวร้ายลงเมื่อญี่ปุ่นมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองช่วงปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ประกาศว่า...
จะทำทุกอย่างเพื่อให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นจากการซบเซามามากว่า 20ปี
หนึ่งในนโยบายที่สำคัญคือจะบังคับให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นพิมพ์เงินเพิ่ม
เพื่อทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นจาก 1% เป็น 2%และทำให้ค่าเงินเยนอ่อนตัว
เงินที่เคยอยู่ช่วง 76-82 ต่อดอลลาร์ อ่อนตัวลงอย่างกะทันหัน มาแตะที่ 90-91 ในช่วงที่ผ่านมา
ไม่นานอาจจะถึง 100 ก็เป็นไปได้

ค่าเงินบาทในช่วงต้นปีที่ผ่านมาแข็งค่าขึ้น 3% กว่า ตอนนี้แตะ 29 แล้ว ทั้งปี 2012 บาทแข็งค่าขึ้น 3%

การรวมหัวกันทำสงครามการเงินโดยสหรัฐและญี่ปุ่นครั้งนี้
ทำให้รัสเซีย เยอรมนี เกาหลีใต้ รวมทั้งประเทศอื่นๆ ออกมาโวย
เพราะการบีบค่าเงินดอลลาร์และเยนให้อ่อนตัวลง จะทำให้ค่าเงินประเทศอื่นแข็งค่าขึ้น
ความสามารถในการแข็งขันในการส่งออกจะลดลง
ถ้าจะลดค่าเงินตัวเองลงเพื่อแข่งกับดอลลาร์ เยนก็จะพากันไปตายกันเสียหมด
เพราะท้ายที่สุดจะไม่มีใครชนะกำไรในการขายของไม่มี เงินเฟ้อกินหมด


ไทยเรากำลังติดหางเลขไปด้วย ยังหาทางออกไม่เจอว่าจะแก้เกมกันอย่างไรเพราะยังมัวดูตำราอยู่
รัฐบาลอยากให้ค่าบาทอ่อน แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยกล้าๆ กลัวๆ ไม่กล้าแทรกแซงมาก
เพราะยิ่งแทรกแซงยิ่งขาดทุน ที่จริงประเทศเล็กๆ อย่างไทยคงจะทำอะไรมากไม่ได้
เพราะสึนามิทางการเงินกำลังมา จะพึ่งพาการส่งออกเหมือนในอดีตไม่ได้
ตอนนี้คงต้องดูแลทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีอยู่ 1.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐให้ดีๆ
ด้วยการตุนทองและทำสวอปบาท/หยวนเพื่อปกป้องตัวเอง เหลือดอลลาร์แค่พอทำการค้าระหว่างประเทศ

เพราะระบบการเงินโลกกำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยนแปลงอย่างหน้ามือพลิกเป็นหลังมือ
 
เจ้ามือหุ้นไม่ใช่ปัญหาของนักเก็งกำไร!
White Lady 3 thumb4 เจ้ามือหุ้นไม่ใช่ปัญหาของนักเก็งกำไร!
“ซื้อขายตามกราฟหรือตามสูตรก็มีแต่จะโดนเจ้ามือกิน เพราะมันคือสิ่งที่เจ้ามือทำเอาไว้หลอกหรือดักเรา”
นี่คือความคิดของนักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ พวกเขาส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าการลงทุนตามกราฟหรือระบบการลงทุนที่ชัดเจนจะ สามารถทำกำไรได้ในระยะยาว และซ้ำร้ายแล้วยังมีแต่จะรอวันโดนเจ้ามือหุ้นเล่นงานเข้าให้จนหมดตัวเสีย ด้วย
แน่นอนครับว่าเมื่อฟังดูแล้วมันก็ออกจะมีเหตุผลอยู่พอสมควร อย่างไรก็ตาม ผมถือว่านี่เป็นคำพูดของคนที่ไม่ได้รู้จักและเข้าใจในศาสตร์ของการเก็งกำไร กันสักเท่าไหร่นัก ซึ่งผมจะค่อยๆอธิบายให้ฟังกันครับ

กราฟไม่ได้หลอก เพราะไม่ใช่ทุกคนจะมองกราฟและตีความไปในแนวทางเดียวกัน

เหตุผลอย่างแรกของผมเลยก็คือทุกคนไม่ได้ตีความจากกราฟไปในแนวทางเดียวกัน ผมมักจะได้ยินหลายๆคนคุยกันว่าเวลาเกิดสัญญาณซื้อขายขึ้นมาส่วนใหญ่ก็เพราะ เจ้ามือทำขึ้นมาหลอกเราทั้งนั้น
ชุดความคิดแบบนี้มี Error ที่เป็นจุดตายอยู่อย่างหนึ่งก็คือคุณกำลังคิดไปเองว่าโลกนี้มีสัญญาณซื้อ ขายอยู่เพียงสัญญาณเดียว นั่นก็คือสัญญาณที่เจ้ามือเชื่อว่ามันคือสัญญาณและสร้างราคาขึ้นมาเท่านั้น!
แต่หากคุณจะลองคิดให้ดูอีกสักครั้ง คุณจะพบว่าพวกเราแต่ละคนนั้นแทบจะไม่มีใครมองกราฟเหมือนกันเป๊ะๆเลยด้วยซ้ำ (แม้กระทั่งระบบการลงทุนของแต่ละคนก็ไม่ได้มีจุดเข้าออกหรือเงื่อนไขการคัด เลือกหุ้นที่เหมือนกัน) แนวโน้มหุ้นของแต่ละคนที่สรุปออกมาจากกราฟนั้นแทบไม่มีทางตรงกัน, พร้อมกันและเกิดขึ้น ณ จุดเดียวกันตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นแล้วตลาดจะไม่มีการซื้อขายเกิดขึ้นเนื่องจากไม่มีใครที่คิดต่าง กัน
นี่คือเหตุผลข้อแรกที่ผมจะขอยกมาค้านว่า เจ้ามือไม่ใช่ปัญหาของนักเก็งกำไร กราฟไม่ได้มีเอาไว้เพื่อให้คุณโดนหลอก และอันที่จริงก็ไม่มีเจ้ามือคนไหนจะมานั่งหลอกหรือพยายามหลอกคุณเพียงแค่คน เดียวอยู่ตลอดเวลา เจ้ามือเองก็ไม่สามารถรู้จนครบได้หรอกครับว่าพวกคุณแต่ละคนในตลาดรอสัญญาณ จากเครื่องมืออะไรอยู่ พวกเขาเองก็ไม่ได้ต่างกับเราในจุดที่ว่าต้องลอง Bet เพื่อแหย่ตลาดดูอาการตอบสนองของคนส่วนใหญ่เช่นกัน และก็แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกครั้งที่การซื้อขายของพวกเขาจะมีกำไรอย่างที่เราคิด
ดังนั้นแล้ว สัญญาณการซื้อขายตามกราฟในแต่ละครั้งของคุณจริงๆจึงไม่ได้เกิดจากเจ้ามือ แต่มันคือเงาสะท้อนซึ่งเกิดจากความเชื่อและมุมมองของคุณซึ่งมีต่อกราฟในรูป แบบต่างๆ และตรงนี้ก็จะกลายเป็นประสิทธิภาพของระบบการลงทุนนั้นๆซึ่งจะบ่งชี้ถึงผล กำไรในอนาคตของคุณอย่างแท้จริง

รากเหง้าของผลกำไรจากระบบการลงทุนที่ยั่งยืน เกิดจากกลไกพื้นฐานของตลาดซึ่งเป็นสิ่งที่เราทุกคนไม่สามารถฝืนหรือหลีกเลี่ยงได้

มีแต่คนที่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับใช้กราฟหรือการสร้างระบบการลงทุนเท่า นั้นที่คิดว่าพวกเขาจะโดนเจ้ามือกินจนเจ๊ง นั่นก็เพราะเบื้องหลังของวิธีการลงทุนที่ดีและยั่งยืนทุกระบบนั้นเกิดขึ้น จากการวางตัวให้สอดคล้องไปกับกลไกพื้นฐานของตลาดซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ต่างหาก (ไม่ว่าจะเป็นการเก็งกำไรตามวิจารณ์ญาณหรือตามระบบการลงทุนก็ตาม)
แล้วอะไรคือตัวอย่างของกลไกพื้นฐานของตลาดหุ้นคืออะไรน่ะหรือครับ?
ตัวอย่างก็เช่น เราจะพบว่าการที่สภาวะของตลาดหุ้นจะเอื้อต่ำการทำกำไรและกลายเป็นขาขึ้นมา ได้นั้น ตลาดจะต้องมีหุ้นที่แข็งแกร่งและสดใหม่ขึ้นมานำตลาดเป็นจำนวนหนึ่งอยู่เสมอ ซึ่งหุ้นเหล่านี้ก็มักที่จะเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานในขณะนั้นที่ดีเอา มากๆจนเรียกได้ว่าอยู่ในจุด Peak ของมันเลยทีเดียว และแน่นอนว่านั่นทำให้ราคาของพวกมันมักจะคลอเคลียหรือวิ่งขึ้นทำจุดสูงสุด ใหม่อยู่เสมอ (หรือที่พวกเรามักเรียกกันในภาษากราฟว่าหุ้น All Time High) และนี่ก็คือตัวอย่างหนึ่งของสิ่งที่พวกเราควรจะมองหาและวางระบบการลงทุนให้ สอดคล้องกับพวกมันเอาไว้!
SET thumb เจ้ามือหุ้นไม่ใช่ปัญหาของนักเก็งกำไร!
จำนวนหุ้นที่ทำจุดสูงสุดใหม่ All Time High และมีปริมาณการซื้อขายโดยเฉลี่ยมากกว่า 1 ล้านบาท/เดือน เปรียบเทียบกับแนวโน้มของตลาดหรือ SET Index วัดจาก PnT Indicator 1%

image thumb5 เจ้ามือหุ้นไม่ใช่ปัญหาของนักเก็งกำไร!ตัวอย่างผลการลงทุนจากระบบ ATH System ซึ่งทำการซื้อหุ้นเมื่อทำจุดสูงสุด All Time High และตัดขาดทุนเมื่อแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไป เปรียบเทียบกับผลตอบของ SET index เมื่อลงทุนด้วยเงินทุนเริ่มต้นเท่าๆกันที่ 1 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 4/1/2000 – 16/11/2012
จากภาพแรกนั้นคุณจะเห็นได้ว่าเมื่อตลาดหุ้น SET Index เป็นขาขึ้น เราจะพบว่าจำนวนของหุ้นที่ทำจุดสูงสุดใหม่แบบ All Time High จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นและลดลงอย่างชัดเจนเมื่อตลาดเป็นขาลง ซึ่งเมื่อเราได้วางระบบการลงทุนให้สอดคล้องกับกลไกพื้นฐานของตลาดในรูปแบบ นี้ ระบบการลงทุนง่ายๆนี้ก็สามารถที่จะทำกำไรออกมาจากตลาดได้อย่างยั่งยืนมาตลอด นี่ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นไทยเพียงอย่างเดียว แต่พวกมันคือปรากฏการณ์ซึ่งเกิดขึ้นในตลาดหุ้นทั่วโลกมาอย่างยาวนาน นั่นก็เพราะมันคือสิ่งที่จำเป็นจะต้องเกิดขึ้นจากกลไกพื้นฐานของตลาดหุ้น ซึ่งไม่มีเจ้ามือคนไหนจะต้านทานได้
นอกจากนี้ตารางสรุปผลการเทรดของระบบ เราจะพบว่าระบบการลงทุนมีจำนวนการซื้อขายเกิดขึ้นถึงกว่า 700 ครั้ง และถ้าคุณคิดว่าเจ้ามือจะตามราวีคอยจ้องมองหาและดักทางเพื่อทุบหุ้นจาก สัญญาณการซื้อขายของคุณทุกๆครั้ง ผมคิดว่าคุณอาจกำลังวิตกจริตจริงๆและผมก็คงจะไม่สามารถช่วยอะไรคุณได้จริงๆ ครับ (จริงแล้วถ้าเจ้ามือจะดันหุ้นมาดักเราทุกครั้งได้ก็ทำไปเหอะนะ อิอิ)

เจ้ามือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นของนักเก็งกำไรทุกคนคือสภาวะของตลาด

นี่คือสิ่งที่คุณควรสนใจจริงๆ มันคือกฏที่คุณจะต้องเข้าใจ … และถ้ายังไม่เข้าใจคุณก็จะค่อยๆสะสมชั่วโมงบินในตลาดจนเข้าใจไปเองในที่สุด ผมเองเชื่อว่ากฏธรรมชาติข้อนี้คือกฏที่พวกเราทุกคนในตลาดไม่อาจหนีพ้นไปได้ ไม่เว้นแม้แต่เจ้ามือหุ้น
เหตุผลก็เพราะว่าถึงแม้ใครจะเป็นเจ้ามือปั่นหุ้นที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วถ้าตลาดไม่เอื้ออำนวยพวกเขาก็จะไม่สามารถล่อหลอกใครให้มาซื้อ มาขายได้สักเท่าไหร่นัก จริงอยู่ว่าเจ้ามืออาจปั่นราคาขึ้นมาได้แต่เจ้ามือก็ไม่ใช่พระเจ้า ถ้าตลาดไม่ดีหรือแนวโน้มของหุ้นตัวนั้นไม่ดึงดูดจริงๆพวกเขาก็จะต้องติดหุ้น ไปเองในที่สุด
ด้วยเหตุนี้เองแนวโน้มของตลาดหรือหุ้นจึงเป็นเจ้ามือหุ้นตัวจริงของพวก เรา เจ้ามือหุ้นไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทุบหุ้นให้เละเมื่อตลาดยังคงเอื้ออำนวย ต่อการทำกำไรของพวกเขา ผมเองเชื่อว่าด้วยการที่เรารู้จักวางตนให้ลงรอยไปในทิศทางเดียวกับตลาดอยู่ เสมอและตัดขาดทุนเมื่อแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไป การกระทำเหล่านี้จะช่วยให้พอร์ทของคุณค่อยๆเติบโตขึ้นไปตามกาลเวลาโดย อัตโนมัติ (ถ้าคุณไม่สติแตกเสียวินัยไปเสียก่อน)
Short Note :แม้ว่าเจ้ามือจะดูยิ่งใหญ่แค่ไหนในสายตาของเรา แต่พวกเขาก็เป็นเพียงแค่คนกลุ่มเล็กๆกับเงินทุนที่ไม่มากสักเท่าไหร่นัก เมื่อเทียบกับสถาบันการเงินหรือกองทุนยักษ์ใหญ่ซึ่งมีอำนาจและผลกระทบกับ ตลาดโดยรวมจริงๆ เจ้ามือหุ้นปั่นจึงยังคงไม่สามารถที่จะปั่นหรือควบคุมสภาวะตลาดโดยรวมเอาไว้ ให้เป็นประโยชน์กับตนเองได้
นี่หมายความว่าผมกำลังบอกว่า “เจ้ามือ” ที่แท้จริงคือสถาบันหรือกองทุนยักษ์ใหญ่พวกนี้หรือไม่?
ในมุมมองของผมนั้น คำตอบก็คือทั้งใช่และไม่ใช่ คำตอบที่ว่าใช่ก็คือแน่นอนว่าสภาวะของตลาดโดยรวมส่วนใหญ่คือผลลัพท์จากทิศ ทางการซื้อขายของพวกเขา ส่วนที่ไม่ใช่ก็คือพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะฝืนสภาวะของเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น หรือพื้นฐานของกิจการจริงๆไปได้เช่นเดียวกัน (และก็ไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาต้องทำเช่นนั้นด้วย) อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากการซื้อขายของพวกเขาก็ยังคงไม่ใช่สิ่งที่อันตรายและน่ากลัวจนตั้ง รับไม่ทันด้วยเช่นกันเนื่องมาจากขนาดของเม็ดเงินที่ใหญ่จึงทำให้พวกเขาต้อง ค่อยๆทยอยซื้อทยอยขาย จนเกิดเป็นแนวโน้มของตลาดซึ่งเราสามารถเห็นกันได้อย่างชัดเจนนั่นเอง

คุณคือผู้กำหนดผลการลงทุนของคุณเองในระยะยาวไม่ใช่เจ้ามือหุ้น

ผมเชื่อว่าหลังจากที่ผมเขียนมาถึงตรงนี้ ก็คงยังจะมีอีกหลายๆคนที่จะพูดกลับมาว่า “แต่ก็มีนักลงทุนหลายๆคนที่ซื้อหุ้นตามกราฟแล้วขาดทุนเพราะหุ้นโดนทุบจนแทบ หมดตัวไม่ใช่หรือ?” ผมเองก็หวังว่ามันคงจะไม่ใช่คำพูดที่แรงเกินไปถ้าผมจะพูดว่านั่นเป็นปัญหา ของนักเก็งกำไรที่อ่อนหัดเท่านั้น
ที่ผมต้องพูดว่ายังอ่อนหัดนั่นก็เพราะนักเก็งกำไรที่ช่ำชองนั้นจะต้องรู้ ถึงขอบเขตและความเสี่ยงของพวกเขาอยู่เสมอ พวกเขาจะต้องรู้ว่าสัญญาณต่างๆที่เกิดขึ้นจากกราฟนั้นเป็นเพียงการพยายามหา ช่องทางในการทำกำไรจากความไร้ประสิทธิภาพของตลาด (Market Annomalies) ซึ่งสามารถยืนยันได้อย่างมีมีนัยสำคัญจากผลทางสถิติในอดีตที่ผ่านมา สัญญาณต่างๆไม่ใช่ Holy Grail ที่จะต้องถูกต้องแม่นยำตลอดเวลาและไม่มีใครการันตีได้ว่าคุณจะไม่ขาดทุน เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่กราฟหรือ Technical Analysis นั้นถูกออกแบบมาเลย
คุณจำเป็นที่จะต้องรู้ว่าสัญญาณซื้อขายต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นในกราฟนั้น คือเครื่องมือที่ถูกนำมาช่วยให้เรามีกำไรสุทธิเป็นบวกจากตลาดในระยะยาว แต่ไม่ได้จำเป็นว่ามันจะต้องถูกหรือช่วยพยากรณ์อนาคตได้เสมอ ซึ่งนั่นก็จะนำไปสู่ความเข้าใจถึงการควบคุมความเสี่ยงอย่างเหมาะสม (ผ่าน Risk-Money Managmenet) โดยเมื่อกลไกในการควบคุมความเสี่ยงได้ถูกนำมาปรับใช้กับระบบการลงทุนใดๆแล้ว ล่ะก็ โอกาสที่คุณจะขาดทุนจนแทบหมดตัวจากการโดนทุบหุ้นในแต่ละครั้งจะเป็นไปแทบไม่ ได้เลยเพราะคุณจะไม่มีวันถือหุ้นอยู่เพียงตัวเดียวหรือ 2-3 ตัวอีกต่อไป นอกจากนี้แล้วแรงเหวี่ยงหรือผลขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นจากการโดนทุบโดนลากก็จะ ถูกประเมินและคำนวณเอาไว้ล่วงหน้าอยู่แล้วด้วยซ้ำ
สำหรับนักเก็งกำไรผู้รู้งานนั้น ผลกำไร-ขาดทุนจากการเทรดในแต่ละครั้งจะไม่ใช่สิ่งที่มีผลสำคัญสำหรับพวกเขา พวกมันคือหนึ่งในผลลัพท์ที่เกิดขึ้นจากระบบการลงทุนของพวกเขาเพียงเท่านั้น เอง ข่าวดีก็คือกระบวนการจัดการความเสี่ยงทั้งหลายเหล่านี้นั้นเจ้ามือหุ้นแทบ ไม่สามารถที่จะเข้ามาบังคับการวางแผนการต่างๆของคุณได้เลยและนี่ก็คือเหตุผล ที่ผมจึงกล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่า
“เจ้ามือหุ้นไม่ใช่ปัญหาของนักเก็งกำไร” นั่นเองครับ

บทความโดย mangmaoclub.com

ตลาด Forex คืออะไร

ตลาด Forex (FOReign Exchange market) คือ ตลาดการค้าสกุลเงินระหว่างประเทศ (การเก็งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน) ในการซื้อ-ขายเงินตราเหล่านี้ผู้ค้าจะสั่งซื้อเงินสกุลหนึ่งเพื่อแลกกับเงิน สกุลอื่น ตัวอย่างเช่น หากคาดการณ์ว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะลดลงเมื่อเทียบกับเงินยูโร ในสถานการณ์เช่นนี้ผู้ประกอบการค้าอัตราแลกเปลี่ยนจะขายเงินดอลลาร์และซื้อ เงินยูโร ถ้าเงินยูโรแข็งค่าขึ้นผู้ประกอบการค้าสามารถขายเงินยูโรแล้วซื้อเงิน ดอลลาร์กลับมาได้จำนวนที่มากขึ้น สิ่งนี้คือการทำกำไร

การเก็งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจะคล้ายกับการซื้อขายหุ้น ผู้ประกอบการค้าหุ้นจะซื้อหุ้นถ้าพวกเขาคิดว่าราคาของมันจะเพิ่มขึ้นในอนาคต และจะขายสินค้าหากพวกเขาคิดว่าราคาของมันจะลดลงในอนาคต ในทำนองเดียวกันผู้ประกอบการค้าอัตราแลกเปลี่ยนจะซื้อคู่สกุลเงินถ้าพวกเขา คาดหวังว่าอัตราแลกเปลี่ยนจะเพิ่มขึ้นในอนาคตและจะขายคู่สกุลเงินถ้าพวกเขา คาดหวังว่าอัตราแลกเปลี่ยนจะลดลงในอนาคต

ตลาด Forex มีมูลค่าการซื้อขายต่อวันสูงถึง 4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก สกุลเงินหลักที่ใช้ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนคือเงินดอลลาร์สหรัฐ

ใครเป็นผู้ซื้อขายในตลาด Forex
มีผู้เล่นที่แตกต่างกันจำนวนมากในตลาด forex มีทั้งที่ซื้อขายเพื่อทำกำไร บางคนค้าเพื่อป้องกันความเสี่ยง และบางคนต้องการซื้อเงินตราต่างประเทศเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการ ผู้เล่นต่างๆ มีดังนี้
• ธนาคารกลางของรัฐบาล
• ธนาคารพาณิชย์
• ธนาคารเพื่อการลงทุน
• องค์กรระหว่างประเทศ
• กองทุนบำเหน็จบำนาญ
• โบรกเกอร์และตัวแทนจำหน่าย
• บริษัทประกันภัย
• บุคคลทั่วไป

ความน่าสนใจของตลาด Forex
• ตลาด online ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตจึงทำให้ทุกคนสามารถซื้อ-ขายได้
• สามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง
• ตลาดจะไม่ถูกใครควบคุมไว้
• โบรกเกอร์เก็บค่าดำเนินการซื้อขายต่ำมาก
• ตลาดเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมงในวันจันทร์ - ศุกร์
• ทุนเริ่มต้น $1!! หรือ 30 บาท

เวลาทำการของตลาด
ตลาด Forex นั้นมีหลายแห่งในโลก มีเวลาการเปิดปิดที่คาบเกี่ยวกัน ทำให้สามารถเทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ตั้งแต่เช้าวันจันทร์เวลาตี 4 จนถึงเช้าวันเสาร์เวลาตี 4 (ตามเวลาประเทศไทย) ซึ่งตลาดต่างๆ มีเวลาเปิด-ปิดดังนี้


ตลาดประเทศเวลาทำการ
ชื่อย่อ ชื่อเต็มเวลาเปิดเวลาปิด
AUDAustralian DollarAustralia5.0013.00
JPYJapanese YenJapan7.0014.00
CHFSwiss FrancSwitzerland13.0021.00
EUREuroEuropean Monetary Union13.0021.00
GBPBritish PoundGreat Britain14.0022.00
USDUS DollarUnited States19.003.00

ลงทุนใน Forex ได้เงินจริงหรือเปล่า
เล่น Forex แล้วได้เงินจริงหรือเปล่า ผมขอตอบว่า...ได้จริงและเสียจริงครับ อยู่ที่ว่าคุณทำได้หรือเปล่า คุณต้องขยันศึกษาหาความรู้ หาเทคนิคในการทำกำไร ก็เหมือนกับอาชีพอื่นๆ การที่จะเก่งได้นั้นก็ต้องผ่านการเรียนรู้และฝึกฝน การเล่น Forex จะคล้ายๆ การเล่นหุ้น แต่เป็นการซื้อขายค่าเงินแทน ตลาดจะคล่องตัวกว่าตลาดหุ้นมาก โบรกเกอร์ที่ให้บริการเทรด Forex ส่วนใหญ่แล้วจะมีเงินปลอมให้ทดลองเทรด (Demo Account) จึงควรศึกษาให้เข้าใจก่อนแล้วค่อยเล่นด้วยเงินจริง
 
ที่มา  http://money4fx.blogspot.com/

เราสามารถทำเงินได้อย่างไร?

อีกหนึ่งคำถามหลังจากรู้จักกับตลาด Forex กันแล้วก็คือซื้อขายอย่างไรจึงจะได้กำไร ซึ่งการซื้อขายในตลาด Forex จะสามารถทำได้สองทางคือ

- Buy ซื้อเมื่อราคาถูกแล้วขายราคาแพง คือเปิดออเดอร์ Buy ตอนที่ราคากร๊าฟวิ่งลงต่ำแล้ว Sell ตอนที่กร๊าฟวิ่งขึ้นสูงเพื่อปิดออเดอร์ทำกำไร

- Sell (Short) ขายราคาแพงแล้วซื้อกลับตอนราคาถูก คือเปิดออเดอร์ Sell (Sort) ตอนที่กร๊าฟวิ่งขึ้นสูง แล้ว Buy ตอนที่กร๊าฟวิ่งลงต่ำเพื่อปิดออเดอร์ทำกำไร

ถึงตอนนี้บางท่านก็อาจจะยังงง ๆ กับการ Buy และ Sell อยู่จึงขอยกตัวอย่างจากบัญชี Standard ดังนี้

ตัวอย่างเปิดออเดอร์ Buy
1. คุณจะเปิดออเดอร์ที่ 0.01 lot ได้กำไร-ขาดทุนเท่ากับจุดละ 0.1$
2. ถึงตอนนี้คุณคิดว่ากร๊าฟน่าจะวิ่งลงมาถึงจุดต่ำสุดแล้วจึงได้เปิดออเดอร์ Buy ที่ราคา 1.2750
3. พอเวลาผ่านไประยะหนึ่งกร๊าฟได้วิ่งขึ้นไปถึงราคา 1.2850 คุณก็ได้ทำการ Sell เพื่อปิดออเดอร์ทำกำไร
4. จากการเปิด Buy ที่ราคา 1.2750 แล้ว Sell ที่ราคา 1.2850 จะเท่ากับได้กำไร 100 จุด
5. จากข้อ 1. เท่ากับกำไรที่ได้จุดละ 0.1$ ก็เอา 0.1$ คุณ 100 จุด ก็เท่ากับได้กำไร 10$




ตัวอย่างเปิดออเดอร์ Sell
1. คุณจะเปิดออเดอร์ที่ 0.01 lot ได้กำไร-ขาดทุนเท่ากับจุดละ 0.1$
2. ถึงตอนนี้คุณคิดว่ากร๊าฟน่าจะวิ่งขึ้นมาถึงจุดสูงสุดแล้วจึงได้เปิดออเดอร์ Sell ที่ราคา 1.2850
3. พอเวลาผ่านไประยะหนึ่งกร๊าฟได้วิ่งลงถึงราคา 1.2750 คุณก็ได้ทำการ Buy เพื่อปิดออเดอร์ทำกำไร
4. จากการเปิด Sell ที่ราคา 1.2850 แล้ว Sell ที่ราคา 1.2750 จะเท่ากับได้กำไร 100 จุด
5. จากข้อ 1. เท่ากับกำไรที่ได้จุดละ 0.1$ ก็เอา 0.1$ คุณ 100 จุด ก็เท่ากับได้กำไร 10$




ที่มา  http://money4fx.blogspot.com/

หลักการลงทุนแบบ Buffett

ที่มาในแบบ chart รูปภาพเข้าใจง่าย

ทุกวันนี้คุณมีรายได้หลักจากด้านไหน

อีกครั้ง อยากแบ่งปัน...คนส่วนใหญ่ 95% จะมีรายได้จาก active income คือต้องลงแรงเอง(ทั้ง act และทั้งถีบ) จะมีเพียง 5% ในโลกนี้ที่เป็นแบบคานผ่อนแรงคือ passive income...โอกาสของ passive income คือรายได้แบบเงินไหลไม่ต้องลงแรงที่ได้จากการเป็นเจ้าของระบบที่ 1.leverage ด้วยคน=B(big business)....หรือ 2.leverage ด้วย เงิน=i(investor) คุณมี income จากด้านไหนครับ active หรือ passive income ?....สำหรับ ธุรกิจ ที่ยังต้องอาศัยเราขาดเราไม่ได้แบบนั้นยังไม่ถือเป็น B นะครับ ยังคงเป็นแค่ Sเพราะเรายังต้องเหนื่อยอยู่ดี....สำหรับผมแนวคิดที่ดีเกิดจากความสมดุลย์ เริ่มต้นจากเราต้องทำงานที่เราร่ำเรียนมาเพื่อให้ได้เงิน แล้ว ให้เงินทำงานโดยที่เราไม่ต้องกังวลใจ คือ I ที่ดี...ในระยะยาวแล้วระบบการลงทุนจะต้อง generate เงินที่สม่ำเสมอและมากเพียงพอโดยที่เราไม่ต้องเหนื่อยอีกด้วย ...แน่นอนนี่แหละครับคือแก่นแนวคิดที่มาของบริษัท FRT ที่ให้หุ่นยนต์บริหารจัดการport ในระยะยาว...ขอเพียงเป็นเงินเย็นและลงทุนยาวก็พอ....

ที่มา   http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=48259
 
   
 

ศ.ดร.อมรา พงศาพิชญ์

ลองอ่านประวัติดูก็จะรู้ที่มาที่ไปว่า อย่างไร แล้วก็จะทราบดีถึงสิ่งที่เกิดขึ้น




เปิดที่มานางอมรา ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ทำไมเธอคนนี้ถึงไม่เคยอยู่ข้างประชาชน

หลายๆท่านอาจจะจำไม่ได้ว่า ประธาน กสม.เคยทำอะไรไว้บ้าง ?

ปูม หลัง เครือข่าย นายสนธิ และอ.จ.จุฬา

- ท่านทราบหรือไม่ว่า ?
1. นายสนธิ เป็นเพื่อนสนิทกับอภิสิทธิ์

2. ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทรวนิช เป็นลูกจ้าง บ.ผู้จัดการ ของนายสนธิ

3. ศ.ดร.อมรา พงศาพิชญ์ ได้รับเลือกเป็นคณบดีคณะรัฐศาสตร์ด้วยคะแนนเสียงต่ำสุด เป็นอับดับที่ 3 จากการสรรหาคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา โดยมี ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทรวนิช เป็นกรรมการสรรหา โดยอ้างว่า
- ผู้ที่ได้คะแนนอันดับที่ 1 (26 คะแนน) ไม่เหมาะสม
- แต่ ศ.ดร.อมรา พงศาพิชญ์ ที่ได้ที่ 3 (8 คะแนน) มีความเหมาะสมด้วยเหตุผลที่ว่า “คณะรัฐศาสตร์ ควรจะลองของใหม่ๆ”

- ท่านสงสัยไหมว่า ?
ทำไม ศ.ดร.อมรา พงศาพิชญ์ พร้อม ศ.ดร.ชั่ยอนันต์สมุทรวนิช และคณะจึงอาศัยชื่อคณะรัฐศาสตร์ประกาศขับไล่นายกฯ ออกจากตำแหน่ง ในวันที่ 2 กพ. ก่อนที่นายสนธิ จะชุมนุมในวันที่ 4 กพ.

- ท่านทราบเรื่องนี้หรือไม่ ?
ตลอดเวลา 3 ปีในการดำรงตำแหน่งคณบดีคณะรัฐศาสตร์ ศ.ดร.อมรา พงศาพิชญ์ มิได้สร้างชื่อเสียง หรือ ผลงานของคณะรัฐศาสตร์ในทางที่ดี มีการประสานงานกับสมาคมนิสิตเก่ารัฐศาสตร์ไม่ราบรื่น

- ท่านมองออกหรือไม่ว่า ?
ทำไม ศ.ดร.อมรา พงศาพิชญ์ จึงมีคำสั่งให้มีการประชุมคณะกรรมการคณะรัฐศาสตร์นัดพิเศษ พร้อมเชิญคณาจารย์ทุกท่านในคณะรัฐศาสตร์ประชุมในบ่ายวันที่ 8 กพ เพื่อ
* อาจารย์ที่ไม่เข้าร่วมประชุมจะถูกหาว่าเป็นพวกเดียวกับนายก
* อาจารย์ที่เข้าร่วมประชุมต้องลงชื่อเข้าร่วมประชุม แล้วนำไปรวมกับรายชื่อผู้ขับไล่นายกฯ
* สมาคมนิสิตเก่ารัฐศาสตร์(สรจ.) เป็นสถาบันเก่าแก่และมีความรัก เทิดทูนสถาบันจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมายาวนาน และต่อเนื่อง ทำคุณประโยชน์ให้กับคณะและนิสิตปัจจับันมากมาย ความรักของ สรจ. น่าจะมากกว่าของ ศ.ดร.อมรา พงศาพิชญ์ที่ไม่เคยเป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยแห่งไหนเลยในประเทศไทย และ ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทรวนิช ที่มาเรียน รัฐศาสตร์เพียง 1 ปีการศึกษา
* ไปสืบกันเอาเองว่าอาจารย์ที่ขับไล่นายกฯ มีใครเคยทำงานให้กับพรรคการเมืองใดบ้างหรือไม่ “คิดให้ดีๆ นะ”

- ท่านทราบหรือไม่ว่า ?
4. ชัยอนันต์ สมุทรวณิช และ กนก อภิรดี เคยเป็นผู้บริหาร บ. IEC ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของเอ็มกรุ๊ปของสนธิ ลิ้มทองกุล ก่อนที่จะล้มละลาย

5. ลูกชัยอนันต์ ทำงานเป็นลูกจ้าง สนธิ

6. ลูกชายสนธิ กับลูกชาย ชัยอนันต์ หุ้นกัน ที่นายกว่าเอาเงินปรับโครงสร้างของสนธิมาใช้ไงกำลังโดนเรียกเงินคืน (พชร สมุทวนิช ลูกชายของชัยอนันต์ กับจิตตนาถ ลิ้มทองกุล เปิดทำธุรกิจ บ.เวิลด์ไวด์มีเดีย ร่วมกันโดยใช้เงินที่ว่า)

7. ดร.อัมรา พงศาพิชญ์ คณบดีรัฐศาสตร์จุฬาฯ จบจาก University of California ในขณะที่ สนธิ ลิ้มทองกุล ก็จบจาก University of California เหมือนกัน

8. ดร. อมรา ที่รัฐศาสตร์ เป็นผู้มีความใกล้ชิดกับ ดร. อุบลรัตน์ ที่นิเทศศาสตร์ กลุ่มนี้จะเรียกว่าเป็นกลุ่มขาประจำฝั่งจุฬาก็ได้
ดร. อุบลรัตน์ เป็นประธาน คปส. โดยมี *** “สุริยะใส ” *** เป็นกรรมการ และมีเลขาชื่อ “สุภิญญา กลางณรงค์” คนถูกชินฟ้อง 400 ล้าน

9. ผศ.ดร. กัลยาณี คูณมี อาจารย์ นิด้า ที่ให้นายกลาออก — เป็นอะไรกับ ประพันธ์ คูณมี สส.สอบตกของประชาธิปัตย์ แกนนำม๊อบ

ขอบคุณ แหล่งข้อมูล "Red Intelligence"
http://www.facebook.com/RedIntelligence/posts/10151532544655723

ที่มา  http://pantip.com/topic/30826401

วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

จิม โรเจอร์ "อินเดียน่าโจนส์....เเห่งตลาดการเงิน"

ในบรรดาประวัติของเทรดเดอร์ระดับโลกทั้งหมด ผมชอบประวัติของจิมโรเจอร์ มากที่สุด เพราะผมรู้สึกว่าโรเจอร์ เป็นคนที่มีสุดยอด Life Style ชัดเจนกว่าเทรดเดอร์คนอื่นๆ เป็นเทรดเดอร์ที่สามารถเชื่อมต่อความลุ่มหลงในการเทรด( Trading) เข้ากับ การท่องเที่ยว(Travelling) เเละการสอน (Teaching) นอกจากสามด้านนี้เเล้ว โรเจอร์ยังเป็นนักบุกเบิกอีกด้วย เมื่อเขาไม่สามารถหาดัชนีเกี่ยวกับตลาดสินค้าเกษตร (commodities) ที่เขาต้องการได้ เข้าก็สร้างมันขึ้นมาเอง ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้กลายเป็นดัชนีที่เติบโตเร็วที่สุดของโลกไปเเล้ว โรเจอร์ได้หลุดเข้ามาสู่โลกเเห่งการเทรดโดยบังเอิญ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ค้นพบว่าตัวเองมีความลุ่มหลงในด้านการเทรดอย่างมาก จนได้มีคำกล่าวว่า "ตลาดห้นเเละตลาดการเงิน พร้อมที่จะจ่ายรางวัลตอบเเทนอย่างมหาศาลให้กับคนที่สามารถรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นบ้างในตลาด ซึ่งจิมโรเจอร์ พร้อมที่จะไขปัญหาเเม้ว่าจะทำงานให้เเบบฟรีๆ ก็ตาม เพราะเขาชอบความตื่นเต้นเเละท้าทาย"

โรเจอร์ได้กลับเข้าไปเรียนที่ Oxford เพิ่มเติมอีก 2 ปี โดยเน้นด้าน ปรัชญา เเละก็เศรษฐศาสตร์ เขาจะใช้เวลาว่างที่มีในการอ่านหนังสือ Economist , Financial time เเละฝันไว้ว่าเค้าจะเป็น "Gnomes of Zürich"
ผมขออธิบายเพิ่มเติมนะครับ Zurich เป็นเมืองนึงของประเทศสวิซเซอร์เเลนด์ ซึ่งขึ้นชื่อที่สุดด้านการเก็งกำไรในตราสารทุกประเภท คำว่า "Gnomes of Zürich" จึงตีความหมายว่า มีความสามารถในการลงทุนเเละเก็งกำไรขั้นสุดยอด

ในปี 1980 โรเจอร์กับโซรอสได้ร่วมกันจัดตั้งกองทุน Quantum Fund โดยเขากล่าวว่า "ทุกๆวัน เวลาที่เขาตื่นมาตอนเช้า ไม่มีอะไรที่จะทำให้ เขามีความตื่นเต้น เเละมีความสุขอย่างมากได้เหมือนกับตลาดการเงิน" การทำงานเป็นเทรดเดอร์เหมือนการเล่นเกมส์ต่อปริศนา ที่ทุกๆวันจะมีเกมส์ใหม่ๆออกมาให้เราเล่นเสมอๆ เป็นที่สุดของความสนุกสำหรับเขา Quantum Funds นั้นสามารถสร้างผลตอบเเทนการลงทุนให้กับนักลงทุนได้อย่างมหาศาล ถึงกว่า 42 เท่า ภายในระยะเวลา 10 ปี ในขณะที่ผลตอบเเทนจากการลงทุนใน S&P 500 ได้เเค่เพียง 47% ซึ่งในปี 198o นั้นเองที่โรเจอร์ตัดสินใจที่จะเกษียณตัวเองออกจากกองทุน เเล้วเริ่มทำตามความฝันของตัวเองก็คือ เที่ยวรอบโลก พร้อมกับเขียนหนังสือ

จากเรื่องราวของโรเจอร์นั้นมีคำถามที่น่าสนใจ ตามมาซึ่งได้แก่........
1. อิสระ Vs ความมั่นคง ถ้าเราเลือกได้เราจะเลือกอะไร
2. ความสุข Vs รายได้ เป็นไปได้หรือไม่ ที่เราจะทำในสิ่งที่เรารัก เราชอบ เเล้วรายได้จะตามมามหาศาลเฉกเช่นกับ โรเจอร์

ลองหาคำตอบดูนะครับ คำตอบเเต่ละคนคงไม่เหมือนกันเเน่ๆ เเต่การที่เราตั้งคำถามจำพวกนี้บ่อยๆ จะช่วยทำให้เราเห็นเเง่มุมชีวิตของตัวเราเองหลากหลายขึ้นครับ

          ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=47903 

คำคมของเซียนหุ้นระดับโลก

ปีเตอร์ลิน กล่าวไว้ในหนังสือ beating the street ว่า

ไม่ว่าคุณจะใช้วิธีการไหนเลือกหุ้นสุดท้ายสิ่งที่จะตัดสินว่าคุณจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวคือความสามารถในการเพิกเฉยต่อความกังวลกับเรื่องต่างๆในโลกได้ยาวนานพอที่จะทำให้การลงทุนของคุณ ประสบความสำเร็จ

สิ่งที่จะกำหนดชะตากรรมของนักลงทุนไม่ใช่ความเฉลียวฉลาดแต่เป็นความสามารถในการควบคุมอารมณ์ต่างหาก นักลงทุนขี้ตกใจจะถูกกดดันให้ออกจากตลาดในยามที่ตลาดเต็มไปด้วยข่าวร้าย ไม่ว่าพวกเขาจะเฉลียวฉลาดปานใดก็ตาม

-

ผมคิดว่าคำพูดนี้เป็นจริงมากในชีวิตการลงทุนจริงๆ ปัจจุบันนี้ดูเหมือนว่าการหาความรู้ทางการลงทุนจะไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไปสำหรับนักลงทุนทั่วไป แต่สิ่งที่ยากก็คือ การควบคุมจิตใจไม่ได้ “สติแตก” ในเวลาที่หุ้นลง หลายคนซื้อหุ้นได้ในราคาไม่แพงแต่ก็ขายหุ้นเหล่านั้นออกไปในราคาขาดทุนหรือแทบไม่ได้กำไร เพราะหุ้นเหล่านี้ลงไปหลังจากที่เขาซื้อ แม้ว่าเขาจะมั่นใจในพื้นฐานหุ้นแค่ไหนก็ตาม แต่เขาคิดว่าถ้าหุ้นลงแสดงว่าเขาคิดผิดเพราะน่าจะมีคนที่รู้ดีกว่าตัวเขาอยู่ที่กำลังขายหุ้นตัวนั้น อย่ากระนั้นเลย ละทิ้งทุกสิ่งที่เขาคิดแล้วโยนขายหุ้นตามไปเลยดีกว่า น่าจะสบายใจดี ปรากฏว่าในอีกครึ่งปีต่อมาหุ้นตัวนั้นก็ขึ้นไปถึง 70% และกำไรของหุ้นก็ออกมาตามคาดเสียด้วย ผมเชื่อว่าคนจำนวนมากเคยเจอเรื่องแบบนี้ และผมเองก็เคยมีประสบการณ์ที่ขมขื่นแบบนี้มาแล้วเหมือนกัน

ความเห็นของผมคือ แม้ว่าคุณเข้าใจในพื้นฐานหุ้นมากๆ แต่ถ้าคุณ สติแตกง่าย คุณก็มีแนวโน้มที่จะไม่ประสบความสำเร็จทางการเงินอยู่ดี



ต่อมาเป็นคำพูดของ ลิเวอร์มอ

-ลิเวอร์มอ กล่าวในหนังสือ how to trade in stock ว่า

ถ้าคุณอยากจะเป็นนักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จจงขจัดความคิดเพ้อฝันออกไปจากหัวซะ ซึ่งความคิดพวกนั้นก็คือ ความคิดนั้นก็คือ ความคิดว่าคุณจะสามารถประสบความสำเร็จในการเก็งกำไรได้ตลอดเวลา ทุกวัน ทุกอาทิตย์ ลิเวอร์มอกล่าวว่า ผู้ที่มหกมุ่นกับการเก็งกำไรรายวันจะมองไม่เห็น trend ที่ใหญ่กว่านั้นและเมื่อไหร่ก็ตามที่เริ่มมีเทรนชัดๆ นักลงทุนเหล่านั้นจะไม่ได้ประโยชน์จากเทรนใหญ่เพราะเขาหมกมุ่นกับการหาประโยชน์รายวันมากเกินไป



คำกล่าวของลิเวอร์มอ น่าสนใจไม่น้อยเพราะ ลิเวอร์มอเป็นนักเก็งกำไรระดับโลก แต่เขาไม่ได้เก็งรายวัน ซื้อเช้าขายเย็น เมื่อนักลงทุนที่ชอบเทรดด้วยสโลแกนว่า เทรดหาค่ากับข้าว ดูเหมือนว่าคนที่ประสบความสำเร็จสูงนั้นจะมองเทรนที่เป็นหลักเดือนหลักปีมากกว่า วันหรืออาทิตย์ พวกเสี่ยๆในเมืองไทย บางคนก็บอกว่าปีนึงจะเทรดไม่กี่คนขอให้มั่นใจว่าทำกำไรได้แน่ชัวๆหน่อยค่อยเล่น ไม่เล่นตลอดเวลา



คำพูดสุดท้ายเป็นคำพูดของ buffet

ที่บอกว่าให้คิดซะว่าชีวิตนี้คุณซื้อหุ้นได้แค่ 20 ตัวก็พอ นั้นก็คือ ให้หวดต่อเมื่อเป็นวงสวิงที่ perfect เท่านั้น



ในชีวิตผมได้เจอกับเซียนหุ้นมาเยอะพอสมควร ผมสังเกตุว่าพวกเขาหลายคนที่รวยจากการเล่นหุ้น 50-100 เท่าใน 7-10 ปีย้อนหลังมานี้ เขาทำกำไรจากหุ้นไม่ถึง 10-12 ตัว ดูเหมือนแต่ละตัวพวกเขาถือกันเป็นปีหรือปีครึ่ง และได้แต่ละตัวเป็นเท่าๆกันทั้งนั้น ผมก็คิดว่าสิ่งที่บัฟเฟตพูดก็สะท้อนความเป็นจริงที่ประสบการณ์ผมได้เจอมาจริงๆ คือคนที่กำไรเยอะมากๆนั้น ไม่จำเป็นต้องได้มาจากหุ้นที่มากตัว แต่ได้จากไม่กี่ตัวแต่ตัวนึงเยอะๆ

การที่เราคิดว่าชีวิตนี้เราซื้อหุ้นได้ไม่กี่ครั้งจะทำให้การซื้อแต่ละครั้งมีความรอบคอบสูง ต้องมี mos สูงแต่ทำการบ้านหนักทำให้แต่ละครั้งที่ลงทุนมักจะไม่ค่อยผิดพลาด แต่กลับกันถ้าเราซื้อขายบ่อยมากเกินไป เรามักจะรู้พื้นฐานของหุ้นได้ไม่ละเอียดมาก และเราอาจไม่ได้ต่อราคามากเท่าไหร่ เพราะโอกาสที่ดีของการลงทุนจริงๆแล้วมีไม่ได้บ่อยนัก แต่ถ้าเราซื้อขายบ่อยมากๆ น่าจะสะท้อนว่าความรอบคอบของเราไม่มากนัก

ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=47900

แค่หกส่วนก็พอ

ที่กรุงไทเปมีผู้รับเหมาก่อสร้างคนหนึ่ง  เป็นคนหนุ่มที่ชาญฉลาดที่รู้กันทั้งวงการ  มีหัวการค้าเป็นเลิศ  ทำงานคล่องแคล่วว่องไว  พร้อมลุยงานหนัก...