วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
เพื่อนของความล้มเหลว
เมื่อเจอกับความล้มเหลวในที่สุดแล้วเขาก็จะแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนของเขา คือ ความสำเร็จ นั่นเอง
วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
คำเตือนสั้นๆของ Peter Lynch
ไม่ว่าคุณจะใช้วิธีไหนในการคัดเลือกหุ้นหรือกองทุนรวม สุดท้ายแล้วสิ่งที่จะตัดสินว่าคุณจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวคือความสามารถในการเพิกเฉยต่อความกังวลเรื่องต่างๆในโลกได้ยาวนานพอ สิ่งที่จะกำหนดชะตากรรมของนักลงทุนไม่ใช่ความฉลาดหรือวิธีการคัดเลือกหุ้นแบบพิศดาร แต่เป็นความสามารถในการควบคุมอารมณ์ต่างหาก
นักลงทุนขี้ตกใจจะถูกกดดันให้ออกจากตลาดในยามที่ตลาดเต็มไปด้วยข่าวร้ายไม่ว่าพวกเขาจะเฉลียวฉลาดปานใดก็ตาม
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=53542
วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
3 ขั้นตอนที่ทำให้ร่ำรวยและสำเร็จในการลงทุน
การลงทุนหุ้นก็เหมือนงานอื่นๆ ถ้าอยากสำเร็จ คุณต้องทราบ “ขั้นตอนที่ถูกต้อง” ซึ่งจะทำให้คุณสำเร็จ สมหวังและทำกำไรจากหุ้นตามต้องการ
การทำผิดขั้นตอน ย่อมนำสู่ผลลัพธ์ที่ผิด เป็นการ “เสียแรงและเวลา” ประหนึ่งต้องการให้รถเดินหน้าแต่ใส่เกียร์ถอยหลัง ย่อมไม่เกิดผลตามที่ต้องการ
การรู้ “ขั้นตอนที่ถูกต้อง” จึงสำคัญมากต่อนักลงทุน อุปมาดังลายแทงขุมทรัพย์ สำคัญต่อนักล่าสมบัติ
โดย Stephen W. Bigalow ได้เขียน “ขั้นตอนที่ถูกต้อง” ในการลงทุน ที่จะพาคุณร่ำรวยและประสบความสำเร็จ โดยประกอบด้วย 3 ข้อ ดังนี้
1. เลือก “วิธีการลงทุน” ให้ถูกต้อง
วิธีการลงทุนที่ถูกต้อง คือ สิ่งแรกนักลงทุนต้องมี เพราะการนำวิธีที่ถูกต้องมาลงทุน จะทำให้คุณอยู่รอด ไม่ขาดทุน และมีกำไรจากตลาดหุ้นได้
กฏข้อหนึ่งที่ควรรู้คือ “ในโลกการลงทุน หากสิ่งใดไม่ได้ผล สิ่งนั่นจะไม่ดำรงอยู่” คุณจึงควรเลือกใช้ “วิธีการลงทุน” ที่ได้รับการพิสูจน์เป็นร้อยๆปีแล้วว่า “Work”
เพราะจะประกันว่า หากคุณเลือกวิธีนี้แล้ว สิ่งที่รออยู่ปลายทางคือ “ความสำเร็จ” หาใช่ “ความสูญเสียและว่างเปล่า”
หากคุณเป็นคนธรรมดาที่ไม่เก่งขนาดสร้างวิธีลงทุนใหม่ อันจะคงอยู่ไปอีกร้อยๆปี ก็เลือกมาสักวิธีหนึ่งที่ถูกจริตและคิดว่าถนัด แล้วฝึกฝนให้เชี่ยวชาญ ชำนาญ จนใช้ลงทุนจริงได้
2. สู้กับตัวเอง
ข่าวดีคือ ปัจจุบัน ไม่มี “ความลับเชิงทฤษฎี” ของวิธีการลงทุน มันแพร่หลายและเข้าถึงง่ายมาก คุณสามารถหามันได้จากอินเตอร์เน็ต ร้านหนังสือ หรือการสัมนา
คำถามคือ เมื่อทุกคนสามารถรู้วิธีที่ถูกต้อง แล้วทำไม ??? หลายคนจึงไม่สามารถทำ “กำไร” จากตลาดหุ้น
คำตอบคือ วิธีที่ถูกต้อง ก็ยังไม่เพียงพอที่จะกำจัด “ศัตรูหมายเลข1” นั่นคือ “อารมณ์” ของนักลงทุนเอง
โดยอารมณ์จะส่งผลให้ “ผิดพลาดและทำตรงข้าม” กับทฤษฎี เช่น โลภอยากได้ส่วนต่างราคา จนซื้อหุ้นที่รู้ทั้งรู้ว่า “ราคาแพงสุดขีด” หรือ กลัวจนขายหุ้นเมื่อราคาลด ทั้งที่พื้นฐานยังดีเยี่ยม เป็นต้น
ส่งผลให้ “เจ๊งตลอด” แม้ว่าจะแน่นทฤษฎีแค่ไหนก็ตาม
การควบคุมอารมณ์ คือ สิ่งสำคัญที่สุด และทำยากสุดๆด้วย เพราะอารมณ์เป็นเรื่อง “สัญชาตญาณ” มันเป็นเหมือนเงาที่ สลัดยังไงก็ไม่หลุด และสามารถผลักดันให้เราทำบางอย่างได้โดยที่ไม่รู้ตัว
ตัวอย่างเช่น เมื่อเราเดินในความมืด แล้วเห็นบางสิ่งที่มีขนาดใหญ่ขดอยู่ปลายเท้า เราจะเสียววูบด้วย “ความกลัว” ขาเราจะก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติ แม้ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งนั้นคืออะไร อาจจะเป็นงูเหลือม เศษผ้า หรือยางธรรมดาก็ได้ แต่อารมณ์กลัว ก็ทำให้ขาเราก้าวถอยหลังโดยสมองไม่ทันคิดด้วยซ้ำ
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า เมื่อกลัว หุ้นดีกลับขายทิ้ง แต่พอโลภ ช้างก็ตัวเท่าหมู หุ้นไม่ดีกลับกลายเป็นของมีค่าได้
นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ จึงไม่จำเป็นต้องรู้ทฤษฎีที่ซับซ้อน แต่ต้องสามารถควบคุม “อารมณ์” เพื่อให้ปฎิบัติตามวิธีการลงทุนที่ถูกต้องได้
3. ทำซ้ำๆ
เมื่อ “ทฤษฎีถูกต้อง” และ ปฎิบัติโดยไม่ถูก “อารมณ์” ครอบงำ คุณก็พร้อมที่จะเดินทางสู่ความสำเร็จ
อย่างไรก็ตาม ยังมีกฏข้อสุดท้ายที่เสมือน “เข็มขัดและถุงลมนิรภัย” อันช่วยให้คุณปลอดภัยตลอดเส้นทาง
นั่นคือ “ทำกฏข้อ 1-2 ซ้ำๆ อย่างมีวินัย ” จนกว่าคุณจะออกจากตลาด
เพราะตลาดหุ้นมีความเสี่ยงตลอดเวลา มันเหมือนคนโรคจิตที่พร้อมหาเรื่องคุณทุกวัน หากช่วงใดคุณไม่มี “วินัย” คุณอาจ “เจ็บตัว” จากตลาดหุ้นได้ ซึ่งหากคุณเกิดซวยในช่วงที่ใส่เงินเต็มพอร์ตพอดี ความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจรุนแรงมากๆ
บทเรียนล้ำค่าของกฏนี้คือ ชีวิตนักเก็งกำไรบันลือโลกอย่าง เจสซี่ ลิเวอร์มอร์ (JL) JL มีฝีมือสุดยอด เขาเก่งจนเป็น millionaire ก่อนอายุ 30 ปี ทั้งที่พื้นฐานครอบครัวมาจากชาวไร่ที่ยากจนมาก ทฤษฎีลงทุนของเขาก็ได้รับการยกย่องและสืบเนื่องมาถึงทุกวันนี้
อย่างไรก็ตาม JL ได้ทิ้ง “บทเรียนสำคัญ” ให้กับนักลงทุนรุ่นหลัง นั่นคือ ความสำคัญของวินัย ชีวิตของ JL ขาดทุนหนักหลายครั้ง โดย JL กล่าวว่า การขาดทุนไม่ได้มาจากทฤษฎีผิดพลาด แต่เป็นเพราะเขาแหกกฏเอง ในบางครั้งเขาไม่สามารถ “ฝืนใจ” ทำตามกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้ จนทำให้ขาดทุนอย่างหนัก
และนี้คือสิ่งสะท้อนว่า ถึงเยี่ยมยุทธแค่ไหน หากขาดวินัย ก็มีสิทธิ “เจ๊ง” ได้เสมอ
ดังนั้น การปฎิบัติที่ถูกต้องโดยไม่ถูกอารมณ์ครอบงำ คือสิ่งที่ต้องติดตัวนักลงทุนตลอด ประหนึ่งเงาต้องติดตามคนครับ
สรุป
“ขั้นตอนที่ถูกต้อง” คือสิ่งสำคัญที่นักลงทุนต้องทราบ โดยมี 3 ขั้นตอนคือ 1. ใช้วิธีที่ถูกต้องลงทุน 2 ควบคุมอารมณ์ให้ได้ 3 ทำข้อ 1-2 ซ้ำเรื่อยๆ การปฎิบัติตามขั้นตอนที่ถูกต้องทำให้นักลงทุนอยู่รอด และทำกำไรจากตลาดหุ้นได้ครับ
ขอบพระคุณครับ
นักเก็งกำไรด้วยปัจจัยพื้นฐาน
วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
ข้อคิดดีๆ โดนใจจากพี่บอย วิสูตร
ครั้งหนึ่ง
โกวเล้งเขียนประโยคไว้ในนิยายของเขาว่า
"ชีวิตคนเราจะมีสิบปีสักกี่ครั้งกัน"
ผมชอบประโยคนี้มาก
มันจริงอย่างยิ่ง
ถ้าคนเราอายุเฉลี่ยเจ็ดสิบปี
เราก็มีสิบปีแค่เจ็ดครั้ง
สิบปีแรก หมดไปกับความไร้เดียงสา
สิบปีต่อมา หมดไปกับการศึกษาเล่าเรียน
สิบปีต่อมา หมดไปกับการทำงานและการใช้ชีวิต
สิบปีต่อมา หมดไปกับการสร้างฐานะ สร้างครอบครัว
สิบปีต่อมา หมดไปกับการลงหลักปักฐาน รักษาสิ่งที่สร้างมา
สิบปีต่อมา หมดไปกับการดูแลรักษาสุขภาพกายใจให้แข็งแรง
สิบปีสุดท้าย หมดไปกับการปล่อยวางทุกสิ่ง รอคอยการกลับบ้าน
แต่ละสิบปีผ่านไปไวเหมือนโกหก
อีกไม่นานปีนี้ก็จะผ่านไปแล้ว
มีอะไรที่เราทำไปแล้วมากมาย
และก็ยังมีอะไรอีกมากมายที่เรายังไม่ได้ทำ
เวลาคือหน่วยเงินในกำมือของเราที่เอาไปแลกสิ่งอื่น
เราเอาเวลาไปแลกงาน
เราเอางานไปแลกเงิน
แต่เราก็ไม่เคยเอาเงินไปแลกเวลาคืนกลับมาได้สักที
ถ้าธนาคารเวลามีจริง
เราก็ไม่เคยมีสมุดบัญชีสักเล่ม
ที่จะให้เราดูได้ว่าตอนนี้เหลือเวลาอยู่เท่าไหร่?
เรารู้ว่าเราใช้ "สิบปี" ของเราไปกี่ครั้งแล้ว
แต่เราไม่อาจรู้ว่าเราจะใช้ "สิบปี" ที่เหลือของเราได้ครบมั้ย?
แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับ
เราใช้เวลาสิบปีของเราไปคุ้มค่าหรือเปล่า?
เมื่อเราหันหลังกลับมา
ขอให้พูดได้เต็มปากว่าเราใช้มันไปอย่างไม่น่าเสียดาย
"ชีวิตคนเราจะมีสิบปีสักกี่ครั้งกัน"
ใช้สิบปี เจ็ดครั้ง ของเราให้คุ้มค่าครับ
(credit : Boy's Thought)
พลังของการ “รอ”
Caseที่1.
เคยมี2คน มาปรึกษาผมว่าอยากลงทุนในหุ้นเพราะเห็นช่วงนี้ตลาดหุ้นบูมมาก หุ้นขึ้นแทบจะทุกตัวในตลาด มีคนรวยเกิดขึ้นมาเต็มไปหมด แต่เค้า2คนบอกผมว่า
อยากลงทุนในหุ้นระยะยาวเป็นการออมเงินไปในตัวหรือแบบVIที่เราเรียกๆกันนั่นเอง และตอนนี้เงินเค้าก็พร้อมแล้ว ช่วยแนะนำหน่อย
ผมเลยตอบเค้าไปว่างั้นอยู่เฉยๆ รอไปก่อน และช่วงที่รอนี้คุณก็เอาเวลาไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมซะ ลองฝึกอ่านงบการเงินให้เก่งๆ เพราะตอนนี้ราคาหุ้นหลายตัวแพงมากเกินไปแล้ว ยังมีเวลาอีกเยอะให้ลงทุน ไม่ต้องรีบ
ครับ ผลสุดท้ายมีคนนึง“รอไม่ได้” เพราะเหตุผลที่ว่า ตอนนี้ตลาดกำลังดี เศรษฐกิจก็ไม่แย่ คนอื่นเค้าเล่นหุ้นรวยกันไปหมดแล้ว ขืนมัวแต่มารอๆๆอยู่เฉยๆ ทั้งๆที่เงินก็พร้อมแล้ว มันก็เสียโอกาสสิ เพราะโอกาสไม่ได้มีเข้ามาบ่อยๆนะ เมื่อเราพร้อมก็ต้องลุยเลย (นี่คือความคิดเค้าครับ)
แล้วผลลัพธ์ก็คือ เค้าได้เป็นนักลงทุนแนว VI อย่างสมใจจริงๆครับ ซื้อไป 4 ตัว เต็มสูบหมดหน้าตักเรียบร้อย ถือยาวครับ ชิวๆ อยู่บนดอย ลงมาไม่ได้ครับ ซื้อปุ๊ปลงปั๊บ ช้อนเพิ่มปุ๊บก็ลงต่อปั๊บ เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นกลับตัวลง ปรับฐาน แหม่...อย่างเท่ไปเลยครับ
ผมลองถามหุ้นที่เค้าซื้อและเทียบผลตอบแทนที่น่าจะได้กับราคาแต่ละตัวไป แล้วลองมานั่งคำนวณให้ดู แต่ละตัวปันผลไม่ถึง2%ต่อปี บางตัวก็ไม่มีปันผลครับ แถมข่าวนี่มีแต่คำว่า “น่าจะ”เต็มไปหมด ประวัติก็เพิ่มทุนกันเป็นว่าเล่น งบก็สวยงาม”ติดลบ”อลังการ และในตอนนั้น สิ่งที่ผมช่วยเค้าได้คืออย่างเดียวครับ คือ “ขอให้โชคดีนะ อาเมน”
ในทางกลับกัน คนที่สอง เค้ารอตามที่ผมแนะนำครับ เค้าเอาเวลาไปศึกษาเพิ่มเติมจนเก่ง เค้าอดทนรอจนตลาดกลับตัวเป็นขาลง แล้วก็ค่อยๆทยอยซื้อหุ้นที่เค้าได้วิเคราะห์ทุกๆอย่างมาอย่างดี เตรียมเป็น wish lists เอาไว้แล้ว
ตอนนี้เหตุการณ์ที่เล่าของทั้งสองคนนี้ผ่านมาประมาณ 2 ปีกว่าๆ คนแรกที่ไม่รอ ขายขาดทุนและน่าจะเลิกเล่นหุ้นไปแล้วครับ ส่วนคนที่2 ตอนนี้พอร์ตเค้าเขียวขจีมีการเติบโตสวยงาม ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
Caseที่2.
นักเก็งกำไรท่านหนึ่งมาปรึกษาผม เค้าได้ซื้อหุ้นตัวนึงไว้แล้ว บังเอิญว่าหุ้นตัวนี้ขึ้นไปได้สูงเกินความคาดหมาย ผมจึงถามเค้าว่า
เค้าซื้อหุ้นตัวนี้เพราะอะไรในตอนแรก เค้าตอบว่าเห็นสัญญาณทางเทคนิคกลับตัวเป้นขาขึ้น และราคาตัดเส้นค่าเฉลี่ยที่ตั้งไว้ขึ้นไปแล้ว
ผมเลยถามกลับไปอีกครั้งว่าแล้วตอนนี้สัญญาณกลับตัวลงมาหรือยัง หรือไม่ก็ราคาตัดเส้นค่าเฉลี่ยลงมาแล้วหรือยัง คำตอบคือ ยัง!!!
แต่เค้าอยากจะขายเพียงเพราะเหตุผลคือ ตอนแรกเค้าคิดว่าได้กำไรจากตัวนี้แค่5-10%ก็หรูแล้ว นี่ขึ้นมาถึงเป้าที่ตั้งไว้แล้ว
เค้ากลัวว่าราคาจะตกแล้วกำไรจะหายไป กลัวจะขายไม่ทัน เพราะตลาดหุ้นไม่มีอะไรแน่นอน
และนี่คือคำตอบของผม หากคุณเข้าด้วยเทคนิคอะไรที่ตั้งไว้แต่แรก คุณก็ต้องออกด้วยวิธีเดิมนั่นแหละ ในเมื่อสัญญาณมันยังไม่กลับตัว คุณจะออกทำไม
คุณจะsetระบบเทรดแบบเทคนิคตั้งแต่แรกทำไม ถ้าคุณไม่ทำตามระบบเทรดที่คุณตั้งไว้ตอนแรกไปจนจบ และการที่คุณบอกตลาดหุ้นไม่มีอะไรแน่นอน
อันนั้นมันไม่ใช่เหตุผล เพราะมันไม่แน่นอนมานานแล้วและก็คงเป็นต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเล่นเทคนิค อย่าบวกอารมณ์เข้าไปช่วย มันจะติดเป็นนิสัย สุดท้ายระบบคุณก็จะพัง
การ ”รอ” ในความหมายของผม คือการ “Let profit run” นั่นเอง ผมแนะนำให้เค้าอดทนรอ อดทนรวยต่อไปให้ได้ เมื่อไหร่สัญญาณกลับตัวเป็นขาลงค่อยขาย
“อย่าใช้อารมณ์เด็ดขาด” บทสนทนาในวันนั้นก็จบลงเพียงแค่นี้
หลังจากนั้นอีกประมาณ 3 เดือน ผมได้เจอกับนักเก็งกำไรท่านนี้อีกครั้ง เค้ากลับมาคุยกับผม ผมจึงถามเค้าไปว่าเป็นยังไงบ้างหุ้นตัวนั้นที่เคยถามผมไว้ เค้าบอกผมว่า
เค้าไม่ได้รออย่างที่ผมแนะนำ เค้าตัดสินใจขายไปในวันรุ่งขึ้น ได้กำไรมา9%กว่าๆเพราะเห็นราคาลงในวันนั้น (แต่ยังไม่ตัดเส้นสัญญาณลงมานะครับ)
เลยกลัวกำไรหายจริงๆ (ทนรวยต่อไปไม่ได้) และผลสุดท้าย เค้าก็เอาเงินที่ขายได้กำไร ไปเข้าซื้อหุ้นตัวอื่น แล้วก็ทำวิธีเดิมๆคือกำไรนิดๆก็ขาย
บางทีก็ผิดทางต้องขายขาดทุน สุดท้ายตอนนี้พอร์ตก็ไม่ได้เปลี่ยนไปสักเท่าไหร่ บางตัวน่าจะติดลบอยู่ด้วยซ้ำ
ส่วนหุ้นตัวที่เค้าเคยถามผมไว้ ผมลองมานั่งดูว่าเป็นยังไงบ้างแล้ว สิ่งที่เห็นคือ ราคายังไม่เคยตัดเส้นสัญญาณลงมาชัดเจนแม้แต่ครั้งเดียว
ย้ำนะครับว่า "แม้แต่ครั้งเดียว" เพราะลงแล้วก็เด้ง ไม่ตัดนะ ลงแล้วก็เด้งไปได้เรื่อยๆ ผมจึงลองมาคำนวณดู หากเค้ายังถือไว้จนตอนนี้
พอร์ตเค้าจะเติบโตถึง 70% เลยทีเดียวครับ
และนี่คือทั้งหมดที่ผมอยากจะเล่าเกี่ยวกับ พลังของการ “รอ”
ปล. นี่เป็นเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นกับคนที่ผมรู้จักและผมเคยเขียนไว้ในเพจผมนานแล้วครับ แค่อยากนำมาเล่าใหม่อีกครั้ง เผื่อจะเป็นประโยชน์กับใครบ้างครับ
ขอโชคดีนะครับทุกคน ลงทุนอย่างมีสติ
นอนหลับฝันดีครับทุกท่าน ราตรีสวัสดิ์
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=52865
วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2556
'ซัมซุง' ทำไมถึงทำกับฉันได้ ?!?
การเปิดตัว Samsung Galaxy Note 3 มาพร้อมกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนาหู ถึงสเปกเครื่องที่เลือกวางจำหน่ายในเมืองไทย โดยความแตกต่างของซีพียูกลายเป็นประเด็นที่พูดกันถึงมากสุด ทั้งในส่วนของความเร็ว ความร้อน ถ่ายวิดีโอแบบ 4K หรือแม้กระทั่งการรองรับเครือข่าย 4G LTE ที่เมืองไทยยังมีผู้ให้บริการเพียงรายเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าประเด็นดังกล่าวยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนถึงคำว่า’ดีกว่า’ แต่กระนั้นสิ่งที่ผู้บริโภคอยากได้จากซัมซุงก็คือ ‘ทางเลือก’ ที่ผู้บริโภคขอเป็นคนตัดสินใจเองก็เท่านั้น
Samsung Galaxy Note 3 เริ่มเปิดให้จองอย่างเป็นทางการในไทยตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน โดยเริ่มรับเครื่องได้ช่วงวันที่ 25-28 กันยายนที่ผ่านมา แต่เครื่องที่ได้รับภายใต้การนำเข้าของ บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด คือรุ่น N9000 ซึ่งเป็นรุ่นที่เลือกใช้ชิปประมวลผลของค่ายซัมซุงเอง นั่นก็คือ Exynos 5 Octa 5420 ความเห็นต่างของผู้บริโภคที่ต้องการจะใช้หน่วยประมวลผลของ Qualcomm Snapdragon 800 จึงเริ่มระเบิดขึ้นบนโลกออนไลน์อย่างต่อเนื่อง
เพราะหลายคนเชื่อว่า ในเมื่อตลาดประเทศไทยที่มีกำลังซื้อมือถือปีละกว่า 20 ล้านเครื่องโดยแบ่งเป็นสมาร์ทโฟนกว่า 40% และหากซัมซุงมองไทยเป็นตลาดสำคัญในแถบอาเซียนจริง ถึงยังไม่มีโครงข่าย 4G LTE ครอบคลุมในวงกว้างเหมือนมาเลเซีย สิงคโปร์และฟิลิปปินส์ ก็ตาม แต่ซัมซุงก็น่าจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้บริโภคชาวไทยอย่างSamsung Galaxy Note 3 ที่ใช้ชิป Qualcomm Snapdragon 800 ในรุ่น N9005
Exynos 5 Octa เป็นชิปที่ ซัมซุง พัฒนาและต่อยอดแนวทางการพัฒนาเดิมของ ARM หลังจากที่ซื้อลิขสิทธิ์มาจาก ARM โดยชิปดังกล่าวถูกพัฒนาขึ้นเป็นรุ่นที่ 5 ซึ่งใช้รหัสว่า Exynos 54xx แบ่งเป็นรุ่น 5410 อยู่ใน Galaxy S4 และรุ่น 5420 จะอยู่ใน Galaxy Note 3 ทั้งนี้ภายในของชิป Exynos 5 Octa จะใช้ซีพียูสองชุดประกอบด้วยชิปประสิทธิภาพสูง (ARM Cortex-A15) และชิปกินไฟต่ำ (ARM Cortex-A7) แสดงผลวิดีโอสูงสุด Full HD (1920x1080 พิกเซล) และเพิ่มเทคโนโลยี Heterogeneous Multi-Processing (HMP) ซึ่งจะครอบซีพียูทั้งแปดหัวและแบ่งการทำงานให้เหมาะสมกับแต่ละซีพียูโดยอัตโนมัติ จากเดิมที่จะแบ่งการทำงานเฉพาะงานหนักและงานเบาเท่านั้น
ส่วน Snapdragon 800 นั้นเป็นชิปเซ็ตประมวลผลจาก Qualcomm ซึ่งรวมความสามารถของซีพียู Krait 400 ควอดคอร์ ความเร็ว 2.3GHz หน่วยประมวลผลภาพภายในชิปแบบ Adreno 330 รองรับ 4G LTE Cat 4 และ 802.11ac แสดงผลวิดีโอสูงสุดระดับ UltraHD หรือ 4K (4096x2304 พิกเซล) นอกจากนี้ Qualcomm ยังเป็นบริษัทที่มีนวัตกรรมที่เป็นส่วนประกอบของซีพียูอีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่น QuickCharge หรือ EnnvelopTracker ที่ใช้บีบขยายคลื่นสัญญาณ 4G เพื่อให้เกิดการประหยัดไฟสูงสุด
ทั้งนี้จากกระแสของโลกออนไลน์มีการเปรียบเทียบความสามารถของทั้ง 2 ซีพียูในหลากหลายแง่มุม ยกตัวอย่างเช่นชิป Snapdragon 800 รองรับ 3Gทุกค่าย 2100/1900/900/850MHz และ 4G ทุกเครือข่ายในประเทศไทย 2100/1800/850/1600/800MHz (Bands 1,3,5,7,20) ขณะที่ชิป Exynos 5 Octa ไม่รองรับการใช้งาน 4G LTE แต่รองรับ 3G ทุกเครือข่ายเช่นเดียวกัน
Snapdragon 800 ยังรองรับการถ่ายวิดีโอคุณภาพสูง 4K UHD ความละเอียด 3840 × 2160 ที่ 2160p@30fps เหนือกว่ารุ่น Exynos 5 Octa ที่ถ่ายวิดีโอได้เพียงระดับ Full HD เท่านั้นและ Snapdragon 800 ยังสามารถถ่าย 1080p@60fps สำหรับการตัดต่อที่มีคุณภาพสูง พร้อมรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Slowmotion (สโลโมชัน) ที่ความละเอียด 720p@120fps (ช้าลง 4 เท่าเมื่อ playback ที่ 30fps) ในขณะที่ Exynos 5 Octa ทำได้ดีที่สุด 1080p@30fps ไม่สามารถถ่ายวิดีโอเพื่อทำสโลโมชันได้
อีกทั้งในส่วนของ Exynos 5 Octa ไม่รองรับวิทยุดิจิตอล ในขณะที่รุ่น Snapdragon 800 มีวิทยุที่รับความถี่ FM radio ได้ในช่วงความถี่ 87.5-108 MHz ซึ่งเป็นย่านเดียวกับที่ประเทศไทยใช้ และ Snapdragon 800 ยังได้รับการยอมรับจากนักพัฒนา แอปพลิเคชั่นและค่ายผู้ผลิตมือถือก็เลือกใช้ชิป Snapdragon 800 กันมากพอสมควร จึงอาจจะส่งผลให้การอัปเดตโปรแกรมต่างๆในอนาคตของ Snapdragon 800 อาจจะถูกพัฒนาขึ้นก่อนชิปอีกค่าย แต่ก็อาจจะเป็นเพียงบางแอปพลิเคชันเท่านั้น ขณะที่การอัปเดตระบบหลักอย่างเฟิร์มแวร์ก็อาจจะส่งผลให้ Snapdragon 800 ได้รับการอัพเดท ฟีเจอร์ใหม่ก่อนชิปรุ่นอื่นๆ ในอนาคตก็เป็นได้
จากการสำรวจราคาเครื่อง Samsung Galaxy Note 3 รหัสเครื่อง N9005 ในต่างประเทศที่มีการจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ว ปรากฏว่าเครื่องที่จำหน่ายในต่างประเทศ ราคาไม่แตกต่างจากเครื่องที่จำหน่ายในประเทศไทยมากนัก โดยประเทศรอบอาเซียนที่มีวางจำหน่ายเครื่องรหัส N9005 แล้ว ได้แก่ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงค์โปร์ ขณะที่ตู้มือถือมาบุญครอง มีการหิ้วเครื่องรุ่นนี้เข้ามาจำหน่ายแล้วในราคาประมาณ 24,000 บาทหรือสูงกว่ารุ่น N9000 ไม่กี่ร้อยบาท
ด้านวิชัย พรพระตั้ง รองประธานธุรกิจโทรคมนาคม บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ กล่าวในงานเปิดตัว Samsung Galaxy Note3 ในประเทศไทยเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมาว่าการนำเข้าเครื่องที่ใช้ชิปแบบ Snapdragon 800 กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา โดยการนำเข้าเครื่องอาจจะเป็นเรื่องที่ต้องใช้ระยะเวลา ซึ่งอาจจะต้องมีการนำเข้าอุปกรณ์เพื่อทำการทดสอบร่วมกับเน็ตเวิร์กก่อนที่จะนำเข้ามาจำหน่ายเชิงพาณิชย์จริง ทั้งนี้โอกาสของการที่ซัมซุงจะนำเข้าเครื่องรหัส N9005 เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยก็ยังมีสิทธิ์ที่จะเกิดขึ้นได้
อาจไม่บ่อยครั้งนักที่ซัมซุงต้องเผชิญความท้าทาย จากโลกออนไลน์ ที่นำเรื่องชิปประมวลผลที่ทำให้คุณสมบัติของสินค้าที่รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนกัน แต่ประสิทธิภาพการทำงานต่างกัน มาจุดประเด็นให้กลุ่มคนที่กำลังตื่นเต้นกับสินค้ารุ่นใหม่ ให้เพ่งพิจารณาอย่างรอบคอบ เหมือนที่กำลังเกิดกับ Samsung Galaxy Note 3 เพราะเชื่อว่าคนที่เป็นแฟนซัมซุง อาจสงสัยและไม่เข้าใจว่า ทำไมการทำตลาดของซัมซุงจะต้องผูกไว้กับเรื่องเน็ตเวิร์ก 4G LTE เท่านั้น เพราะหากก้าวข้ามเรื่องโครงข่ายแล้ว Snapdragon 800 ยังมีคุณสมบัติมากมายที่ดีและเร้าใจกว่าExynos 5 Octa
ในเมื่อต้องเสียเงินหลัก 2 หมื่นกว่าบาทแล้ว ก็น่าจะได้สินค้าที่คุณภาพสูงที่สุด มิใช่เหรอ!!
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=51325
ทำไมฉันต้องถูกลงโทษด้วยเล่า...
เคียวเซอิ อาจารย์เซน ได้ถามภิกษุบวชใหม่รูปหนึ่งซึ่งเพิ่งจาริกมาถึงว่า "มาจากไหน"
ภิกษุรูปนั้นตอบว่า "มาจากสามภูเขา"
ท่านอาจารย์เคียวเซอิถามอีกว่า "เธออยู่ที่ไหนระหว่างภรรษาที่แล้ว"
พระภิกษุตอบว่า "อยู่ที่อารามห้าภูเขา"
อาจารย์เคียวเซอิจึงว่า "ฉันจะฟาดเธอด้วยไม้เท้าใหญ่นี่ 30 ที"
พระภิกษุงุนงง ถามว่า "ทำไมฉันต้องถูกลงโทษด้วยเล่า"
อาจารย์เคียวเซอิสรุปว่า "เพราะเธอเข้าออกจากอีกวัดหนึ่งไปอีกวัดหนึ่งน่ะสิ"
เรื่องนี้ไม่มีคำอธิบายมาก เพียงแต่เป็นข้อสังเกตว่า "ผู้แสวงหาอย่าไร้ทิศทางและเป้าหมายนั้นสมควรได้รับโทษเสมอ"
เรื่องนี้ดูไปก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการลงทุนได้ เพราะ วิธีการลงทุนที่ไม่มีทิศทาง หรือ เป้าหมายที่ชัดเจน สุดท้ายแล้วก็ย่อมต้องโดนตลาดลงโทษเช่นกัน...
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=51328
ภิกษุรูปนั้นตอบว่า "มาจากสามภูเขา"
ท่านอาจารย์เคียวเซอิถามอีกว่า "เธออยู่ที่ไหนระหว่างภรรษาที่แล้ว"
พระภิกษุตอบว่า "อยู่ที่อารามห้าภูเขา"
อาจารย์เคียวเซอิจึงว่า "ฉันจะฟาดเธอด้วยไม้เท้าใหญ่นี่ 30 ที"
พระภิกษุงุนงง ถามว่า "ทำไมฉันต้องถูกลงโทษด้วยเล่า"
อาจารย์เคียวเซอิสรุปว่า "เพราะเธอเข้าออกจากอีกวัดหนึ่งไปอีกวัดหนึ่งน่ะสิ"
เรื่องนี้ไม่มีคำอธิบายมาก เพียงแต่เป็นข้อสังเกตว่า "ผู้แสวงหาอย่าไร้ทิศทางและเป้าหมายนั้นสมควรได้รับโทษเสมอ"
เรื่องนี้ดูไปก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการลงทุนได้ เพราะ วิธีการลงทุนที่ไม่มีทิศทาง หรือ เป้าหมายที่ชัดเจน สุดท้ายแล้วก็ย่อมต้องโดนตลาดลงโทษเช่นกัน...
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=51328
วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556
วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556
ลูกทำแฟ้มซื้อขายหุ้นให้พ่อ
วันนี้ลูกสาวทำแฟ้มสำหรับใส่เอกสารการซื้อ - ขายหุ้นให้พ่อ
ลูกคงเห็นพ่อเก็บเอกสารได้ไม่ดี ทนดูไม่ได้
จัดให้ซะเลย 1 แฟ้ม สวยและน่ารักมากๆ เลย
ที่สำคัญ รูปแบบดูง่าย ไม่ต้องมีข้อมูลมากมาย
ขอบคุณมากๆ นะลูก
ลูกคงเห็นพ่อเก็บเอกสารได้ไม่ดี ทนดูไม่ได้
จัดให้ซะเลย 1 แฟ้ม สวยและน่ารักมากๆ เลย
ที่สำคัญ รูปแบบดูง่าย ไม่ต้องมีข้อมูลมากมาย
ขอบคุณมากๆ นะลูก
เมื่อถึงเวลา หุ้นในแฟ้มนี้ก็จะกลายเป็นของลูกทั้งสองอยู่ดี
วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556
เจ้าของผลิตภัณฑ์น้ำมันพืช ตัวเจ้าของเค้ายังไม่กินเลย
ยังให้แม่บ้านเจียวน้ำมันหมูทำอาหารเหมือนเดิมค่ะ ก้อลองอ่านดูละกันนะ
เมื่อข้าพเจ้าเป็นเด็ก จะเห็นแม่สาละวนกับการเจียวน้ำมันหมูทุกๆ ๗ วัน เพื่อใช้ผัดกับข้าวให้พวกเรา รับประทาน น้ำมันหมูนี้มันเก็บได้ไม่นานเพราะไม่มีตู้เย็นเหมือนปัจจุบัน อีกทั้งการใช้ก็ตักทีละน้อย เพราะน้ำมันที่ผัดหรือทอดแล้วจะดำ และเหม็นหืนง่าย แต่พอข้าพเจ้าเป็นวัยรุ่น บรรดานักวิชาการสุขภาพ ก็เริ่มประกาศความมีพิษภัยของน้ำมันหมูและน้ำมันมะพร้าว โดยโฆษณาชุดแรกๆ ก็เน้นที่ความไม่เป็นไข (แข็งตัว) เมื่ออุณหภูมิเย็นตัวลง ของน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี เมื่อเทียบกับน้ำมันหมูและน้ำมันมะพร้าว โดยโฆษณาเน้นเรื่อง คอเลสเตอรอล ให้คนดูตระหนักถึงปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพเรื่อง โรคหลอดเลือด และหัวใจ จะด้วยความโง่หรืออ่อนต่อโลกก็มิทราบได้ ทั้งน้ำมันหมูและน้ำมันมะพร้าวมิได้จับตัวเป็นไขในร่างกายคน เพราะอุณหภูมิสูงถึง ๓๗ องศาc (น้ำมันทั้ง ๒ ชนิดจะเป็นไขที่อุณหภูมิต่ำกว่า ๒๕ องศาเซลเซียส) แต่ข้าพเจ้าก็เปลี่ยนน้ำมันทั้ง ๒ ชนิดที่เคี่ยวเองได้หันมากินน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี (Refined, Bleached, Deodorized) ด้วยความเชื่อนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ว่ารู้จริง รู้ดี จึงกล้าแนะนำประชาชน
หลายสิบปีผ่านไป การตรวจเลือดหาปริมาณคอเลสเตอรอล ยังคงได้ตัวเลขสูงกว่าค่าเฉลี่ยมากขึ้นทุกปี ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าก็ไม่อ้วน หรือน้ำหนักเกินดัชนีมวลกาย และได้เลิกใช้น้ำมันหมูหรือน้ำมันมะพร้าวไปนานแล้ว อีกทั้งร้านอาหารทุกแห่งไม่ว่าริมถนนหรือภัตตาคารก็ไม่มีใครทำน้ำมันใช้เองอีกแล้ว
แม่ของข้าพเจ้าป่วยตายด้วยโรคมะเร็งเยื่อหุ้มหัวใจเมื่ออายุ ๘๑ ปี แต่ข้าพเจ้ากลับป่วยด้วยอาการ ของโรคไต (nephrosis) และมีอาการคล้ายกับเป็นแผลเบาหวานทั้งๆ ที่ น้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร ๘ ชั่วโมงเพียง ๙๐ หน่วย (mg./dl) ดังนั้นแผลที่หายยากนั้นจึงเรียกว่า"โรคเส้นเลือดฝอยอักเสบเรื้อรัง"
ข้าพเจ้าโชคดีที่พบสาเหตุและยาแก้ แม้ว่าจะเป็นยาสมุนไพรที่กินยาก แต่ข้าพเจ้าก็หายได้เพราะความอดทน เป็นเรื่องแปลกแต่จริง ข้าพเจ้าเลิกกินอาหารที่ทอดด้วยน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีนาน ๑ ปี ระดับคอเลสเตอรอล ก็ลดลงต่ำกว่า ๑๕๐ มก./ดล.(ค่าปกติ ๑๕๐-๒๐๐ มก./ดล.) ทั้งๆ ที่ น้ำมันพืชทุกชนิดมักจะอ้างว่าไม่มี คอเลสเตอรอลก็ว่าได้
ข้าพเจ้าได้ตั้งคำถามถึงสาเหตุที่ข้าพเจ้าเป็นโรคไต แล้วค้นคว้าจนพบความจริงว่า น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี นี้แหละเป็นต้นเหตุที่ทำให้ข้าพเจ้าป่วย เพราะกินน้ำมันนี้วันละ ๓ มื้อ มากกว่าอาหาร หรือ ยาชนิดใดใด และ น้ำมันพืชฯนี้มันถูกเติมไฮโดรเจน (Hydrogenated) ทำให้ทอดอาหารได้กรอบอร่อย ใช้ได้หลายครั้ง ไม่เหม็นหืน แต่ก็เป็นกรดไขมันอิ่มตัวสูง เพราะโครงสร้างเคมีเปลี่ยนไปหลังผ่านกรรมวิธี เมื่อกินเข้าไป ในร่างกาย กลายเป็นคราบทำให้ี่น้ำซึมผ่านไม่ได้ ไม่เหมือนอย่างน้ำมันมะพร้าวที่คั้นน้ำกะทิแล้วเคี่ยว จนเป็นน้ำมัน แม้น้ำมันมะพร้าวจะมีสัดส่วนไขมันอิ่มตัวสูง แต่ก็ไม่เปลี่ยนแปลง โครงสร้างทางเคมี เพราะใช้ความร้อนสูง อีกทั้งยังละลายน้ำได้ จึงไม่เป็นคราบฝังแน่นในลำไส้และหน่วยไต
ท่านอาจจะยังไม่เชื่อข้าพเจ้า จึงอยากให้ทดลองเองที่บ้าน นำน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธียี่ห้อไหนก็ได้ ลองใส่ภาชนะแล้วตากแดดให้อุณภูมิใกล้เคียงกับภายในของมนุษย์ แล้วตรวจดูความเหนียวหนึบของมัน ลองกับน้ำมันหมูและน้ำมันมะพร้าวที่เคี่ยวเอง แล้วเปรียบเทียบกัน แม่บ้านหลายคนกล่าวว่าการล้างจานชาม ที่เปื้อนน้ำมันหมู น้ำกะทิ และน้ำมันมะพร้าว ทำได้ง่ายกว่า น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีมาก
คราบเหนียวหนึบยึดติดนี้ จะเกิดในลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ หลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ หลอดเลือดฝอยไต ( ติดในหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ ทำให้เป็นโรคหัวใจขาดเลือด ติดในหลอดเลือดฝอยไต ทำให้เป็นโรคไต วายเรื้อรัง ) จะเห็นได้ว่าปีหนึ่งๆ มีผู้เสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดและหัวใจเป็นอันดับหนึ่ง ติดตามด้วย โรคมะเร็ง
เมื่อน้ำไม่สามารถซึมผ่านคราบน้ำมันในลำไส้เล็ก ร่างกายก็จะขาดน้ำซึ่งควรจะมีอยู่ ๒/๓ ของน้ำหนักตัว สารละลายน้ำเช่นวิตามินบี ซี กรดอมิโน ก็จะกลายเป็นภาระของไตต้องกรอง ไตทำงานหนักมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเรากินมากขึ้นตามความเรียกร้องของสมอง เพราะร่างกายที่ขาดสารอาหารละลายน้ำ ยิ่งกินมาก น้ำมันก็ยิ่งอุดตัน ไตก็ทำงานหนักขึ้นอีก แนวโน้มคนป่วยโรคไต ไตวายเรื้อรังมีมากถึง ๒๒ ล้านคน ถ้าไม่หักคนป่วยที่ตายไปแบบเฉียบพลันหรือที่เรียกว่า โรคไหลตาย และไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ที่ต้องฟอกไต (๓ ปี) แล้วตาย ประมาณว่า กึ่งหนึ่งของผู้ที่เป็นโรคอ้วนจะป่วยเป็นโรคไตใน ๑๐-๒๐ ปีขึ้ ึ้นอยู่กับอัตราการบริโภคน้ำมันพืชฯ ส่วนอีกกึ่งหนึ่งก็ตายเพราะโรคมะเร็ง เพราะสารอาหารสำคัญที่ ละลายน้ำไม่ถูกดูดซึมเป็น ๑๐ ปี ( สังเกตจากกรณีพระประชวรของสมเด็จพระพี่นางเธอฯ ที่ทรงเสวย พระกระยาหารแบบเรียบง่าย เหมือนพสกนิกรทั่วไป หลังจากเคยหายจากโรคมะเร็งไปนานถึง ๑๐ ป ี)
คนไทยร้อยละ ๗๐ กำลังเป็นโรคอ้วน เพราะการบริโภคน้ำมันพืชฯ ค่าเฉลี่ยการบริโภคน้ำมันพืชฯ ต่อคนต่อเดือนสูงถึง ๑.๑ กก. หรือประมาณ ๑ ลิตร นั้นหมายความว่ามีคนเมืองจำนวนมาก ที่กินน้ำมันพืช มากกว่า ๑.๑ กก. เพราะในชนบทห่างไกล คนไทยจำนวนหนึ่งมิได้ใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี แต่ใช้น้ำมันหมูบ้าง น้ำมันมะพร้าวบ้าง
ในราวต้นปี ๒๕๕๐ บริษัทฟ้าสฟู้ด KFC ในต่างประเทศ ได้ประกาศเลิกใช้น้ำมันพืชที่เติมไฮโดรเจน โดยไม่บอกเหตุผล จึงเป็นเรื่องน่าคิดว่า เพราะเหตุใดธุรกิจจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนสูตรการปรุงอาหาร เพิ่มต้นทุนการผลิตของตนเอง ซึ่งหมายถึงความเสี่ยงทางการตลาดและกำไรที่ลดน้อยลง
ทำไมน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีจึงมีอันตรายสะสม? คำตอบก็คือ การสกัดด้วยความร้อนทำให้เกิด การไหม้เกรียมและดำ ทำให้ต้องใช้เคมี เช่น โซดาไฟ ฟอกขาว และการเติมไฮโดรเจนทำให้น้ำมันพืช เก็บไว้ได้นานโดยไม่เหม็นหืนง่าย แต่ไฮโดรเจนก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมีทำให้ น้ำมันพืชที่ไม่อิ่มตัว กลายเป็นน้ำมันพืชอิ่มตัว และมีลักษณะหนืดเหนียว จับกุมเป็นก้อนแข็งในอุณหภูมิ ๓๖-๔๐ องศาเซลเซียส
ดร.ณรงค์ โฉมเฉลาได้เขียนบทความ ''น้ำมันมะพร้าวและกะทิเป็นอันตรายหรือประโยชน์ต่อสุขภาพ' ในวารสาร "เกษตรกรรมธรรมชาติ" ใจความว่าประเทศที่บริโภคน้ำมันมะพร้าวมีตัวเลขการตาย จากโรคหัวใจและมะเร็ง ต่ำกว่าประเทศที่บริโภคน้ำมันพืชอื่น
แล้วทำไมจึงมีงานวิจัยในอดีตที่กล่าวหาว่าน้ำมันมะพร้าวเป็นสาเหตุของโรคหัวใจวาย ในอดีต จนทำให้ ใครๆ ต่างหวาดผวาน้ำมันมะพร้าว และเชื่อว่าน้ำมันมะพร้าวมีไขมันอิ่มตัวสูง มีคอเลสเตอรอลสูง ดร.ณรงค์กล่าวว่า American Soybean Association ได้ว่าจ้างสถาบันวิจัยแห่งหนึ่งในอเมริกา วิจัยผลเสียของน้ำมันมะพร้าว เพื่อส่งออกถั่วเหลืองในตลาดโลก
ข้าพเจ้าอยากเตือนคนไทยทั้งหลาย โปรดสำรวจตนเองว่าท่านกินน้ำมันวันละซีซี มันระบายออกมา ได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าท่านไม่หยุดกิน โรคไต โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดและหัวใจ โรคภูมิแพ้ โรคความดันเลือดสูง โรคมะเร็ง ฯลฯ จะมาเยือนท่านไม่ช้าก็เร็ว
นิตยสารหมอชาวบ้าน ปีที่ ๒๕ ฉบับที่ ๒๙๑ ก.ค.๒๕๔๖ ลงบทความ "น้ำมันพืชใช้อย่างไรให้ถูกต้อง และปลอดภัย" แนะนำว่า การผัดอาหารควรใช้ น้ำมันพืชที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง เช่น น้ำมันทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว แต่หากจะทอดอาหารแล้วควรใช้ น้ำมันพืช หรือสัตว์ ที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง เพราะการทอดใช้ความร้อนสูง และจุดเดือดน้ำมันพืชประมาณ ๑๘๐ องศาเซลเซียส จะเกิดสารเคมีที่เป็นพิษต่อร่างกายหลายชนิด เรียกรวมๆ ว่า โพลาร์คอมเพาวด์ (Polar Compound)
สารเคมีชนิดนี้ข้าพเจ้าเคยพบด้วยกลิ่นที่ทำให้แสบจมูก มีพ่อค้าทอดขนมกู๋ไช่คนหนึ่ง มีอาการตาพร่ามัว จึงไปพบจักษุแพทย์ และได้รับคำแนะนำให้เลิกอาชีพขาย อาหารทอด อาหารผัดอย่างถาวร มิฉะนั้น จะตาบอดได้
ทำไมน้ำมันที่มีไขมันอิ่มตัวสูง อย่างน้ำมันหมู และน้ำมันมะพร้าว จึงเหมาะแก่การทอด?
คำตอบก็คือ น้ำมันทั้งสองชนิดนี้เป็นน้ำมันที่มี กรดไขมันอิ่มตัวสูง (น้ำมันหมู ๔๐% น้ำมันมะพร้าว ๘๘%) มีสูตรโครงสร้างทางเคมีที่จับกับธาตุคาร์บอน (C) ในลักษณะแขนเดี่ยว (single bond) เมื่อโดนความร้อนสูงก็ทำให้อาหารกรอบ อร่อย ไม่มีสารเคมีเป็นพิษ และน้ำมันที่ใช้ทอดแล้วก็เก็บ ไว้ทอดซ้ำเกิน ๒ ครั้งไม่ได้เพราะจะดำและเหม็นหืน ซึ่งผิดกับน้ำมันพืชอื่นๆ ซึ่งมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง ซึ่งมีโครงสร้างเคมีเป็น แขนคู่ (double bond) ในการจับกับธาตุคาร์บอน จึงสามารถจับกับ ธาตุไฮโดรเจนเพิ่มได้อีก ๒ อะตอม จึงเหมาะกับการเติมไฮโดรเจน (Hydrogenation) ซึ่งเรียกว่า Trans Fatty Acid (TFA)
'Trans' นี้เป็นผลลัพท์ของความพยายามที่จะทำให้น้ำมันพืช มีลักษณะเหมือน น้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง ที่ทำให้อาหารทอด กรอบอร่อย แต่ปัญหาที่ตามมาคือ ความเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วน โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคไต โรคเบาหวาน มะเร็งเต้านม เพราะน้ำมันพืชที่ผ่านกรรมวิธี เหล่านี้ไม่สามารถขับ ออกจากร่างกาย ได้ง่ายๆ เหมือนน้ำมันมะพร้าวที่ละลายน้ำได้
บางคนที่เป็นปู่ย่าตายายในขณะนี้ (อายุ ๗๐ ปีขึ้นไป) จะบอกกล่าวว่า พ่อแม่ของท่านใช้น้ำมันหมู และน้ำมัน มะพร้าวทำอาหาร และท่านก็มีอายุถึง ๙๐ ปีกว่า ก่อนเสียชีวิต ไม่ได้กินน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเลย แต่ก็มีอายุยืนยาวได้ ในทางกลับกัน คนไทยในสมัยนี้กินน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีมานานกว่า ๓๐ ปี กลายเป็น โรคเบาหวานกันทั่วประเทศ ทุกหมู่บ้าน เด็กๆ ก็กลายเป็นโรคอ้วน เบาหวานในเด็ก ก็ลุกลามใหญ่โต จนใน ปีนี้องค์การเบาหวานโลก ได้เน้นการรณรงค์เบาหวานในวัยรุ่น ปีหนึ่งๆ จะมีผู้ป่วยเบาหวานเพิ่มขึ้นในโลก ไม่น้อยกว่า ๕ ล้านคน
สารเคมีที่กินเข้าไปคือ polar compound ยังไม่มีใครประกาศออกมาเลยว่ามีผลร้ายอย่างไร แต่ที่แน่ๆ คือ มันหนืดเมื่อโดนความร้อนสูง และติดหนึบหนับในลำไส้เล็กของเรา จนทำให้ประสิทธิภาพการดูดซึม สารอาหารที่ละลายน้ำ เช่น กรดอมิโน วิตามินบี ซี เป็นต้นเหตุของการเจ็บป่วยต่างๆโดยเฉพาะ การเจ็บป่วยแบบสะสม ค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งยากต่อการสังเกตเห็น
บางคนอาจจะสงสัยว่าทำไมบทความนี้ เชียร์แต่น้ำมันหมูและน้ำมันมะพร้าวเคี่ยวเอง น้ำมันปาล์ม ก็มีระดับกรดไขมันอิ่มตัวสูงถึง 48% ไม่เหมาะกับการทอดหรืออย่างไร? จริงๆ แล้วก็เหมาะสม ถ้าผ่านการหีบเย็น แต่น้ำมันปาล์มที่ขายอยู่นั้นผ่านกรรมวิธี refined,bleached,deodorized จึงมี polar compound เมื่อทอด
น้ำมันพืชที่ได้จากการสกัดแบบธรรมชาติ คือ หีบเย็น (Cold press) หรือ การบีบคั้นโดยไม่ใช้ความร้อน ส่วนใหญ่แล้วดี มีคุณค่าทางโภชนาการ แต่เมื่อเอาไปดัดแปลงทางเคมี เติมไฮโดรเจนเข้าไปก็เลยเป็นโทษ น้ำมันพืชที่หีบเย็นถ้านำมากินโดยไม่ผ่านการผัด การทอดก็จะได้สารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย สปาหลายแห่งจึงนำไปใช้เสริมสวย บำรุงผิวให้ลูกค้า
นิตยสาร'เกษตรกรรมธรรมชาติ' ฉบับ ๒/๒๕๔๘ บทความพิเศษ "น้ำมันมะพร้าวและกะทิเป็นอันตราย หรือเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ"โดย ดร. ณรงค์ โฉมเฉลา กล่าวไว้ว่า "น้ำมันมะพร้าว เป็นน้ำมันพืชที่ ประเทศต่างๆ ในเอเซียและแปซิฟิคใช้เป็นแหล่งพลังงาน และการหุงหาอาหารมาช้านาน โดยไม่ปรากฎ อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน จากรายงานขององค์การสหประชาชาติ เมื่อปี 2521 ประเทศ ศรีลังกา เป็นเทศที่ใช้น้ำมันมะพร้าว มากที่สุดประเทศหนึ่ง มีอัตราการตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจ อุดตันเพียง ๑ในแสนคน เปรียบเทียบกับ ๑๘๗ ในแสนคนในประเทศที่ไม่ได้ใช้น้ำมันมะพร้าว"
ดร.ณรงค์ยังกล่าวด้วยว่า "น้ำมันมะพร้าวไม่ได้เปลี่ยนแปลงระดับโคเลสเตอรอลในเลือด เนื้อมะพร้าว กับน้ำมะพร้าวลดระดับโคเลสเตอรอลอย่างมีนัยสำคัญ น้ำมันมะพร้าวเพิ่มปริมาณของ High density lipoprotein (HDL) ได้มากกว่าน้ำมันถั่วลิสง น้ำมันมะพร้าวไม่เพิ่มอัตราส่วนของ LDL ต่อ HDL ในขณะที่ไปลดระดับของไตรกลีเซอไรด์"
ข้าพเจ้าคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องเชื่อมั่นในภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทย แม้ว่าท่านทั้งหลาย จะไม่ได้บันทึกการทดลองทางเคมี ชีวะ ไว้ให้เราศึกษา แต่อย่าลืมว่าท่านได้ใช้ร่างกายของท่าน ทดลองเพื่อพวกเรามานานแสนนานแล้ว
ข้าพเจ้าได้คัดลอกความเห็นตอบกระทู้ของ ดร. ณรงค์ โฉมเฉลา มาเพื่อท่านจะได้อ่านสะดวกดังนี้ :
คนไทยใช้กะทิประกอบอาหารหวานคาวมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยไม่ปรากฎว่ามีใครเป็นโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคอ้วน จนกระทั่งเราเปลี่ยนมาบรโภคนำมันไม่อิ่มตัว กะทิกับน้ำมันมะพร้าว เป็นสารตัวเดียวกัน แต่อยู่ในรูปต่างกัน มีข้อดีคือ
๑. มีความอิ่มตัว ทำให้ออกซิเจน และไฮโดรเจนเข้าแทรกไม่ได้ จึงไม่เกิด trans fat และไม่ก่อให้เกิดสารก่อมะเร็งและทำอันตรายต่อเซลในร่างกาย
๒. เป็นโมเลกุลขนาดกลาง จึงเคลื่อนย้ายในร่างกายได้รวดเร็ว จากกระเพาะไปลำไส้ และเข้าไปเปลี่ยนเป็นพลังงานในตับ จึงไม่สะสมเป็นไขมัน ดังเช่นน้ำมันไม่อิ่มตัว
๓. มีภูมิคุ้มกันเกิดจากกรดลอริก ซึ่งเป็นสารตัวเดียวกันกับนมแม่ที่ช่วยให้ทารกมีภูมิคุ้มกันโรค อีกทั้งยังทำลายเชื้อโรคแทบทุกชนิดได้
๔. มีวิตามินอี ที่มีอานุภาพช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่เข้ามาทำลายเซลล์ ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง และโรคแห่งความเสื่อมอีกหลายโรค มีประจักษพยานมากมายจากชนชาติ ที่บริโภคกะทิ และน้ำมันมะพร้าวมาเป็นเวลานับพันปี โดยไม่มีผู้ใดเป็นโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน ฯลฯ จนกระทั่งพวกเราหันไปบริโภคน้ำมันไม่อิ่มตัวภูมิปัญญาของคนไทยคือการใช้กะทิในอาหารไทย ช่วยให้ปลอดโรค ร่างกายแข็งแรง และไม่อ้วน เกือบ ๓๐ ปีมาแล้วที่เราถูกเขาหลอกให้บริโภค น้ำมันไม่อิ่มตัว เพราะผลประโยชน์อันมหาศาล แต่ได้ทำลายอุตสาหกรรมน้ำมันมะพร้าวและกะทิของเรา รวมทั้งรายได้ของชาวสวนมะพร้าว ตลอดจนต้องเสียเงินอีกมาก ในการสั่งซื้อน้ำมันไม่อิ่มตัวเข้ามาบริโภค และในการรักษาโรคที่เกิดจากการบริโภคน้ำมันไม่อิ่มตัว ถึงเวลาแล้วที่เราจำต้องตอบโต้ กับการปรักปรำกะทิและน้ำมันมะพร้าว และรณรงค์ให้คนไทยหันกลับมาบริโภคกะทิ ดังที่บรรพบุรุษของเราได้ปฏิบัติมาเป็นแล้วช้านาน
สำหรับเมล์นี้ประเด็นที่น่าสนใจนำมาวิเคราะห์คือ น้ำมันพืชที่ใช้ปรุงอาหารกันอยู่เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่ มีpolar compoundอยู่ในน้ำมันพืชก่อนทอดจริงหรือไม่ น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าวและกะทิมีประโยชน์หรือไม่ ควรเลิกใช้น้ำมันพืชแล้วกลับไปใช้น้ำมันหมูหรือน้ำมันมะพร้าวดีหรือไม่ ไขมันอิ่มตัวเป็นประโยชน์หรือให้โทษกันแน่ เรื่องคุณประโยชน์และโทษของน้ำมันชนิดต่างๆนี้มีความสับสนอยู่มาก แม้ในหมู่นักวิชาการหรือแพทย์ก็ตาม บ้างก็ว่าน้ำมันมะพร้าวและน้ำมันปาล์มมีโทษ บ้างก็ว่ามีประโยชน์
ดังนั้นการที่จะดูว่าน้ำมันปรุงอาหารชนิดใดดีหรือไม่นั้นจึงควรดูจากส่วนประกอบต่างและคุณสมบัติของน้ำมันแต่ละชนิด เช่น ในน้ำมันจากทั้งพืชและสัตว์จะมีกรดไขมันทั้งชนิดอิ่มตัวและกรดไขมันไม่อิ่มตัว แต่ในน้ำมันจากสัตว์จะมี cholesterol อยู่ด้วย ส่วนในพืชไม่มีcholesterol หรือมีก็น้อยมาก
กรดไขมันอิ่มตัว (Saturated fatty acid) มีมากในน้ำมันจากสัตว์ เช่น น้ำมันหมูซึ่งโครงสร้างของไขมันจะเป็นแบบมีแถบคาร์บอนยาว มีคาร์บอนอยู่ 16-18 ตัว( long chain carbon) ต่างกับกรดไขมันอิ่มตัวในน้ำมันมะพร้าวและน้ำมันปาล์ม (มีเฉพาะใน palm kernel oilซึ่งสกัดมาจากเมล็ดปาล์ม ส่วน palm oil และ palm oleinซึ่งสกัดมาจากเนื้อปาล์ม ไม่มี) ซึ่งโครงสร้างเป็นแบบมีแถบคาร์บอนยาวปานกลาง มีคาร์บอนอยู่ 10 - 12 ตัว( medium chain carbon) ซึ่งอยู่ในรูปของกรด lauric ความแตกต่างของน้ำมันในเรื่องความยาวของสายคาร์บอนนี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งซึ่งจะได้กล่าวต่อไป กรดไขมันอิ่มตัวจะมีจุดเดือดของน้ำมันสูงกว่ากรดไขมันไม่อิ่มตัว
กรดไขมันไม่อิ่มตัว (Unsaturated fatty acid) มีอยู่ 2 ชนิดคือ กรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว(Mono unsaturated)ในรูปของ กรด oleic และกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง (poly unsaturated )ในรูปของกรด linoleic (โอเมก้า6) และในรูปของกรด alpha linolenic (โอเมก้า 3) กรดไขมันไม่อิ่มตัวทุกชนิดมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่หากโอเมก้า 6 มากกว่าโอเมก้า 3 มากเกินไปก็จะเกิดโทษ (ดูเรื่องโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6)
กรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว (Monounsaturated fatty acid, MUFA) เป็นกรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย มีความคงตัวสูง ทำปฏิกริยากับออกซิเจนในอากาศน้อย เกิดสารอนุมูลอิสระไม่มาก ไม่ใคร่เหม็นหืน ทนความร้อนได้สูง เหมาะใช้ปรุงอาหารประเภททอดหรือผัดที่ใช้เวลานาน ๆ กรดไขมันชนิดนี้ตัวอย่าง เช่น โอเลอิก (Oleic acid ) ซึ่งพบมากในน้ำมันพืชต่อไปนี้ คือ มะกอก, คาโนลา, ถั่วลิสง, งา ปาล์มโอเลอิน (สกัดจากเนื้อปาล์ม มิใช่เมล็ดปาล์ม), ดอกคำฝอยแปลง และเมล็ดทานตะวันแปลง MUFA นี้ ช่วยลดโคเลสเตอรอล ลด LDL-C และเพิ่ม HDL-C ป้องกันเส้นเลือดตีบได้
กรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง หรือกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Poly unsaturated (linoleic -โอเมก้า6 และ alpha linolenic-โอเมก้า 3) เป็นของเหลวที่อุณหภูมิห้อง พบได้ในน้ำมัน safflower น้ำมันงา น้ำมันข้าวโพด น้ำมันฝ้าย และน้ำมันถั่วเหลือง ไขมันชนิดนี้ลดระดับ LDL เช่นเดียวกัน แต่ถ้าหากมากไปก็จะไปลดระดับ HDL ด้วย
ไขมันทรานซ์ (Trans Fats or Hydrogenated Fats หรือ partially Hydrogenated Fats )
ไม่ได้เป็นไขมันมีอยู่ตามธรรมชาติแต่เป็นไขมันที่คนเราทำขึ้นมา โดยการใส่ไฮโครเจนเข้าไปในน้ำมันพืช เพื่อให้มีความคงตัว เก็บไว้ได้นานขึ้น และมีรสชาติของน้ำมันที่ดีขึ้น เนื่องจากไฮโดรเจนที่เติมเข้าไปนี้จะเติมเข้าไปเกาะกับสายคาร์บอนในไขมันเพียงบางส่วนจึงเรียกอีกชื่อว่า partially Hydrogenated Fats แต่หากเติมไฮโดรเจนให้ไปเกาะกับสายคาร์บอนทุกสายเป็น fully hydrogenated fat แล้วก็จะเกือบไม่มี transfat แต่จะเปลี่ยนเป็นไขมันทิ่อิ่มตัวแทน ลักษณะของน้ำมันพืชที่ partially Hydrogenated แล้วมีตั้งแต่เป็นของเหลว หรือ เป็นครีมไปจนถึงเป็นไขมันแข็ง แล้วแต่การใส่ไฮโดรเจนหรือการ hydrogenated เข้าไปมากน้อยเพียงใด ยิ่งมากก็จะยิ่งทำให้น้ำมันพืชแข็งตัวขึ้น อาหารที่มีไขมันทรานซ์พบได้ในพวก มาร์การีน หรือน้ำมันซึ่งนำไปทำอาหารประเภทโดนัท อาหารทอด เช่น ไก่ทอด มันฝรั่งทอด ขนมคุกกี้ ขนมคบเคี้ยวและขนมอบต่างๆ ไขมันชนิดนี้มีโทษมากกว่าไขมันอิ่มตัวของสัตว์ โดยไปจะเพิ่มระดับ cholesterol ที่ไม่ดีในร่างกาย โดยเพิ่มทั้ง total cholesterol และcholesterol ที่ไม่ดี( LDL) และไปลดcholesterolที่ดี( HDL)ในร่างกาย จึงควรใช้ไขมันชนิดนี้ให้น้อยที่สุดหรือไม่ใช้เลยจะยิ่งเป็นการดี ข้อมูลของไขมันทรานซ์นี้กำลังสร้างความตระหนกและตื่นตัวในต่างประเทศว่า ทั้งในยุโรป อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ซึ่งจากผลวิจัยพบว่าไขมันทรานส์เป็นไขมันที่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อหัวใจและหลอดเลือดมากที่สุดเมื่อเทียบกับไขมันชนิดอื่นๆ ในยุโรปและสหรัฐกำหนดให้ต้องมีฉลากแสดงจำนวนของไขมันทรานซ์ที่มีอยู่ในอาหาร ที่เกินกว่า0.5 กรัม บางประเทศห้ามใช้ไขมันทรานซ์นี้ประกอบอาหารเลย ทำให้ Mcdonal และKFC และบริษัท fast foodอื่นๆ ต้องเปลี่ยนไปใช้น้ำมันสำหรับทอดที่ไม่มีไขมันทรานซ์ ในสหรัฐและยุโรปแล้ว แต่ก็อาจยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงในประเทศที่ยังไม่ใส่ใจในเรื่องนี้ ในประเทศไทยยังไม่มีการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับไขมันทรานส์ในผลิตภัณฑ์อาหาร และยังไม่มีการกำหนดให้ต้องระบุในฉลากผลิตภัณฑ์
ที่มา http://www.pendulumthai.com/smf/index.php?topic=1372.0
เมื่อข้าพเจ้าเป็นเด็ก จะเห็นแม่สาละวนกับการเจียวน้ำมันหมูทุกๆ ๗ วัน เพื่อใช้ผัดกับข้าวให้พวกเรา รับประทาน น้ำมันหมูนี้มันเก็บได้ไม่นานเพราะไม่มีตู้เย็นเหมือนปัจจุบัน อีกทั้งการใช้ก็ตักทีละน้อย เพราะน้ำมันที่ผัดหรือทอดแล้วจะดำ และเหม็นหืนง่าย แต่พอข้าพเจ้าเป็นวัยรุ่น บรรดานักวิชาการสุขภาพ ก็เริ่มประกาศความมีพิษภัยของน้ำมันหมูและน้ำมันมะพร้าว โดยโฆษณาชุดแรกๆ ก็เน้นที่ความไม่เป็นไข (แข็งตัว) เมื่ออุณหภูมิเย็นตัวลง ของน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี เมื่อเทียบกับน้ำมันหมูและน้ำมันมะพร้าว โดยโฆษณาเน้นเรื่อง คอเลสเตอรอล ให้คนดูตระหนักถึงปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพเรื่อง โรคหลอดเลือด และหัวใจ จะด้วยความโง่หรืออ่อนต่อโลกก็มิทราบได้ ทั้งน้ำมันหมูและน้ำมันมะพร้าวมิได้จับตัวเป็นไขในร่างกายคน เพราะอุณหภูมิสูงถึง ๓๗ องศาc (น้ำมันทั้ง ๒ ชนิดจะเป็นไขที่อุณหภูมิต่ำกว่า ๒๕ องศาเซลเซียส) แต่ข้าพเจ้าก็เปลี่ยนน้ำมันทั้ง ๒ ชนิดที่เคี่ยวเองได้หันมากินน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี (Refined, Bleached, Deodorized) ด้วยความเชื่อนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ว่ารู้จริง รู้ดี จึงกล้าแนะนำประชาชน
หลายสิบปีผ่านไป การตรวจเลือดหาปริมาณคอเลสเตอรอล ยังคงได้ตัวเลขสูงกว่าค่าเฉลี่ยมากขึ้นทุกปี ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าก็ไม่อ้วน หรือน้ำหนักเกินดัชนีมวลกาย และได้เลิกใช้น้ำมันหมูหรือน้ำมันมะพร้าวไปนานแล้ว อีกทั้งร้านอาหารทุกแห่งไม่ว่าริมถนนหรือภัตตาคารก็ไม่มีใครทำน้ำมันใช้เองอีกแล้ว
แม่ของข้าพเจ้าป่วยตายด้วยโรคมะเร็งเยื่อหุ้มหัวใจเมื่ออายุ ๘๑ ปี แต่ข้าพเจ้ากลับป่วยด้วยอาการ ของโรคไต (nephrosis) และมีอาการคล้ายกับเป็นแผลเบาหวานทั้งๆ ที่ น้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร ๘ ชั่วโมงเพียง ๙๐ หน่วย (mg./dl) ดังนั้นแผลที่หายยากนั้นจึงเรียกว่า"โรคเส้นเลือดฝอยอักเสบเรื้อรัง"
ข้าพเจ้าโชคดีที่พบสาเหตุและยาแก้ แม้ว่าจะเป็นยาสมุนไพรที่กินยาก แต่ข้าพเจ้าก็หายได้เพราะความอดทน เป็นเรื่องแปลกแต่จริง ข้าพเจ้าเลิกกินอาหารที่ทอดด้วยน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีนาน ๑ ปี ระดับคอเลสเตอรอล ก็ลดลงต่ำกว่า ๑๕๐ มก./ดล.(ค่าปกติ ๑๕๐-๒๐๐ มก./ดล.) ทั้งๆ ที่ น้ำมันพืชทุกชนิดมักจะอ้างว่าไม่มี คอเลสเตอรอลก็ว่าได้
ข้าพเจ้าได้ตั้งคำถามถึงสาเหตุที่ข้าพเจ้าเป็นโรคไต แล้วค้นคว้าจนพบความจริงว่า น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี นี้แหละเป็นต้นเหตุที่ทำให้ข้าพเจ้าป่วย เพราะกินน้ำมันนี้วันละ ๓ มื้อ มากกว่าอาหาร หรือ ยาชนิดใดใด และ น้ำมันพืชฯนี้มันถูกเติมไฮโดรเจน (Hydrogenated) ทำให้ทอดอาหารได้กรอบอร่อย ใช้ได้หลายครั้ง ไม่เหม็นหืน แต่ก็เป็นกรดไขมันอิ่มตัวสูง เพราะโครงสร้างเคมีเปลี่ยนไปหลังผ่านกรรมวิธี เมื่อกินเข้าไป ในร่างกาย กลายเป็นคราบทำให้ี่น้ำซึมผ่านไม่ได้ ไม่เหมือนอย่างน้ำมันมะพร้าวที่คั้นน้ำกะทิแล้วเคี่ยว จนเป็นน้ำมัน แม้น้ำมันมะพร้าวจะมีสัดส่วนไขมันอิ่มตัวสูง แต่ก็ไม่เปลี่ยนแปลง โครงสร้างทางเคมี เพราะใช้ความร้อนสูง อีกทั้งยังละลายน้ำได้ จึงไม่เป็นคราบฝังแน่นในลำไส้และหน่วยไต
ท่านอาจจะยังไม่เชื่อข้าพเจ้า จึงอยากให้ทดลองเองที่บ้าน นำน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธียี่ห้อไหนก็ได้ ลองใส่ภาชนะแล้วตากแดดให้อุณภูมิใกล้เคียงกับภายในของมนุษย์ แล้วตรวจดูความเหนียวหนึบของมัน ลองกับน้ำมันหมูและน้ำมันมะพร้าวที่เคี่ยวเอง แล้วเปรียบเทียบกัน แม่บ้านหลายคนกล่าวว่าการล้างจานชาม ที่เปื้อนน้ำมันหมู น้ำกะทิ และน้ำมันมะพร้าว ทำได้ง่ายกว่า น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีมาก
คราบเหนียวหนึบยึดติดนี้ จะเกิดในลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ หลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ หลอดเลือดฝอยไต ( ติดในหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ ทำให้เป็นโรคหัวใจขาดเลือด ติดในหลอดเลือดฝอยไต ทำให้เป็นโรคไต วายเรื้อรัง ) จะเห็นได้ว่าปีหนึ่งๆ มีผู้เสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดและหัวใจเป็นอันดับหนึ่ง ติดตามด้วย โรคมะเร็ง
เมื่อน้ำไม่สามารถซึมผ่านคราบน้ำมันในลำไส้เล็ก ร่างกายก็จะขาดน้ำซึ่งควรจะมีอยู่ ๒/๓ ของน้ำหนักตัว สารละลายน้ำเช่นวิตามินบี ซี กรดอมิโน ก็จะกลายเป็นภาระของไตต้องกรอง ไตทำงานหนักมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเรากินมากขึ้นตามความเรียกร้องของสมอง เพราะร่างกายที่ขาดสารอาหารละลายน้ำ ยิ่งกินมาก น้ำมันก็ยิ่งอุดตัน ไตก็ทำงานหนักขึ้นอีก แนวโน้มคนป่วยโรคไต ไตวายเรื้อรังมีมากถึง ๒๒ ล้านคน ถ้าไม่หักคนป่วยที่ตายไปแบบเฉียบพลันหรือที่เรียกว่า โรคไหลตาย และไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ที่ต้องฟอกไต (๓ ปี) แล้วตาย ประมาณว่า กึ่งหนึ่งของผู้ที่เป็นโรคอ้วนจะป่วยเป็นโรคไตใน ๑๐-๒๐ ปีขึ้ ึ้นอยู่กับอัตราการบริโภคน้ำมันพืชฯ ส่วนอีกกึ่งหนึ่งก็ตายเพราะโรคมะเร็ง เพราะสารอาหารสำคัญที่ ละลายน้ำไม่ถูกดูดซึมเป็น ๑๐ ปี ( สังเกตจากกรณีพระประชวรของสมเด็จพระพี่นางเธอฯ ที่ทรงเสวย พระกระยาหารแบบเรียบง่าย เหมือนพสกนิกรทั่วไป หลังจากเคยหายจากโรคมะเร็งไปนานถึง ๑๐ ป ี)
คนไทยร้อยละ ๗๐ กำลังเป็นโรคอ้วน เพราะการบริโภคน้ำมันพืชฯ ค่าเฉลี่ยการบริโภคน้ำมันพืชฯ ต่อคนต่อเดือนสูงถึง ๑.๑ กก. หรือประมาณ ๑ ลิตร นั้นหมายความว่ามีคนเมืองจำนวนมาก ที่กินน้ำมันพืช มากกว่า ๑.๑ กก. เพราะในชนบทห่างไกล คนไทยจำนวนหนึ่งมิได้ใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี แต่ใช้น้ำมันหมูบ้าง น้ำมันมะพร้าวบ้าง
ในราวต้นปี ๒๕๕๐ บริษัทฟ้าสฟู้ด KFC ในต่างประเทศ ได้ประกาศเลิกใช้น้ำมันพืชที่เติมไฮโดรเจน โดยไม่บอกเหตุผล จึงเป็นเรื่องน่าคิดว่า เพราะเหตุใดธุรกิจจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนสูตรการปรุงอาหาร เพิ่มต้นทุนการผลิตของตนเอง ซึ่งหมายถึงความเสี่ยงทางการตลาดและกำไรที่ลดน้อยลง
ทำไมน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีจึงมีอันตรายสะสม? คำตอบก็คือ การสกัดด้วยความร้อนทำให้เกิด การไหม้เกรียมและดำ ทำให้ต้องใช้เคมี เช่น โซดาไฟ ฟอกขาว และการเติมไฮโดรเจนทำให้น้ำมันพืช เก็บไว้ได้นานโดยไม่เหม็นหืนง่าย แต่ไฮโดรเจนก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมีทำให้ น้ำมันพืชที่ไม่อิ่มตัว กลายเป็นน้ำมันพืชอิ่มตัว และมีลักษณะหนืดเหนียว จับกุมเป็นก้อนแข็งในอุณหภูมิ ๓๖-๔๐ องศาเซลเซียส
ดร.ณรงค์ โฉมเฉลาได้เขียนบทความ ''น้ำมันมะพร้าวและกะทิเป็นอันตรายหรือประโยชน์ต่อสุขภาพ' ในวารสาร "เกษตรกรรมธรรมชาติ" ใจความว่าประเทศที่บริโภคน้ำมันมะพร้าวมีตัวเลขการตาย จากโรคหัวใจและมะเร็ง ต่ำกว่าประเทศที่บริโภคน้ำมันพืชอื่น
แล้วทำไมจึงมีงานวิจัยในอดีตที่กล่าวหาว่าน้ำมันมะพร้าวเป็นสาเหตุของโรคหัวใจวาย ในอดีต จนทำให้ ใครๆ ต่างหวาดผวาน้ำมันมะพร้าว และเชื่อว่าน้ำมันมะพร้าวมีไขมันอิ่มตัวสูง มีคอเลสเตอรอลสูง ดร.ณรงค์กล่าวว่า American Soybean Association ได้ว่าจ้างสถาบันวิจัยแห่งหนึ่งในอเมริกา วิจัยผลเสียของน้ำมันมะพร้าว เพื่อส่งออกถั่วเหลืองในตลาดโลก
ข้าพเจ้าอยากเตือนคนไทยทั้งหลาย โปรดสำรวจตนเองว่าท่านกินน้ำมันวันละซีซี มันระบายออกมา ได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าท่านไม่หยุดกิน โรคไต โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดและหัวใจ โรคภูมิแพ้ โรคความดันเลือดสูง โรคมะเร็ง ฯลฯ จะมาเยือนท่านไม่ช้าก็เร็ว
นิตยสารหมอชาวบ้าน ปีที่ ๒๕ ฉบับที่ ๒๙๑ ก.ค.๒๕๔๖ ลงบทความ "น้ำมันพืชใช้อย่างไรให้ถูกต้อง และปลอดภัย" แนะนำว่า การผัดอาหารควรใช้ น้ำมันพืชที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง เช่น น้ำมันทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว แต่หากจะทอดอาหารแล้วควรใช้ น้ำมันพืช หรือสัตว์ ที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง เพราะการทอดใช้ความร้อนสูง และจุดเดือดน้ำมันพืชประมาณ ๑๘๐ องศาเซลเซียส จะเกิดสารเคมีที่เป็นพิษต่อร่างกายหลายชนิด เรียกรวมๆ ว่า โพลาร์คอมเพาวด์ (Polar Compound)
สารเคมีชนิดนี้ข้าพเจ้าเคยพบด้วยกลิ่นที่ทำให้แสบจมูก มีพ่อค้าทอดขนมกู๋ไช่คนหนึ่ง มีอาการตาพร่ามัว จึงไปพบจักษุแพทย์ และได้รับคำแนะนำให้เลิกอาชีพขาย อาหารทอด อาหารผัดอย่างถาวร มิฉะนั้น จะตาบอดได้
ทำไมน้ำมันที่มีไขมันอิ่มตัวสูง อย่างน้ำมันหมู และน้ำมันมะพร้าว จึงเหมาะแก่การทอด?
คำตอบก็คือ น้ำมันทั้งสองชนิดนี้เป็นน้ำมันที่มี กรดไขมันอิ่มตัวสูง (น้ำมันหมู ๔๐% น้ำมันมะพร้าว ๘๘%) มีสูตรโครงสร้างทางเคมีที่จับกับธาตุคาร์บอน (C) ในลักษณะแขนเดี่ยว (single bond) เมื่อโดนความร้อนสูงก็ทำให้อาหารกรอบ อร่อย ไม่มีสารเคมีเป็นพิษ และน้ำมันที่ใช้ทอดแล้วก็เก็บ ไว้ทอดซ้ำเกิน ๒ ครั้งไม่ได้เพราะจะดำและเหม็นหืน ซึ่งผิดกับน้ำมันพืชอื่นๆ ซึ่งมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง ซึ่งมีโครงสร้างเคมีเป็น แขนคู่ (double bond) ในการจับกับธาตุคาร์บอน จึงสามารถจับกับ ธาตุไฮโดรเจนเพิ่มได้อีก ๒ อะตอม จึงเหมาะกับการเติมไฮโดรเจน (Hydrogenation) ซึ่งเรียกว่า Trans Fatty Acid (TFA)
'Trans' นี้เป็นผลลัพท์ของความพยายามที่จะทำให้น้ำมันพืช มีลักษณะเหมือน น้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง ที่ทำให้อาหารทอด กรอบอร่อย แต่ปัญหาที่ตามมาคือ ความเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วน โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคไต โรคเบาหวาน มะเร็งเต้านม เพราะน้ำมันพืชที่ผ่านกรรมวิธี เหล่านี้ไม่สามารถขับ ออกจากร่างกาย ได้ง่ายๆ เหมือนน้ำมันมะพร้าวที่ละลายน้ำได้
บางคนที่เป็นปู่ย่าตายายในขณะนี้ (อายุ ๗๐ ปีขึ้นไป) จะบอกกล่าวว่า พ่อแม่ของท่านใช้น้ำมันหมู และน้ำมัน มะพร้าวทำอาหาร และท่านก็มีอายุถึง ๙๐ ปีกว่า ก่อนเสียชีวิต ไม่ได้กินน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเลย แต่ก็มีอายุยืนยาวได้ ในทางกลับกัน คนไทยในสมัยนี้กินน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีมานานกว่า ๓๐ ปี กลายเป็น โรคเบาหวานกันทั่วประเทศ ทุกหมู่บ้าน เด็กๆ ก็กลายเป็นโรคอ้วน เบาหวานในเด็ก ก็ลุกลามใหญ่โต จนใน ปีนี้องค์การเบาหวานโลก ได้เน้นการรณรงค์เบาหวานในวัยรุ่น ปีหนึ่งๆ จะมีผู้ป่วยเบาหวานเพิ่มขึ้นในโลก ไม่น้อยกว่า ๕ ล้านคน
สารเคมีที่กินเข้าไปคือ polar compound ยังไม่มีใครประกาศออกมาเลยว่ามีผลร้ายอย่างไร แต่ที่แน่ๆ คือ มันหนืดเมื่อโดนความร้อนสูง และติดหนึบหนับในลำไส้เล็กของเรา จนทำให้ประสิทธิภาพการดูดซึม สารอาหารที่ละลายน้ำ เช่น กรดอมิโน วิตามินบี ซี เป็นต้นเหตุของการเจ็บป่วยต่างๆโดยเฉพาะ การเจ็บป่วยแบบสะสม ค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งยากต่อการสังเกตเห็น
บางคนอาจจะสงสัยว่าทำไมบทความนี้ เชียร์แต่น้ำมันหมูและน้ำมันมะพร้าวเคี่ยวเอง น้ำมันปาล์ม ก็มีระดับกรดไขมันอิ่มตัวสูงถึง 48% ไม่เหมาะกับการทอดหรืออย่างไร? จริงๆ แล้วก็เหมาะสม ถ้าผ่านการหีบเย็น แต่น้ำมันปาล์มที่ขายอยู่นั้นผ่านกรรมวิธี refined,bleached,deodorized จึงมี polar compound เมื่อทอด
น้ำมันพืชที่ได้จากการสกัดแบบธรรมชาติ คือ หีบเย็น (Cold press) หรือ การบีบคั้นโดยไม่ใช้ความร้อน ส่วนใหญ่แล้วดี มีคุณค่าทางโภชนาการ แต่เมื่อเอาไปดัดแปลงทางเคมี เติมไฮโดรเจนเข้าไปก็เลยเป็นโทษ น้ำมันพืชที่หีบเย็นถ้านำมากินโดยไม่ผ่านการผัด การทอดก็จะได้สารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย สปาหลายแห่งจึงนำไปใช้เสริมสวย บำรุงผิวให้ลูกค้า
นิตยสาร'เกษตรกรรมธรรมชาติ' ฉบับ ๒/๒๕๔๘ บทความพิเศษ "น้ำมันมะพร้าวและกะทิเป็นอันตราย หรือเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ"โดย ดร. ณรงค์ โฉมเฉลา กล่าวไว้ว่า "น้ำมันมะพร้าว เป็นน้ำมันพืชที่ ประเทศต่างๆ ในเอเซียและแปซิฟิคใช้เป็นแหล่งพลังงาน และการหุงหาอาหารมาช้านาน โดยไม่ปรากฎ อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน จากรายงานขององค์การสหประชาชาติ เมื่อปี 2521 ประเทศ ศรีลังกา เป็นเทศที่ใช้น้ำมันมะพร้าว มากที่สุดประเทศหนึ่ง มีอัตราการตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจ อุดตันเพียง ๑ในแสนคน เปรียบเทียบกับ ๑๘๗ ในแสนคนในประเทศที่ไม่ได้ใช้น้ำมันมะพร้าว"
ดร.ณรงค์ยังกล่าวด้วยว่า "น้ำมันมะพร้าวไม่ได้เปลี่ยนแปลงระดับโคเลสเตอรอลในเลือด เนื้อมะพร้าว กับน้ำมะพร้าวลดระดับโคเลสเตอรอลอย่างมีนัยสำคัญ น้ำมันมะพร้าวเพิ่มปริมาณของ High density lipoprotein (HDL) ได้มากกว่าน้ำมันถั่วลิสง น้ำมันมะพร้าวไม่เพิ่มอัตราส่วนของ LDL ต่อ HDL ในขณะที่ไปลดระดับของไตรกลีเซอไรด์"
ข้าพเจ้าคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องเชื่อมั่นในภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทย แม้ว่าท่านทั้งหลาย จะไม่ได้บันทึกการทดลองทางเคมี ชีวะ ไว้ให้เราศึกษา แต่อย่าลืมว่าท่านได้ใช้ร่างกายของท่าน ทดลองเพื่อพวกเรามานานแสนนานแล้ว
ข้าพเจ้าได้คัดลอกความเห็นตอบกระทู้ของ ดร. ณรงค์ โฉมเฉลา มาเพื่อท่านจะได้อ่านสะดวกดังนี้ :
คนไทยใช้กะทิประกอบอาหารหวานคาวมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยไม่ปรากฎว่ามีใครเป็นโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคอ้วน จนกระทั่งเราเปลี่ยนมาบรโภคนำมันไม่อิ่มตัว กะทิกับน้ำมันมะพร้าว เป็นสารตัวเดียวกัน แต่อยู่ในรูปต่างกัน มีข้อดีคือ
๑. มีความอิ่มตัว ทำให้ออกซิเจน และไฮโดรเจนเข้าแทรกไม่ได้ จึงไม่เกิด trans fat และไม่ก่อให้เกิดสารก่อมะเร็งและทำอันตรายต่อเซลในร่างกาย
๒. เป็นโมเลกุลขนาดกลาง จึงเคลื่อนย้ายในร่างกายได้รวดเร็ว จากกระเพาะไปลำไส้ และเข้าไปเปลี่ยนเป็นพลังงานในตับ จึงไม่สะสมเป็นไขมัน ดังเช่นน้ำมันไม่อิ่มตัว
๓. มีภูมิคุ้มกันเกิดจากกรดลอริก ซึ่งเป็นสารตัวเดียวกันกับนมแม่ที่ช่วยให้ทารกมีภูมิคุ้มกันโรค อีกทั้งยังทำลายเชื้อโรคแทบทุกชนิดได้
๔. มีวิตามินอี ที่มีอานุภาพช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่เข้ามาทำลายเซลล์ ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง และโรคแห่งความเสื่อมอีกหลายโรค มีประจักษพยานมากมายจากชนชาติ ที่บริโภคกะทิ และน้ำมันมะพร้าวมาเป็นเวลานับพันปี โดยไม่มีผู้ใดเป็นโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน ฯลฯ จนกระทั่งพวกเราหันไปบริโภคน้ำมันไม่อิ่มตัวภูมิปัญญาของคนไทยคือการใช้กะทิในอาหารไทย ช่วยให้ปลอดโรค ร่างกายแข็งแรง และไม่อ้วน เกือบ ๓๐ ปีมาแล้วที่เราถูกเขาหลอกให้บริโภค น้ำมันไม่อิ่มตัว เพราะผลประโยชน์อันมหาศาล แต่ได้ทำลายอุตสาหกรรมน้ำมันมะพร้าวและกะทิของเรา รวมทั้งรายได้ของชาวสวนมะพร้าว ตลอดจนต้องเสียเงินอีกมาก ในการสั่งซื้อน้ำมันไม่อิ่มตัวเข้ามาบริโภค และในการรักษาโรคที่เกิดจากการบริโภคน้ำมันไม่อิ่มตัว ถึงเวลาแล้วที่เราจำต้องตอบโต้ กับการปรักปรำกะทิและน้ำมันมะพร้าว และรณรงค์ให้คนไทยหันกลับมาบริโภคกะทิ ดังที่บรรพบุรุษของเราได้ปฏิบัติมาเป็นแล้วช้านาน
สำหรับเมล์นี้ประเด็นที่น่าสนใจนำมาวิเคราะห์คือ น้ำมันพืชที่ใช้ปรุงอาหารกันอยู่เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่ มีpolar compoundอยู่ในน้ำมันพืชก่อนทอดจริงหรือไม่ น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าวและกะทิมีประโยชน์หรือไม่ ควรเลิกใช้น้ำมันพืชแล้วกลับไปใช้น้ำมันหมูหรือน้ำมันมะพร้าวดีหรือไม่ ไขมันอิ่มตัวเป็นประโยชน์หรือให้โทษกันแน่ เรื่องคุณประโยชน์และโทษของน้ำมันชนิดต่างๆนี้มีความสับสนอยู่มาก แม้ในหมู่นักวิชาการหรือแพทย์ก็ตาม บ้างก็ว่าน้ำมันมะพร้าวและน้ำมันปาล์มมีโทษ บ้างก็ว่ามีประโยชน์
ดังนั้นการที่จะดูว่าน้ำมันปรุงอาหารชนิดใดดีหรือไม่นั้นจึงควรดูจากส่วนประกอบต่างและคุณสมบัติของน้ำมันแต่ละชนิด เช่น ในน้ำมันจากทั้งพืชและสัตว์จะมีกรดไขมันทั้งชนิดอิ่มตัวและกรดไขมันไม่อิ่มตัว แต่ในน้ำมันจากสัตว์จะมี cholesterol อยู่ด้วย ส่วนในพืชไม่มีcholesterol หรือมีก็น้อยมาก
กรดไขมันอิ่มตัว (Saturated fatty acid) มีมากในน้ำมันจากสัตว์ เช่น น้ำมันหมูซึ่งโครงสร้างของไขมันจะเป็นแบบมีแถบคาร์บอนยาว มีคาร์บอนอยู่ 16-18 ตัว( long chain carbon) ต่างกับกรดไขมันอิ่มตัวในน้ำมันมะพร้าวและน้ำมันปาล์ม (มีเฉพาะใน palm kernel oilซึ่งสกัดมาจากเมล็ดปาล์ม ส่วน palm oil และ palm oleinซึ่งสกัดมาจากเนื้อปาล์ม ไม่มี) ซึ่งโครงสร้างเป็นแบบมีแถบคาร์บอนยาวปานกลาง มีคาร์บอนอยู่ 10 - 12 ตัว( medium chain carbon) ซึ่งอยู่ในรูปของกรด lauric ความแตกต่างของน้ำมันในเรื่องความยาวของสายคาร์บอนนี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งซึ่งจะได้กล่าวต่อไป กรดไขมันอิ่มตัวจะมีจุดเดือดของน้ำมันสูงกว่ากรดไขมันไม่อิ่มตัว
กรดไขมันไม่อิ่มตัว (Unsaturated fatty acid) มีอยู่ 2 ชนิดคือ กรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว(Mono unsaturated)ในรูปของ กรด oleic และกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง (poly unsaturated )ในรูปของกรด linoleic (โอเมก้า6) และในรูปของกรด alpha linolenic (โอเมก้า 3) กรดไขมันไม่อิ่มตัวทุกชนิดมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่หากโอเมก้า 6 มากกว่าโอเมก้า 3 มากเกินไปก็จะเกิดโทษ (ดูเรื่องโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6)
กรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว (Monounsaturated fatty acid, MUFA) เป็นกรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย มีความคงตัวสูง ทำปฏิกริยากับออกซิเจนในอากาศน้อย เกิดสารอนุมูลอิสระไม่มาก ไม่ใคร่เหม็นหืน ทนความร้อนได้สูง เหมาะใช้ปรุงอาหารประเภททอดหรือผัดที่ใช้เวลานาน ๆ กรดไขมันชนิดนี้ตัวอย่าง เช่น โอเลอิก (Oleic acid ) ซึ่งพบมากในน้ำมันพืชต่อไปนี้ คือ มะกอก, คาโนลา, ถั่วลิสง, งา ปาล์มโอเลอิน (สกัดจากเนื้อปาล์ม มิใช่เมล็ดปาล์ม), ดอกคำฝอยแปลง และเมล็ดทานตะวันแปลง MUFA นี้ ช่วยลดโคเลสเตอรอล ลด LDL-C และเพิ่ม HDL-C ป้องกันเส้นเลือดตีบได้
กรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง หรือกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Poly unsaturated (linoleic -โอเมก้า6 และ alpha linolenic-โอเมก้า 3) เป็นของเหลวที่อุณหภูมิห้อง พบได้ในน้ำมัน safflower น้ำมันงา น้ำมันข้าวโพด น้ำมันฝ้าย และน้ำมันถั่วเหลือง ไขมันชนิดนี้ลดระดับ LDL เช่นเดียวกัน แต่ถ้าหากมากไปก็จะไปลดระดับ HDL ด้วย
ไขมันทรานซ์ (Trans Fats or Hydrogenated Fats หรือ partially Hydrogenated Fats )
ไม่ได้เป็นไขมันมีอยู่ตามธรรมชาติแต่เป็นไขมันที่คนเราทำขึ้นมา โดยการใส่ไฮโครเจนเข้าไปในน้ำมันพืช เพื่อให้มีความคงตัว เก็บไว้ได้นานขึ้น และมีรสชาติของน้ำมันที่ดีขึ้น เนื่องจากไฮโดรเจนที่เติมเข้าไปนี้จะเติมเข้าไปเกาะกับสายคาร์บอนในไขมันเพียงบางส่วนจึงเรียกอีกชื่อว่า partially Hydrogenated Fats แต่หากเติมไฮโดรเจนให้ไปเกาะกับสายคาร์บอนทุกสายเป็น fully hydrogenated fat แล้วก็จะเกือบไม่มี transfat แต่จะเปลี่ยนเป็นไขมันทิ่อิ่มตัวแทน ลักษณะของน้ำมันพืชที่ partially Hydrogenated แล้วมีตั้งแต่เป็นของเหลว หรือ เป็นครีมไปจนถึงเป็นไขมันแข็ง แล้วแต่การใส่ไฮโดรเจนหรือการ hydrogenated เข้าไปมากน้อยเพียงใด ยิ่งมากก็จะยิ่งทำให้น้ำมันพืชแข็งตัวขึ้น อาหารที่มีไขมันทรานซ์พบได้ในพวก มาร์การีน หรือน้ำมันซึ่งนำไปทำอาหารประเภทโดนัท อาหารทอด เช่น ไก่ทอด มันฝรั่งทอด ขนมคุกกี้ ขนมคบเคี้ยวและขนมอบต่างๆ ไขมันชนิดนี้มีโทษมากกว่าไขมันอิ่มตัวของสัตว์ โดยไปจะเพิ่มระดับ cholesterol ที่ไม่ดีในร่างกาย โดยเพิ่มทั้ง total cholesterol และcholesterol ที่ไม่ดี( LDL) และไปลดcholesterolที่ดี( HDL)ในร่างกาย จึงควรใช้ไขมันชนิดนี้ให้น้อยที่สุดหรือไม่ใช้เลยจะยิ่งเป็นการดี ข้อมูลของไขมันทรานซ์นี้กำลังสร้างความตระหนกและตื่นตัวในต่างประเทศว่า ทั้งในยุโรป อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ซึ่งจากผลวิจัยพบว่าไขมันทรานส์เป็นไขมันที่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อหัวใจและหลอดเลือดมากที่สุดเมื่อเทียบกับไขมันชนิดอื่นๆ ในยุโรปและสหรัฐกำหนดให้ต้องมีฉลากแสดงจำนวนของไขมันทรานซ์ที่มีอยู่ในอาหาร ที่เกินกว่า0.5 กรัม บางประเทศห้ามใช้ไขมันทรานซ์นี้ประกอบอาหารเลย ทำให้ Mcdonal และKFC และบริษัท fast foodอื่นๆ ต้องเปลี่ยนไปใช้น้ำมันสำหรับทอดที่ไม่มีไขมันทรานซ์ ในสหรัฐและยุโรปแล้ว แต่ก็อาจยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงในประเทศที่ยังไม่ใส่ใจในเรื่องนี้ ในประเทศไทยยังไม่มีการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับไขมันทรานส์ในผลิตภัณฑ์อาหาร และยังไม่มีการกำหนดให้ต้องระบุในฉลากผลิตภัณฑ์
ที่มา http://www.pendulumthai.com/smf/index.php?topic=1372.0
วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556
10 อันดับที่เราไม่รู้เกี่ยวกับหนังโป๊
หนังโป๊หากตามความคิดของผู้คนส่วนใหญ่ก็ต้องมองไปในทางด้านลบเสมอ ทั้งเรื่องศีลธรรมอันดีงาม อบายมุข ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ก็ดี แต่สำหรับผมแล้วหนังโป๊ยังมีอะไรที่เราจะต้องเรียนรู้อีกมากเพราะว่าผู้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยที่จะศึกษาเรื่องนี้กันเท่าไรนัก ก็คงเป็นเพราะว่าหลายคนมองว่าเป็นเรื่องที่ขยะแขยงหรือผิดศีล เป็นเรื่องบาป แต่ผมเองก็พยายามหาข้อมูลที่เราไม่รู้เกี่ยวกับหนังโป๊ให้ทุกคนได้ชมกัน ซึ่งนี่คือ 10 อันดับที่เราอาจไม่รู้เกี่ยวกับหนังโป๊ มีดังนี้คือ
10.รู้หรือไม่ว่า เสียงที่เราได้ยินในหนังโป๊ไม่ว่าจะเป็นเสียงบทพูดของนักแสดงหรือเสียงตอนที่กำลังทำกิจกรรมอยู่ เป็นเสียงของคนพากย์ทั้งสิ้น9.ผู้ชายส่วนใหญ่จะเริ่มดูหนังโป๊ตอนอายุ 10 ขวบ หรืออยู่ในช่วงป.58.ทุกวันอาทิตย์จะเป็นช่วงที่คนดูหนังโป๊มากที่สุด7.มีการวิจัยว่าหนังโป๊ไม่ใช่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้คนก่ออาชญากรรม ซึ่งผู้คนส่วนมากจะเข้าใจผิดในเรื่องนี้6.มีการอัพโหลดวิดีโอโป๊ทุกๆ 39 นาที5.ในประเทศเกาหลีเหนือ หากใครดูหนังโป๊ โทษถึงประหารชีวิต4.เวลาที่ผู้ชายส่วนใหญ่ดูหนังโป๊ จะดูที่หน้าของผู้หญิงตอนที่กำลังทำกิจกรรมเป็นหลัก3.ช่วงที่มีการเลือกตั้งผู้คนส่วนใหญ่จะมีอารมณ์ทางเพศเป็นพิเศษ ยิ่งเมื่อฝ่ายที่ผู้คนเชียร์เป็นฝ่ายชนะ อารมณ์ทางเพศยิ่งเพิ่มขึ้นทวีคูณ ก็หมายความว่าพวกเขาจะต้องดูหนังโป๊หรือทำกิจกรรมไปมากกว่านั้นในช่วงเลือกตั้งสูง2.นักแสดงหนังโป๊นั้น ฝ่ายชายกับฝ่ายหญิงจะใช้เวลาคุยกันก่อนที่จะเริ่มถ่ายทำประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งนักแสดงส่วนใหญ่ก็แต่งงานแล้ว พวกเขาจะไม่พูดถึงเรื่องความสัมพันธ์เรื่องรักๆใคร่ๆนอกเรื่อง จะพูดแต่เรื่องบทบาทในการแสดง นักแสดงหนังโป๊พอแสดงเสร็จแล้วพวกเขาก็ไม่ได้มีความผูกพันธ์กันแบบรักๆใคร่ๆ พวกเขาก็กลับบ้านไปหาครอบครัวตามปกติ พวกเขาสามารถแยกแยะระหว่างเซ็กส์กับความรักได้1.ผู้หญิงทุกคนเคยดูหนังโป๊กันทั้งนั้น หากผู้หญิงบอกกับเราว่าไม่เคยดูหนังโป๊ แสดงว่าผู้หญิงโกหก
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=49958
วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2556
จะถึงยอดเขา ต้องเดินกี่ชั่วโมง" ชายหนุ่มถาม ยายแก่ตอบว่า ...
ชายหนุ่ม จะไปฝึกวิชา ที่วัดบนยอดเขา
ถึงตีนเขา เจอยายท่านหนึ่ง
ชายหนุ่มจึงถาม
"จะถึงยอดเขา ต้องเดินกี่ชั่วโมง"
ยายแก่ไม่ตอบ ชายหนุ่มถามกี่ครั้ง ยายแก่ก็ไม่ตอบ
ชายหนุ่มโมโห ไม่คิดถามต่อ เดินขึ้นเขาไปเลย
เดินได้สักพัก
ยายแก่ตะโกนมาว่า "4 ชั่วโมง"
ชายหนุ่มโมโหหนัก บอกว่า" ตอนถามไม่ตอบ พอเดินจากมาค่อยตอบ"
ยายแก่จึงบอกว่า
"ถ้าข้าไม่เห็นความเร็วที่เจ้าเดิน จะรู้ได้อย่างไร ว่าจะใช้เวลาเท่าใด"
<><><><><><><><><><><><><><><>
ดังนั้น หากถามตัวเองว่า
ช้าเร็ว เราจึงจะประสบความสำเร็จ ในชีวิตนั่นก็ขึ้นกับ ความสามารถ ของตัวเรานั่นเอง
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=49748
วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2556
ทำไมต้องมีที่จอดรถคนพิกา
มาจากประสบการณ์ตัวเองค่ะ เดิมเมื่อก่อนเราเองก็เดินได้ปรกติเหมือนคนทั่วไป แต่เราเกิดอาการป่วยและทำให้เดินไม่ได้ในที่สุด เราเองต้องนั่งรถ wheelchair ในการออกไปไหนมาไหน และปัญหาที่เราพบบ่อย ๆ เวลาออกไปที่ใดก็ตามก็คือ ที่จอดรถสำหรับคนใช้ wheelchair (คนพิการ คนป่วย และคนชรา) มักจะเต็มเสมอ ๆ
ซึ่งพบว่าคนส่วนใหญ่ที่มาจอดในที่จอดรถพิเศษเหล่านี้ มักจะเป็นคนที่ร่างการปรกติสมบูรณ์
เราจึงกลับมาคิดว่า บางทีหลาย ๆ คนอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมีที่จอดรถสำหรับคนใช้ wheelchair ขึ้นมาเฉพาะ ก็เลยวาดการ์ตูน(ฝีมือโปเกหน่อยนะคะ)เพื่ออธิบายให้ฟังกันค่ะ เพราะถ้าเขียนยาว ๆ ก็กลัวจะเบื่อกันเสียก่อน ^ ^
@@ จะสังเกตุได้ว่าที่จอดรถสำหรับคนใช้ wheelchair มีขนาดกว้างกว่าปรติ จะพบว่าที่จอดรถแบบนี้จำนวนสองช่อง สามารถจอดรถได้ถึงสามคันสบายๆ
หลายครั้งจึงพบว่าที่จอดรถจำนวนสองช่องมีรถสามคันจอดเบียดอยู่ก่อนแล้ว (และแน่นอนทั้งสามคันเป็นคนปรกติค่ะ)
ทำไมต้องทำช่องให้กว้างด้วยนะ ? ก็เพราะคนพิการทางร่างกายใช้รถเข็นค่ะ การขึ้นรถต้องนำรถเข็นไปเทียบด้านข้าง เปิดประตูให้กว้างสุด ๆ แล้วจึงจะสามารถย้ายหรือยกตัวขึ้นรถได้ ช่องที่กว้างๆ เหล่านี้ก็คือ สำหรับจอดรถยนต์+บริเวณสำหรับเทียบรถเข็น+บริเวณที่ประตูสามารถเปิดอ้าได้โดยไม่ติดสิ่งกีดขวางอื่นใด
@ เพราะที่จอดรถแบบนี้มักจะอยู่ใกล้ตัวอาคาร เพื่อให้ผู้ใช้ wheelchair ที่เข็นรถด้วยตนเองสามารถเข็นเข้าโดยง่ายค่ะ
@นอกจากนี้ที่จอดรถแบบนี้ ยังมีลักษณะพิเศษอื่น ๆ อีกค่ะ เพื่ออำนวยความสะดวกให้สำหรับผู้ใช้รถเข็น และที่สำคัญที่สุดเพื่อความปลอดภัยของคนใช้รถเข็นค่ะ (รถเข็นสะดุดล้ม หน้าทิ่มง่ายมากนะคะ เพียงแค่เจอหลุมเล็กเพียงหลุมเดียว ก็หน้าคะมำแล้วหล่ะ)
จริงๆ แล้วเราเชื่อว่า หลายๆ คนที่ได้จอดรถบนที่จอดรถคนพิการไม่ใช่คนที่มีจิตใจเลวร้ายอะไร เพียงแต่เค้าไม่ทันคิดว่ามันจะส่งผลกระทบอย่างไร หากทราบแล้วก็คงไม่คิดจะทำซ้ำอีก สังคมเรายังขาดเรื่องการให้ความรู้ค่ะ หากเราช่วยกันเผยแพร่เหตุผลว่าทำไมจึงต้องมีที่จอดรถคนพิการ เราเชื่อว่าเหตุการณ์แย่งที่จอดรถเหล่านี้คงลดน้อยลงได้เอง
ที่มา http://pantip.com/topic/30945237
ซึ่งพบว่าคนส่วนใหญ่ที่มาจอดในที่จอดรถพิเศษเหล่านี้ มักจะเป็นคนที่ร่างการปรกติสมบูรณ์
เราจึงกลับมาคิดว่า บางทีหลาย ๆ คนอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมีที่จอดรถสำหรับคนใช้ wheelchair ขึ้นมาเฉพาะ ก็เลยวาดการ์ตูน(ฝีมือโปเกหน่อยนะคะ)เพื่ออธิบายให้ฟังกันค่ะ เพราะถ้าเขียนยาว ๆ ก็กลัวจะเบื่อกันเสียก่อน ^ ^
@@ จะสังเกตุได้ว่าที่จอดรถสำหรับคนใช้ wheelchair มีขนาดกว้างกว่าปรติ จะพบว่าที่จอดรถแบบนี้จำนวนสองช่อง สามารถจอดรถได้ถึงสามคันสบายๆ
หลายครั้งจึงพบว่าที่จอดรถจำนวนสองช่องมีรถสามคันจอดเบียดอยู่ก่อนแล้ว (และแน่นอนทั้งสามคันเป็นคนปรกติค่ะ)
ทำไมต้องทำช่องให้กว้างด้วยนะ ? ก็เพราะคนพิการทางร่างกายใช้รถเข็นค่ะ การขึ้นรถต้องนำรถเข็นไปเทียบด้านข้าง เปิดประตูให้กว้างสุด ๆ แล้วจึงจะสามารถย้ายหรือยกตัวขึ้นรถได้ ช่องที่กว้างๆ เหล่านี้ก็คือ สำหรับจอดรถยนต์+บริเวณสำหรับเทียบรถเข็น+บริเวณที่ประตูสามารถเปิดอ้าได้โดยไม่ติดสิ่งกีดขวางอื่นใด
@ เพราะที่จอดรถแบบนี้มักจะอยู่ใกล้ตัวอาคาร เพื่อให้ผู้ใช้ wheelchair ที่เข็นรถด้วยตนเองสามารถเข็นเข้าโดยง่ายค่ะ
@นอกจากนี้ที่จอดรถแบบนี้ ยังมีลักษณะพิเศษอื่น ๆ อีกค่ะ เพื่ออำนวยความสะดวกให้สำหรับผู้ใช้รถเข็น และที่สำคัญที่สุดเพื่อความปลอดภัยของคนใช้รถเข็นค่ะ (รถเข็นสะดุดล้ม หน้าทิ่มง่ายมากนะคะ เพียงแค่เจอหลุมเล็กเพียงหลุมเดียว ก็หน้าคะมำแล้วหล่ะ)
จริงๆ แล้วเราเชื่อว่า หลายๆ คนที่ได้จอดรถบนที่จอดรถคนพิการไม่ใช่คนที่มีจิตใจเลวร้ายอะไร เพียงแต่เค้าไม่ทันคิดว่ามันจะส่งผลกระทบอย่างไร หากทราบแล้วก็คงไม่คิดจะทำซ้ำอีก สังคมเรายังขาดเรื่องการให้ความรู้ค่ะ หากเราช่วยกันเผยแพร่เหตุผลว่าทำไมจึงต้องมีที่จอดรถคนพิการ เราเชื่อว่าเหตุการณ์แย่งที่จอดรถเหล่านี้คงลดน้อยลงได้เอง
ที่มา http://pantip.com/topic/30945237
แง่คิดดีๆ จากชายชราผู้จากไป
เขียนโดย พิศณุ นิลกลัด
สัปดาห์สุดท้ายของปี 2548 ผมไปงานสวดและงานเผาศพผู้ชายวัย 81 ปีที่ผมรู้จักเขามายาวนาน 30 ปี ไม่ใช่ญาติ แต่สนิทนักรักใคร่เสมือนญาติ
ก่อนเสียชีวิตไม่กี่วันเขาสั่งลูกและภรรยาแบบคนไม่ครั่นคร้ามความตายว่าสวดสามวันแล้วเผา ไม่ต้องบอกใครให้วุ่นวาย อย่าเศร้า อย่าร้องไห้ ทุกคนต้องมีวันนี้เพียงแต่เขาอยู่หัวแถวเลยต้องไปก่อน แล้วลูกเมียก็ทำตามคำสั่ง สวดสามวันเผา งานสวด 3 คืนมีคนฟังพระสวดคืนละ 14 คนคือเมีย ลูก หลาน เขย สะใภ้ และผมซึ่งเป็นคนนอกเป็นงานศพที่มีคนไปร่วมงานน้อยที่สุดเท่าที่ผมเคยไปฟังสวด
วันเผามีเพิ่มเป็น 17 คน สามคนที่เพิ่มเป็นเพื่อนบ้านที่เคยคุยด้วยเกือบทุกเย็นคนหนึ่งเป็นแม่ค้าล็อตเตอรี่ที่เคยยืมเงินแล้วไม่มีสตังค์จ่าย
เลยเอาล็อตเตอรี่ทยอยผ่อนใช้หนี้แทนเงินงวดละสองใบคนหนึ่งและคนสุดท้ายเป็นหญิงที่ผู้ตายเคยผูกปิ่นโตทุกมื้อเย็นทั้งสามคนบอกว่าเกือบมาไม่ทันเผา เคราะห์ดีที่แวะไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลเจ้าหน้าที่บอกว่าเสียชีวิตไปแล้ว 3 วัน
หลังฌาปนกิจพระกระซิบถามเจ้าหน้าที่วัดว่าเจ้าของงานจ่ายเงินค่าศาลาสวดพระอภิธรรมแล้วหรือยัง
พระท่านคงไม่เคยเห็นงานศพที่มีคนน้อยแบบที่ผมก็รู้สึกตั้งแต่สวดคืนแรก
จริงๆ แล้วผู้ตายเป็นคนค่อนข้างมีสตังค์ ทำงานธนาคารแห่งประเทศไทยจนเกษียณอายุที่ ตำแหน่งหัวหน้าหน่วย แต่ด้วยความที่รักและศรัทธา อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์อดีตผู้ว่าการแบงค์ชาติ จึงดำเนินชีวิตแบบไม่ปรารถนาให้ใครเดือนร้อน - แม้กระทั่งวันตาย
ผมสนิทกับเขาเพราะเขามีความฝันในวัยเด็กอยากเป็นนักประพันธ์แบบไม้เมืองเดิมที่เขาเคยนั่งเหลาดินสอและวิ่งซื้อโอเลี้ยงให้ เมื่อตัวเองเป็นนักเขียนไม่ได้ พอมาเจอะผมที่เป็นนักข่าวก็เลยถูกชะตาและให้ความเมตตา การมีโอกาสได้พูดได้คุยกับเขาตามวาระโอกาสตลอด 30 ปีทำให้ได้แง่คิดดีๆมาใช้ในการ ดำรงชีวิต
วันหนึ่งเขารู้ว่าขโมยยกชุดกอล์ฟของผมไปสองชุดราคา 4 แสนกว่าบาท เขาปลอบใจผมว่า'ของที่หายเป็นของฟุ่มเฟือยของเรา แต่มันอาจเป็นของจำเป็นสำหรับลูกเมียครอบครัวเขา คิดซะว่าได้ทำบุญ จะได้ไม่ทุกข์'
เขามีวิธีคิด 'เท่ๆ' แบบผมคิดไม่ได้มากมาย เป็นต้นว่าสุขและทุกข์อยู่รอบตัวเรา อยู่ที่ว่าเราจะเลือกหยิบเลือกคว้าอะไร คงเป็นเพราะเขาเลือกคว้าแต่ความสุข ช่วงปีสุดท้ายของชีวิตเขาต่อสู้กับโรคชรา เบาหวาน หัวใจ ความดัน เกาต์ และไตทำงานเพียง 5 เปอร์เซ็นต์โดยไม่ปริปากบ่น แถมยังสามารถให้ลูกชายขับรถพาเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์โดยที่ตัวเองต้องหิ้วถุง ปัสสาวะไปด้วยตลอดเวลา เนื่องจากไตไม่ทำงาน ปัสสาวะเองไม่ได้ 6 เดือนสุดท้ายของชีวิตต้องนอนโรงพยาบาลสามวันนอนบ้านสี่วันสลับกันไป เวลาลูกหลาน หรือเพื่อนของลูกรวมทั้งผมด้วยไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล เขามีแรงพูดติดต่อกันไม่เกิน 10 นาที แต่ 10 นาที ที่พูดมีแต่เรื่องสนุกสนาน เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนไปเยี่ยมไข้ ทุกคนพูดตรงกันว่า 'คุณตาไม่เห็นเหมือนคนป่วยเลย ตลกเหมือนเดิม'พอแขกกลับ ลูกหลานถามว่าทำไมคุยแต่เรื่องตลก เขาตอบว่า 'ถ้าคุยแต่เรื่องเจ็บป่วย วันหลังใครเขาจะอยากมาเยี่ยมอีก'
เขาเป็นคนชอบคุยกับผู้คนไม่ว่าจะอยู่บนเตียงคนไข้หรืออยู่บนรถแท็กซี่
บ่อยครั้งที่นั่งรถถึงหน้าบ้านแล้วแต่สั่งให้โชเฟอร์ขับวนรอบหมู่บ้านเพราะยังคุย ไม่จบเรื่อง แล้วจ่ายเงินตามมิเตอร์ !
4เดือนสุดท้ายของชีวิตแพทย์ที่รักษาโรคไตมาตั้งแต่สมัยเป็นแพทย์อินเทิร์นจนกระทั่งเป็นหัวหน้าแผนกแนะนำให้พักรักษาตัวในโรงพยาบาลให้แข็งแรงแล้วค่อย กลับบ้าน
แต่อยู่ได้ 4 วันเขาวิงวอนหมอว่าขอกลับบ้าน หมอซึ่งรักษากันมา 16 ปีไม่ยอม เขาพูดกับหมอด้วยความสุภาพว่า 'ขอให้ผมกลับบ้าน เถอะ ผมอยากฟังเสียงนกร้องคุณหมอไม่รู้หรอกว่าคนคิดถึงบ้านมันเป็น
อย่างไร เพราะ พอเสร็จงานหมอก็กลับบ้าน'หมอได้ฟังแล้วหมดทางสู้ ยอมให้คนไข้กลับบ้าน แต่กำชับให้มาตรวจตรงตามเวลานัดทุกครั้ง
1 เดือนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เขาสูญเสียการควบคุมอวัยวะของร่างกายเกือบทั้งหมดเคลื่อนไหวได้อย่างเดียวคือกะพริบตา แต่แพทย์บอกว่าสมองของเขายังดีมาก เวลาลูกเมียพูดคุยด้วยต้องบอกว่า '
ถ้าได้ยินพ่อกะพริบตาสองที' เขากะพริบตาสองทีทุกครั้ง ! เห็นแล้วทั้งดีใจและใจหาย
เขายังรับรู้ แต่พูดไม่ได้ นี่กระมังที่เรียกว่าถูกขังในร่างของตนเอง
สิบวันก่อนพลัดพราก ภรรยากระซิบข้างหูว่า 'พ่อสู้นะ' เขาไม่กะพริบตาซะแล้วทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้สองเดือนเคยตอบว่า 'สู้'
เขาสู้กับสารพัดโรคด้วยความเข้าใจโรค สู้ชนิดที่หมอออกปากว่า 'คุณลุงแกสู้จริงๆ'
ตอนที่วางดอกไม้จันทน์ ผมนึกถึงประโยคที่แกพูดกับลูกเมื่อสี่เดือนก่อนว่า'โรคภัยมันเอาร่างกายของพ่อไปแล้ว อย่าให้มันเอาใจของเราไปด้วย' 'แง่คิดดีๆ จากชายชราที่จากไป' สอนให้เรารู้ว่า...
เราเกิดมาพร้อมกับจิตใจบริสุทธิ์ และมันสมองมหัศจรรย์ ที่จะสามารถเรียนรู้ แยกแยะเรื่องดีๆและสิ่งร้ายๆในชีวิต จงใช้โอกาสดีๆที่ร่างกายและจิตใจของเรา ยังทำอะไรๆได้อย่างที่สมองสั่งจงเรียนรู้ และสร้างประโยชน์สุข ให้กับตนเองและผู้อื่นอย่างพอเพียงและดำรงชีวิตอย่างพอเพียงทางเศรษฐกิจหากทุกๆครั้งที่เรียนรู้ เราล้ม เราพลาด... อาจจะรู้สึกท้อบ้างในบางทีแม้ไม่มีกำลังกายที่จะลุกในทันที ....แต่ข้อให้มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป ถ้าเราเรียนรู้...ก็จะทำให้เราพบว่า การล้มหรือพลาดครั้งต่อไป เราจะไม่เจ็บเท่าเดิม
บทความนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=49736
พลังของการคิดเพื่อคนอื่น
พลังของการคิดเพื่อคนอื่น ทำเพื่อคนอื่น มันเป็นพลังที่เสริมช่วยเหลือเราได้มากเลยครับ
ถ้าเราวางเป้าหมายเพื่อตนเองคิดเพียงตนเอง พลังจะมีเพียงตนเอง
ถ้าเราวางเป้าหมายเพื่อคนอื่นๆ พลังจะสนับสนุนเราแบบเป็นทีมแบบไม่มีหยุด
ไม่มีหยุดคืออะไร คือเมื่อไหร่ที่เราท้อ หมดแรง เหนื่อยล้า นอยด์ ชีวิตถึงทางตัน เพียงคิดว่าเรากำลังทำเพื่อคนอื่นอยู่นะ พลังนี้จะทำให้เราเจอทางสว่างทันที เยี่ยมไปเลย ^^
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=49687
เจาะลึก indicator ยอดฮิต "MACD" [จริงๆ แล้วมันทำอะไรได้บ้าง]
Moving Average Convergence & Divergence (MACD)
MACD อ่านว่า MAC-DEE หรือ M-A-C-D ถูกพัฒนาขึ้นโดย Dr.Gereld Appel MACD นั้นถือได้ว่าเป็น indicator ที่ง่ายที่สุดในการดู Momentum ของราคาได้อย่างอย่างมีประสิทธิภาพ MACD นั้น ใช้เส้นค่าเฉลี่ย 2 เส้น และเป็น indicator ที่สอดคล้องกับแนวโน้มราคาที่เกิดขึ้น
Momentum หมายถึง ความแข็งแกร่งของการเคลื่อนที่ของราคาในทิศทางนั้น เช่น เคลื่อนที่ขึ้น ก็จะขึ้นต่อไป (ไม่เปลี่ยนทิศทาง) = momentum แข็งแกร่ง แต่ถ้า เคลื่อนที่ขึ้นแล้วลง (มีการเปลี่ยนทิศทาง) = momentum ไม่แข็งแกร่ง
การใช้งาน : บอกแนวโน้มราคาที่เกิดขึ้น, บอก Momentum ของราคาหุ้น, บอกจุดซื้อ-จุดขาย ทั้งระยะกลางและระยะสั้น แต่ไม่สามารถบอกภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) และ ภาวะขายมากเกินไป (Oversold) ได้
Efin Smart Portal MACD indi. จะประกอบด้วย
1. MACD Line
2. MACD Signal
3. MACD Histogram (ย่อว่า Hist.)
การคำนวณ MACD ใครไม่สนใจจะข้ามส่วนคำนวณไปดูการตีความเลยก็ได้ครับ
1.เส้น MACD (สีเหลืองด้านล่าง) สูตร MACD = EMA (12) – EMA (26)
เมื่อ EMA (12) = Exponential Moving Average 12 วัน (สีแดงด้านบน)
EMA (26) = Exponential Moving Average 26 วัน (สีน้ำเงินด้านบน)
2.เส้น MACD Signal = EMA (9) ของ MACD Line คือ นำข้อมูลของ MACD Line มาหาค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ Exponential จะได้เป็นเส้นสีฟ้าที่วิ่งคู่กับ MACD Line สีเหลืองในภาพ
3. MACD Histogram หรือ MACD Hist. = MACD Line – MACD Signal MACD Hist. นั้นทำให้เราสังเกตว่า MACD Line มีค่ามากกว่าหรืออยู่เหนือ เส้น MACD Signal หรือไม่นั่นเอง
MACD Interpretation (การตีความ MACD)
1.การใช้ MACD ในการบ่งบอกแนวโน้ม จะใช้ MACD Line
แนวโน้มขาลง สังเกตจาก MACD Line < 0 , แนวโน้มขาขึ้น สังเกตจาก MACD > 0
Zone A = ขาลง
Zone B = ขาขึ้น
2.การใช้ MACD ในการบอกจังหวะซื้อ-ขาย จะใช้ MACD Line ร่วมกับ MACD Signal
จุดซื้อของ MACD : เมื่อ MACD Line ตัด MACD Signal ขึ้น
จุดขายของ MACD : เมื่อ MACD Line ตัด MACD Signal ลง
3.ใช้บอก Momentum ของราคาหุ้น
a. Convergence [ราคากับ momentum ของ MACD ไปทางเดียวกัน]
b. Divergence [ราคากับ momentum ของ MACD ไม่ไปทางเดียวกัน]
หมดแล้วครับความสามารถของเข้า MACD เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ถึงแม้จะเป็น indicator ง่ายๆ ไม่ซับซ้อนที่พัฒนาต่อมาจาก Moving Average แต่ก็มีประโยชน์มากๆ เลย และเจ้า MACD นี้ถึงแม้ใครหลายๆ คนจะบอกว่ามันแสดงผลช้าไป (Lagging indicator) แต่อย่างที่บอกไปเมื่อบทความที่แล้วครับว่า ข้อดีของ เส้นค่าเฉลี่ยที่ช้าจะมีความแม่นยำสูงขึ้น ดังนั้น MACD จึงเป็น indicator ที่ค่อนข้างแม่นยำเลย (ใช้ ค่าเฉลี่ย 12 วัน และ 26 วัน) ในการยืนยันการเกิดแนวโน้ม หวังว่านักลงทุนที่อ่านบทความนี้จะได้ประโยชน์กันไปบ้างนะครับ ใครชอบเจ้า MACD ก็สามารถนำความสามารถของมันไปประยุกต์ใช้กับกลยุทธ์ของตัวเองได้นะครั
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=49693
อยากไปเร็วให้คลาน อยากไปนานให้วิ่ง คำสอนของหลวงปู่สุภา
ผมไม่เคยรู้จักหลวงปู่สุภา พระเกจิชื่อดัง กระทั่งทราบข่าวท่านละสังขารทางหนังสือพิมพ์
พอได้อ่านคอลัมสกู๊ปหน้า 1 ไทยรัฐ วันที่ 5 กันยายน 2556
จึงได้ทราบถึงจริยวัตรของหลวงปู่สุภา....ผู้ทรงศีลบริสุทธิ์
บทความนี้เล่าถึง
.........................
สมัยหลวงปู่บวชเป็นเณร ได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่สีทัตต์ วัดท่าอุเทน นครพนม
รำ่เรียนอยู่ 8 ปี หลวงปู่สีทัตต์จึงแนะเดินทางต่อแล้วจะพบพระอาจารย์องค์หนึ่งที่เชี่ยวชาญด้านกษิณ และวิชาแปดประการ มีอภิญญาสูงมาก ก่อนเดินทาง หลวงปู่สีทัตน์ได้สั่งสอนว่า
"ไปให้ดีเถิดเณรน้อย เดินให้สม่ำเสมอ จิตรู้อารมณ์ อย่าเร็วนัก อย่าช้านัก ให้อยู่กลาง ๆ โบราณาจารย์ได้สั่งสอนศิษย์เป็นคติสอนใจว่า อยากถึงเร็วให้คลาน อยากถึงนานให้วิ่่ง รู้ไหม...หมายความว่าอย่างไร
อยากถึงเร็วให้คลาน คือ ไปแบบไม่รีบร้อนด่วนได้ จะถึงที่หมายปลอดภัย
ให้ลุกลี้ลุกลนเกินไป ก็จะเหมือนคนวิ่งไปด้วยความคะนอง สะดุดล้มแข้งขาหัก เดินไปไหนมาไหนไม่ได้ ต้องช้าอีกนานทีเดียว..."
เมื่อเดินทางตามคำแนะนำของหลวงปู่สีทัตต์ หลวงปู่สุภาจึงได้พบกับอาจารย์ศุข หรือ หลวงปู่ศุข แห่งวัดคลองมะขามฒ่า
มีเรื่องเล่าว่า...
หลวงปู่สุภา ขณะล้างเท้ากำลังขึ้นกุฏิก็ได้ยินเสียงหลวงปู่ศุขดังจากข้างบน "มาถึงแล้วหรือพ่อเณรน้อย กำลังรออยู่พอดี ล้างเท้าแล้วขึ้นมาเห็นหน้าตากันหน่อย"
เมื่อคลานเข้าไปกราบหลวงปู่ศุขต่อหน้าที่าน หลวงปู่ศุขก็เอ่ยขึ้นอีกว่า
"นี่เอง...เณรที่ท่านสีทัตต์ได้บอกไว้ในฌาน เป็นคุณนี่เอง...เณรน้อย ต้องการอะไร จะเรียนอะไรก็บอกมาได้ไม่ขัดข้อง ท่านสีทัตต์ฝากมาแล้วนี่"
หลวงปู่สุภา ฝากตัวเป็นศิษย์ แล้วบอกว่า
"กระผมขอให้เป็นเรื่องที่ท่านอาจารย์จะเมตตาสั่งสอนก็แล้วกันขอรับ เห็นว่าอะไรเหมาะ อะไรควร ก็สั่งสอนให้กระผมก็แล้วกัน"
หลวงปู่ศุข หัวเราะ หึ หึ ด้วยความพอใจ แล้วบอกว่า
"สมแล้วที่เป็นศิษย์ท่าสีทัตต์ มีความสงบเสงี่ยมเจียมตัวใช้ได้ หลายรูปมาถึงไม่ดูวาสนาบารมีตนเองว่าจะสามารถรองรับได้หรือไม่ จะเรียนโน่น จะเรียนนี่ สุดท้ายกลับมือเปล่า เพราะขาดวาสนา บารมี
....เพราะเมื่อขาดวาสนา บารมี และการเจียมตัวแล้ว อะไรก็ไม่สำเร็จ..."
หลวงปู่ศุขเน้นเรื่องการรักษาศีลและการปฏิบัติมาก ท่านสอนว่า
"ถ้าศีลบริสุทธิ์ คุณวิเศษจะมาเอง"
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=49700
เงินน้อยไม่ใช่ปัญหา
มี คนเคยถามผมว่า เริ่มลงทุนในตลาดหุ้น ควรมีเงินเริ่มต้นเท่าไหร่ดี 1 แสน 1 ล้าน หรือ 10 ล้าน อุึปสรรคในการเริ่มต้นลงทุนของคนชั้นกลาง มนุษย์เงินเดือน คงจะเป็นในเรื่องการกังวลกับความเสี่ยงในการลงทุนและเงินเริ่มต้นในการลงทุน อาจจะเป็นเพราะติดกับความเชื่อเดิม ที่กรอกหูจากเพลงเพื่อชีวิต วิตามินบี 12 ที่บอกว่า "คนจน เล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น" เมื่อคิดว่าฉันยังไม่รวยก็เลยเล่นหวยกันต่อไป
แท้ จริงแล้ว เงินไม่ใช่ปัญหาสำคัญในการเริ่มต้นลงทุน ผมกลับมองว่ายิ่งเริ่มเร็วยิ่งได้เปรียบ ยิ่งเริ่มจากเงินน้อยๆยิ่งได้เปรียบ เพราะอะไรหรือครับ ก็เพราะว่ากว่าที่เราจะมีวิชากล้าแข็ง มีทักษะในการลงทุนต้องใช้เวลา ลองผิดลองถูกยิ่งเริ่มเร็ว โอกาสในการทำกำไรในการลงทุนยิ่งมาถึงเร็ว ถ้าเริ่มตอนอายุ 40 -50 มีครอบครัว ความเสี่ยงที่รับได้ก็จะน้อย ที่สำคัญอายุมากขึ้นเวลาใช้ให้เงินทำงานก็น้อยลง ถ้าจะลงทุนตอน 50 กว่าจะมีเงินจากปันผลให้ทบต้นสัก 1 เด้งก็อาจจะต้องรอไปสัก 10-15 ปี ก็เป็นได้ เผลอๆตายก่อนอดใช้เงินอีก
เคย มีคนบอกผมว่านักลงทุนกว่าจะเก่งต้องอยู่ในตลาดมากกว่า 5 ปี ต้องลงทุนชนะตลาด(SET) ได้ติดต่อกันมากกว่า 3 ปี และสุดท้าย คุณต้องประคับประคอง บริหารพอร์ตผ่านวิกฤตการเงินและเศรษฐกิจโลกขนาดใหญ่ให้ได้ก่อน สิริแล้วคุณอาจจะต้องใ้ช้เวลาศึกษาและลงทุนในหุ้นเกือบ 10 ปีถึงจะครบทั้ง 3 ข้อ แต่ผมโชคดีมากที่ผ่านทั้งหมดในเวลา 5 ปีอาจจะเป็นเพราะเริ่มลงทุนได้ปีกว่า วิกฤตก็มาทันที เล่นเอาพอร์ตลบไปกว่าครึ่ง เกือบถอดใจเหมือนกัน
ดัง นั้นการที่เราเริ่มเร็วได้เปรียบคนเริ่มช้า เพราะเริ่มเร็วได้ศึกษาเร็ว ได้แลกเปลี่ยนมุมมองกับเพื่อนนักลงทุนทุกวัน คุณก็จะได้เก็บเกี่ยววิธีคิด ปรับเปลี่ยน mind set ให้เข้าที่เข้าทาง และเอาตัวรอดได้สบาย อ่านมาถึงตอนนี้อย่าคิดว่าง่ายนะครับการจะลงทุนแล้วอยู่รอดได้ระยะยาว เพราะว่าคนที่หันหลังหมดเนื้อ หมดตัวกับตลาดหลักทรัพย์ก็มีไม่น้อย ส่วนมากได้เยอะ แต่ก็เอากลับคืนไปเป็นสองเท่า บางคนที่ขาดทุนมหาศาล มักจะหมดกำลังใจและก็หันหลังจากไปจากสังเวียนการลงทุน อีกกลุ่มหนึ่งก็ลุ้นแบบทางไกลเป็น VI จำยอมตามสโลแกนไม่ขายไม่ขาดทุน (เพื่อนผมถือ TTA 28 บาท เลิกเล่นหุ้นนานแล้ว แต่ยังขายหุ้นลงดอยไม่ได้เลย ไม่กล้าขายขาดทุนเพราะจะโดนเป็นล้าน)
บาง คนคิดว่าต้องมีหลักทรัพย์เยอะๆ ในการลงทนเพื่อของเปิดบัญชีแบบมาร์จิ้นได้ ซึ่งก็ไม่ผิด แต่ถ้าผมแนะนำผมมักจะให้ใช้เงินหลักหมื่น น้อยแต่ดี ไม่ต้องไปเอาเงินทั้งหมดที่หามาได้มากองในพอร์ตเพื่อให้พอร์ตโต เอาไว้อวดเอาไว้ประดับบารมี ไม่มีประโยชน์ในช่วงเิริ่มต้นหรอกครับ เงินน้อยๆเปิดบัญชีธรรมดา เพราะพวกที่ถูกความโลภครอบงำแล้วนั้นการมีมาร์จิ้นก็เป็นดาบสองคม ที่ยิ่งทำให้เราตายเร็วยิ่งขึ้น การลงทุนในหลักหมื่นต้นๆถึงกลางๆ ดีตรงที่ เราจะไม่มีความกดดันในการลงทุนมากนัก เพราะการซื้อหุ้น ย่อมมีโอกาสขาดทุน ยิ่งลงทุนมาก ขาดทุนก็จะมาก การตัดสินใจ stoplose ก็จะทำยาก แต่ถ้าลงทุนน้อย ผิดพลาดไปในวงเงินหลักพัน หลักร้อย คุณยังทำใจยอมรับได้ ง่าย และที่เป็นสัจธรรมคือ การลงทุนในช่วง 6 เดือน มันเป็นช่วงสุกดิบซื้อวิชา ยังไงก็ต้องขาดทุน ยังไงก็ต้องจ่ายค่าวิชาให้กับหุ้นมีเจ้า, หุ้นรายวัน ,หุ้น IPO จอมแสบ, future พารวย หรือแม้แต่นวัตกรรมหวยออนไลน์แบบ DW
ดัง นั้นการลงทุนน้อย ยิ่งเจ๊งยิ่งเรียนรู้จากประสบการณ์ทำให้เรา ฉลาดและมีทักษะ รู้ว่าแบบนี้ไม่ควรทำ แบบนี้ไม่เวริ์ค (ถ้าต่อมเรียนรู้ข้อผิดพลาด คุณไม่เสีย คุณจะไม่ผิดครั้งที่สาม สี่ ห้าอีก) ที่สำคัญคนที่เปลี่ยนแนวทางการลงทุน หรือระบบเทรด ในช่วงปีแรกจะมีมาก เพราะคุณจะรู้จักระบบนั้นระบบนี้จากเพื่อนฝูง หรือรุ่นพี่ เทคนิคแบบนั้นแบบนี้ ดังนั้นช่วงการลองผิดลองถูก ถ้าเราจำกัดเงินลงทุนขั้นต้นได้น้อย การขาดทุนก็จะไม่มาก และไม่เกิดอาการท้อแท้ผิดหวัง จนหันหลังเิดินออกไป ดังนั้นขอแค่มีเงินเก็บเป็นเงินเย็น มีใจพร้อมจะเรียนรู้และเข้ามาในโลกการลงทุน เท่านี้ก็เพียงพอที่จะเริ่มต้นแล้วครับ ไม่ต้องกังวลว่าจะได้ผลตอบแทนน้อยไม่พอยาไส้ จนต้องรีบเพิ่มทุน เพราะโดยทั่วไปการทำกำไรจะเกิดขึ้นได้แบบถาวรและยั่งยืนก็ต่อเมื่อ เราเข้าใจตลาด เข้าใจวิธีการลงทนแบบเป็นระบบ ที่สำคัญจากสถิติการลงทุนด้วยเงินจำนวนไม่มาก จะมีโอกาสชนะมากกว่า การลงทนด้วยเงินก้อนใหญ่ เพราะเราสามารถควบคุมภาวะอารมณ์และจิตใจ ในการตัดสินใจในเกมส์ได้ดีกว่า
สุด ท้ายเตือนตัวเองเสมอว่าตลาดหุ้นมันอันตรายและต้องไม่ลืมว่าอีกนัยหนึ่งมัน คือ สนามรบดีๆ เงินที่เราได้มา อีกด้านหนึีึ่งของมันก็คือเงินจากหยาดน้ำตา ความเจ็บใจ และความแพ้พ่ายของคนอีกกลุ่มที่ซื้อ ขายหุ้นตัวเดียวกับเรา ดังนั้นการเตรียมตัวให้พร้อมให้ดีที่สุดถึงแม้จะไม่ทำให้เราเป็นผู้ชนะ แต่มันก็จะไม่ทำให้เราเป็นผู้แพ้แบบถาวร อย่างน้อยภูิมิต้านทานความเจ๊งก็จะถูกปลูกขึ้น และคุ้มครองตัวเราเองตลอดไปครับ
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=49717
วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556
10 เกาะสวยในประเทศไทย...ไม่ไปไม่ได้แล้ว
เมื่อพูดถึงแหล่งท่องเที่ยวในประเทศไทยที่เด่นดัง คงหนีไม่พ้นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และสถานที่ที่ได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกเสียจากเกาะต่าง ๆ ที่คงความงดงามและความอุดมสมบูรณ์ของหาดทราย น้ำทะเล และพืชสัตว์ในโลกใต้น้ำ ดังนั้น กระปุกท่องเที่ยวจึงได้นำ 10 อันดับเกาะสุดเจ๋ง ซึ่งได้รับการการันตีจาก touropia.com สำหรับการไปเที่ยวพักผ่อนมาฝากกันค่ะ ส่วนจะมีที่ไหนบ้างนั้นไปชมกันเลย1. เกาะพีพีเริ่มกันที่อันดับที่ 1 เกาะพีพี เกาะที่ตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ เป็นหมู่เกาะกลางทะเลอันดามัน ประกอบไปด้วย 2 เกาะใหญ่ คือ เกาะพีพีดอนและเกาะพีพีเล แต่จุดศูนย์กลางการท่องเที่ยวอยู่ที่เกาะพีพีดอน ด้วยความงดงามทางธรรมชาติของเกาะพีพีทำให้เคยติดอันดับที่ 1 จาก 10 ของเกาะที่สวยที่สุดในโลก จนได้รับสมญานามว่าเป็น “มรกตแห่งอันดามัน” และยังเคยถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องเดอะบีชอีกด้วย จึงไม่แปลกที่มีนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกเดินทางมาสัมผัสความงามด้วยตาของตัวเองจุดเด่นของเกาะพีพี คือ น้ำทะเลสีเขียวมรกตใส อ่าวมาหยาที่ถูกโอบล้อมไปด้วยภูเขาหินปูน และเป็นจุดดำน้ำลึกและน้ำตื้นที่มีปะการังสวยงาม สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ได้แก่ หาดต้นไทร, อ่าวโละดาลัม, ถ้ำไวกิ้ง, อ่าวปิ และเกาะไม้ไผ่ ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมีแหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียงอีกหลายแห่ง เช่น เกาะลันตา หินแดง-ม่วง2. เกาะเต่าเกาะเต่า อยู่ในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตั้งอยู่บริเวณอ่าวไทย มีพื้นที่ 21 ตารางกิโลเมตร รูปร่างของเกาะเป็นทรงยาว ๆ คล้ายเมล็ดถั่ว หลายคนคงสงสัยว่าทำไมถึงได้ชื่อว่า “เกาะเต่า” ที่มาของชื่อนี้มาจากมีเต่าจำนวนมากพากันมาว่างไข่ที่เกาะแห่งนี้ คนจึงเรียกกันว่า “เกาะเต่า” ซึ่งเป็นอีกเกาะที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกเลยทีเดียว จนได้รับฉายาว่า “เกาะสวรรค์กลางอ่าวไทย”จุดเด่นของเกาะเต่า คือ แนวปะการังน้ำตื้นและน้ำลึกที่สวยงามและยังคงความสมบูรณ์อยู่ ประกอบกับมีสัตว์น้ำนานาชนิด สีสันสวยงามแหวกว่ายตามปะการัง ปัจจุบันเป็นเสมือนศูนย์กลางของกีฬาดำน้ำไปแล้ว มีโรงเรียนสอนดำน้ำมาเปิดเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังมีหาดทรายสีขาวบริสุทธิ์ ส่วนแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ บริเวณเกาะเต่าที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยว เช่น หาดปะการัง, อ่าวโฉลกบ้านเก่า และจุดชมวิวนางยวน ฯลฯ3. เกาะช้างเกาะช้าง เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในอ่าวไทย มีพื้นที่ประมาณ 429 ตารางกิโลเมตร อยู่ในเขตจังหวัดตราด ลักษณะทางภูมิประเทศประกอบไปด้วย ภูเขาสูง มีหินผาซับซ้อนจุดเด่นของเกาะช้าง คือ มีหาดทะเลขาวสะอาด น้ำทะเลใส และมีแหล่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งที่พัก ร้านอาหาร และบริการต่าง ๆ สำหรับนักท่องเที่ยว ที่สำคัญอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก ส่วนแหล่งท่องเที่ยวเลื่องชื่อ ได้แก่ อ่าวคลองสน, อ่าวใบลาน, หาดทรายขาว, หาดไก่แบ้, หาดคลองพร้าว-แหลมไชยเชษฐ์, เกาะไม้ชี้, น้ำตกคลองนนทรี และน้ำตกธารมะยม ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมยอดฮิตในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ นั่นก็คือ ขี่ช้างเที่ยวบริเวณเกาะ ท่องป่า ขึ้นภูเขา ล่องเรือ ส่องนก ดูหิ่งห้อย โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเดินทางไปพักผ่อนที่เกาะช้าง คือ ช่วง เดือนตุลาคม-เมษายน เพราะเป็นช่วงคลื่นลมสงบ4. เกาะภูเก็ตภูเก็ต เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีพื้นที่ประมาณ 543 ตารางกิโลเมตร ถูกโอบล้อมรอบด้วยน้ำทะเลสีคราม และหาดทรายสีขาวเนียน เหมาะกับการมาพักผ่อนหย่อนใจรับลมทะเลในช่วงฤดูร้อนเป็นอย่างมาก ทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาสัมผัสความงามอย่างล้นหลาม เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวทางฝั่งอันดามันเลยก็ว่าได้จุดเด่นของเกาะภูเก็ต คือ ความงามของทิวทัศน์ทางธรรมชาติ ชายหาดที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมี หาดป่าตอง หาดกะรน หาดกะตะ และหาดกมลา ฯลฯ และมีเกาะน้อยใหญ่ที่สวยงามไม่แพ้เกาะภูเก็ตรายล้อมอีกด้วย เช่น เกาะไม้ท่อน เกาะราชา เกาะรัง เกาะเฮ เกาะสิเหร่ นอกจากนี้ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมด้วย เช่น อนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรี ท้าวศรีสุนทร พิพิธภัณฑ์เหมืองแร่ ฯลฯ ขณะที่สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยวนั้นมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นที่พักที่เพียงพอต่อจำนวนนักท่องเที่ยว ร้านอาหาร ผับบาร์ แหล่งบันเทิงต่าง ๆ จัดว่าเป็นเมืองที่คึกคักมากทีเดียว5. เกาะพะงันเกาะพะงัน อยู่ห่างจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี 100 กิโลเมตร ตั้งอยู่ในอ่าวไทย ตัวเกาะมีพื้นที่ประมาณ 168 ตารางกิโลเมตร อยู่ห่างจากเกาะสมุยเพียง 20 กิโลเมตรเท่านั้น มีลักษณะภูมิประเทศของเกาะเป็นภูเขาและชายหาด มีสันทรายและแนวหินปะการังรอบ ๆ เกาะ ซึ่งเกาะพะงันนับว่ามีชื่อเสียงทั่วโลกในเรื่องการจัด “ฟลูมูน ปาร์ตี้” นอกจากนี้ ก็มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและวัฒนธรรมอีกหลายแห่งจุดเด่นของเกาะพะงันที่นอกจากจะมีหาดทรายขาวสะอาดน่าลงไปนอนเกลือกกลิ้ง น้ำทะเลสีฟ้าใส น้ำตก ภูเขาแล้ว ยังเป็นสถานที่จัดฟูลมูน ปาร์ตี้ อีกด้วย โดยหาดที่มีชื่อเสียง ได้แก่ หาดริ้น หาดท้องนายปาน และหาดแม่หาด บรรยากาศที่เกาะค่อนข้างคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ขณะที่อีกมุมหนึ่งของเกาะพะงันเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม เช่น วัดวาอารามต่าง ๆ มากมาย รวมถึงจะได้เห็นวิถีชีวิตชาวสวนมะพร้าวและชาวประมงพื้นบ้าน เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ผสมผสานระหว่างความงามทางธรรมชาติและวัฒนธรรมได้อย่างลงตัว และเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศให้แวะเวียนกันมาเยี่ยมชม6. เกาะสมุยเกาะสมุย เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดสุราษฎร์ธานี อยู่ห่างจากพื้นแผ่นดินใหญ่ 35 กิโลเมตร ตัวเกาะมีพื้นที่ 247 ตารางกิโลเมตร เนื่องจากภูมิประเทศที่เกาะสมุยเป็นที่ราบ การสัญจรโดยรถยนต์จึงเป็นเรื่องที่สะดวกสบาย เพราะมีถนนครอบคลุมทั้งเกาะ รวมถึงมีสนามบินสำหรับบริการนักท่องเที่ยวอีกด้วยจุดเด่นของเกาะสมุย คือ มีหาดทรายธรรมชาติสวยงามเนื้อละเอียดหลายแห่ง เช่น หาดเฉวง หาดละไม หาดตลิ่งงาม และหาดนาเทียน อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้และแหล่งน้ำ นอกจากนี้ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ เช่น อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดละไม พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำสมุยและสวนเสือ หินตายาย เกาะแตน ศูนย์ลิงสมุย สนามควายชนสมุย สวนผีเสื้อสมุย เจดีย์แหลมสอ และน้ำตกหินลาด ฯลฯ โดยช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการมาพักผ่อนหย่อนใจจะเป็นช่วงมกราคม-พฤษภาคม เพราะเป็นระยะเวลาที่คลื่นลมสงบ ไม่มีมรสุมใด ๆ เคลื่อนตัวผ่าน7. เกาะตะรุเตาเกาะตะรุเตา อยู่ในเขตจังหวัดสตูล มีเนื้อที่ทั้งบนเกาะและทะเลประมาณ 1,490 ตารางกิโลเมตร ประกอบไปด้วยเกาะทั้งหมดถึง 51 เกาะ เกาะตะรุเตามีที่มาอันแสนยาวนาน ครั้งหนึ่งเคยถูกใช้เป็นทัณฑสถาน รวมถึงนิคมฝึกอาชีพสำหรับนักโทษ แต่ในปัจจุบันอยู่ภายใต้การดูแลของอุทยานแห่งชาติตะรุเตา และเนื่องจากมีความสมบูรณ์ทางธรรมขาติมากจึงกลายเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยวไปโดยปริยายจุดเด่นของเกาะ คือ มีป่าที่อุดมสมบูรณ์และเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า สัตว์ทะเล และมีปะการังหลากสีสันสดใส เรียกความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกได้เป็นอย่างดี มีสถานที่ดำน้ำหลายแห่ง เช่น บริเวณผาปาปิญอง อ่าวสน เกาะตะเกียง และยังมีชายหาดขาวสะอาดอีกด้วย ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถกางเต็นท์พักแรมได้ที่หาดทรายอ่าวเมาะและหาดทรายอ่าวสน นอกจากนี้ ยังมีจุดชมวิวที่ผาโต๊ะบู ซึ่งสามารถมองลงมาเห็นทัศนียภาพเบื้องล่างทั้งหาดทราย น้ำทะเล และโขดหิน8. เกาะเสม็ดเป็นเกาะขนาดเล็กตั้งอยู่บริเวณอ่าวไทย และอยู่ในเขตจังหวัดระยอง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก สามารถเดินทางไป-กลับภายในวันเดียวได้อย่างสบาย ๆ ตัวเกาะมีพื้นที่ 3,125 ไร่ และที่มาของชื่อเสม็ดนี้ได้มาจากมีต้นเสม็ดขาวและเสม็ดแดงขึ้นเต็มเกาะไปหมด นอกจากนี้ ยังเชื่อกันว่าเกาะเสม็ดคือ “เกาะแก้วพิสดาร” ในวรรณคดีของสุนทรภู่ เรื่องพระอภัยมณีอีกด้วยจุดเด่นของเกาะเสม็ด คือ มีชายหาดที่สวยเริ่มตั้งแต่อ่าวน้อยหน่า อ่าวลูกโยน หาดทรายแก้ว อ่าวไผ่ อ่าวทับทิม อ่าวนวล อ่าวช่อ อ่าววงเดือน อ่าวแสงเทียน อ่าวหวาย และอ่าวกิ่ว ฯลฯ ซึ่งทุกหาดที่นี่ล้วนแล้วแต่มีเม็ดทรายสีขาวสะอาดตา และมีโขดหินทอดตัวสลับกับชายหาด น้ำทะเลใสเหมาะกับการว่ายน้ำพักผ่อนหย่อนใจ นอกจากนี้ ยังสามารถชมวิวพระอาทิตย์ตกที่อ่าวพร้าวได้อีกด้วย สำหรับราคาอาหารและที่พักจัดว่าไม่แพงเลยเมื่อเทียบกันที่อื่น9. เกาะลันตาเกาะลันตา อยู่ในเขตจังหวัดกระบี่ มีพื้นที่ 472 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วย เกาะลันตาใหญ่และเกาะลันตาน้อย แต่แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมส่วนมากอยู่บนเกาะลันตาใหญ่ ขณะที่เกาะลันตาเล็กเป็นที่ตั้งของที่ว่าการอำเภอลันตา ผู้คนที่อาศัยอยู่บนเกาะนี้มีหลากหลายเชื้อชาติ ศาสนา มีทั้งคนไทย คนไทยเชื้อสายจีน ชาวเล ที่นับถือทั้งศาสนาพุทธและอิสลาม และด้วยเหตุที่ว่าเกาะลันตาอยู่ห่างจากพื้นแผ่นดินใหญ่ ทำให้ความงามทางธรรมชาติยังคงอยู่จุดเด่นของเกาะลันตา คือ มีชายหาดยาวเรียงรายต่อเนื่องถึง 13 หาด มีทั้งหาดทรายขาว หาดหิน มีอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา ซึ่งเป็นป่าดงดิบที่อุดมสมบูรณ์ และมีหินแดงหรือปะการังอ่อนที่มีสีแดงเมื่อกระทบกับแสงแดด มีดอกไม้ทะเล กัลปังหา นอกจากนี้ ยังมีจุดชมวิวแหลมโตนด เป็นแหลมที่ยื่นออกไปในทะเลด้านฝั่งตะวันออกเป็นหาดทรายสีขาว ส่วนด้านตะวันตกเป็นหาดหิน มีหินที่มีรูปทรงและสีสันแปลกตาวางเรียงรายเต็มพื้น และเป็นสถานที่ตั้งของประภาคาร ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำเกาะลันตา เมื่อเดินขึ้นไปชมวิวบนประภาคารจะเห็นต้นตาลโตนดมากมาย10. เกาะหลีเป๊ะเกาะหลีเป๊ะ เป็นเกาะเล็ก ๆ อยู่ในจังหวัดสตูล ตั้งอยู่ห่างจากเกาะอาดังทางตอนใต้ 2 กิโลเมตร อยู่ในอาณาเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา จุดเด่นของเกาะหลีเป๊ะ คือ น้ำทะเลใส หาดทรายขาวละเอียด มีปะการังหลากสีโอบล้อมเกาะเอาไว้ อุดมไปด้วยสัตว์น้ำหลายชนิด และมีเวิ้งอ่าวที่สวยงาม เพียงแค่ก้าวเท้าลงไปในทะเลไม่กี่ก้าวจะเห็นปะการังและปลาการ์ตูนว่ายวนเวียนอยู่รอบ ๆ นอกจากนี้ เกาะหลีเป๊ะยังได้รับการขนานนามว่าเป็น “มัลดีฟส์แห่งเมืองไทย” ซะด้วย สำหรับชายหาดที่งดงามเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม ได้แก่ หาดพัทยา เป็นหาดที่มีความสวยงามที่สุด อยู่บริเวณด้านหน้าของหมู่บ้านชาวเล, หาดซันไรท์ อยู่ทางทิศตะวันออก ใกล้ ๆ กับหมู่บ้านชาวเล เป็นบริเวณที่สามารถรับชมพระอาทิตย์ขึ้น จัดว่าเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทยเลยก็ว่าได้ และหาดซันเซตเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่งามที่สุดแห่งหนึ่ง
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=49624
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
แค่หกส่วนก็พอ
ที่กรุงไทเปมีผู้รับเหมาก่อสร้างคนหนึ่ง เป็นคนหนุ่มที่ชาญฉลาดที่รู้กันทั้งวงการ มีหัวการค้าเป็นเลิศ ทำงานคล่องแคล่วว่องไว พร้อมลุยงานหนัก...
-
ผมไม่เคยรู้จักหลวงปู่สุภา พระเกจิชื่อดัง กระทั่งทราบข่าวท่านละสังขารทางหนังสือพิมพ์ พอได้อ่านคอลัมสกู๊ปหน้า 1 ไทยรัฐ วันที่ 5 กันยายน 2...
-
ฝั่งทะเลอันดามัน 1.หมู่เกาะสิมิลัน หมู่เกาะที่โดดเด่นด้วยน้ำทะเลสีฟ้าใสและหาดทรายขาวนวลละเอียดราวกับผงแป้ง หัวใจของสิมิลันคือ หินเรือใบที่โ...
-
" ....... Goal without Action , Just Dreaming ........ " "....... เป้าหมายที่ไม่ลงมือทำ มันก็แค่ความฝันตื่นหนึ่ง .....