วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

5 สถานที่ฮันนีมูน ที่คู่รักใฝ่ฝันอยากไปสัมผัส
ชื่อ:  hon.jpg
ครั้ง: 1349
ขนาด:  324.2 กิโลไบต์

5 สถานที่ฮันนีมูน ที่คู่รักใฝ่ฝันอยากไปสัมผัส (Bride Magazine)





1. Maldives : A Paradise On Earth


ชื่อ:  Maldives.jpg
ครั้ง: 1350
ขนาด:  270.7 กิโลไบต์


อันดับ 1 ของสถานที่ Honeymoon ที่คู่รักใฝ่ฝัน ได้แก่ เกาะสวาทหาดสวรรค์ "มัลดีฟส์" ซึ่งเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่มีพื้นที่ประกอบด้วย หมู่เกาะปะการังจำนวนมากท่ามกลาง น้ำทะเลสวยใสในมหาสมุทรอินเดีย ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศอินเดียและศรีลังกา ภาพรีสอร์ทรูปกระท่อมกลางน้ำเชื้อเชิญให้คู่รักอยากจะไปใช้เวลาเพื่อฮันนีมูนแสนหวาน


ราคาของการบินไป-กลับก็มีตั้งแต่ 9,500++ ไปจนถึง 26,000++ บาท



2. Italy : A Romantic Country of All Time


ชื่อ:  Italy.jpg
ครั้ง: 1344
ขนาด:  329.8 กิโลไบต์

อันดับที่ 2 ของสถานที่ Honeymoon แสนหวานยังคงมีรายชื่อของ "ประเทศอิตาลี" เมืองสำคัญที่มีประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ตั้งแต่สมัยโบราณ และมีเมืองที่น่าท่องเที่ยวมากมาย อาทิเช่น ล่องเรือกอนโดลาในเมืองเวนิช เดินช้อปปิ้งใน "มิลาน" ชมประวัติศาสตร์ความยิ่งใหญ่แห่ง "โคลอสเซียม" ของอาณาจักรโรมันในกรุงโรม วิจิตรอลังการกับ "น้ำพุเทรวี" และ "วิหารเซนต์ปีเตอร์"


ราคาตั๋วเครื่องบินไป-กลับเมืองแห่งฝันนั้น เริ่มต้นที่ 23,000++ ไปจนถึง 48,000++ บาท



3. France : Heaven of Fashion & Art Lovers


ชื่อ:  France.jpg
ครั้ง: 1345
ขนาด:  266.0 กิโลไบต์

อันดับที่ 3 "ประเทศฝรั่งเศส" ดินแดนแห่งศิลปะและศูนย์รวมแฟชั่นชั้นสูงที่สำคัญของโลก ที่ซึ่งเหมาะกับคู่รักที่รักในศิลปะเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะในเมืองปารีส คู่รักต้องไม่พลาดที่จะถ่ายรูปที่ "หอไอเฟล" กับ "ประตูชัยฝรั่งเศส" ช้อปปิ้งที่ "ถนนชองป์เอลิเซ่" แล้วแวะไปชม "พิพิธภัณฑ์ลูฟร์" ตามรอยหนังเรื่อง The Davinci’s Code สัมผัสสัญลักษณ์ที่สุดแห่งความหรูหราของ "พระราชวังแวร์ซายส์" และอย่าลืมที่จะล่องเรือ "บาโต มูช" สุดแสนโรแมนติกผ่านเส้นทางและสถานที่สำคัญ ๆ ทั้งหอไอเฟล, มหาวิหารนอร์ธเทอดาม, สะพานอเล็กซานเดอร์ที่ 3 และพิพิธภัณฑ์ลูฟร์


ราคาตั๋วเครื่องบินไป-กลับฝรั่งเศส เริ่มต้นที่ 15,000++ ไปจนถึง 50,000++ บาท


4. Japan : Country of The Sun


ชื่อ:  Japan.jpg
ครั้ง: 1337
ขนาด:  285.0 กิโลไบต์

อันดับที่ 4 ของการเดินทางไปฮันนีมูนสุดหวาน ได้แก่ แดนอาทิตย์อุทัยอย่าง "ประเทศญี่ปุ่น" ประเทศซึ่งมีสถานที่ให้ท่องเที่ยวมากมายหลากหลายรูปแบบ ทั้งในแบบทันสมัยสุด ๆ เช่น ในโตเกียวที่มีห้างสรรพสินค้าและร้านค้าตั้งเรียงรายกันหนาแน่น ทั้งย่านฮาราจูกุ ชินจูกุ แต่ถ้าอยากสัมผัสความโรแมนติกอย่างแท้จริงคู่รักหลาย ๆ คู่ก็มักจะออกไปชมธรรมชาติที่สวยงามของประเทศญี่ปุ่นมากกว่า อาทิเช่น ล่องเรือใน "ทะเลสาบอาชิ" เที่ยวชมพูเขาไฟฟูจิ สัมผัสฤดูใบไม้เปลี่ยนสี หรือชมสวนซากุระเบ่งบาน ขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลที่ "วัดโทไดจิ วัดคิโยมิสึ และวัดอะซะกุซ่า" หรือกลับไปสนุกแบบวัยเด็กอีกครั้งใน "ดิสนีย์แลนด์"

ราคาตั๋วเครื่องบินไป-กลับ เริ่มต้นที่ 12,000++ ไปจนถึง 45,000++ บาท

5. USA : The Land of Freedom


ชื่อ:  USA.jpg
ครั้ง: 1335
ขนาด:  269.9 กิโลไบต์

อันดับที่ 5 เป็นสถานที่ที่คู่รักหัวสมัยใหม่ชื่นชอบและอยากจะไปฮันนีมูนมากที่สุด "ประเทศสหรัฐอเมริกา" เป็นอีกประเทศที่มีความหลากหลายทางด้านภูมิประเทศและอากาศที่เย็นสบาย เชื้อเชิญให้พวกเราอยากไปใช้ชีวิตแบบในหนังรักฮอลลีวูดสักช่วงหนึ่งของชีวิต สถานที่ที่คู่รักนิยมไปก็ได้แก่ "น้ำตกไนแองการา" อันทรงพลัง, "Golden Gate Bridge" ในซานฟรานซิสโก ซึ่งเป็นสะพานแขวนที่ใหญ่ที่สุดในโลก, "แกรนด์ แคนยอน" อนุรักษ์สถานอันเป็นความมหัศจรรย์จากฝีมือธรรมชาติโดยแท้ บางคู่ที่ชอบชีวิตแบบในเมืองก็นิยมท่องเที่ยวในนิวยอร์ก เดินผ่าน "ตึกเอ็มไพร์สเตท" ถ่ายรูปกับ "เทพีแห่งเสรีภาพ" หรือจะไปสวีทหวานแบบสนุกสนานใน "วอลท์ดิสนีย์แลนด์" สวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ "โรงถ่ายยูนิเวอร์แซล" ก็ล้วนแล้วแต่เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจยิ่ง


าคาตั๋วเครื่องบินไป-กลับ เริ่มต้น 22,000++ ไปจนถึง 110 ,000++ บาท


ที่มา:Kapook
เผยอาชีพเงินเดือนสูงสุด-ต่ำสุดของนักศึกษาจบใหม่
ชื่อ:  75284_457299357640245_1211854532_n.jpg
ครั้ง: 1769
ขนาด:  123.5 กิโลไบต์

เผยอาชีพเงินเดือนสูงสุด-ต่ำสุดของนักศึกษาจบใหม่ ธุรการได้น้อยสุด เพียง 9,311 บาท ขณะที่ แพทย์จบใหม่ ได้เงินเดือนสูงสุด 51,285 บาท

เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2555 สำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ "อาชีพที่ได้เงินเดือ
นสูงสุดและต่ำสุดของนักศึกษาจบใหม่" ซึ่งระบุ 4 อาชีพของนักเรียนจบใหม่ที่ได้เงินเดือนมากสุด และ 5 อาชีพที่ได้เงินเดือนต่ำสุด ดังนี้

5 อันดับ อาชีพที่ได้เงินเดือนต่ำสุด ของ "กลุ่มนักศึกษาจบใหม่" ได้แก่

อันดับที่ 1 เจ้าหน้าที่ธุรการ เงินเดือนเริ่มต้นของนักศึกษาจบใหม่ อยู่ที่ 9,311 บาท

อันดับที่ 2 นักประชาสัมพันธ์ เงินเดือนเริ่มต้นของนักศึกษาจบใหม่ อยู่ที่ 9,719 บาท

อันดับที่ 3 นักทรัพยากรบุคคล เงินเดือนเริ่มต้นของนักศึกษาจบใหม่ อยู่ที่ 10,115 บาท

อันดับที่ 4 นักบัญชี การเงิน เงินเดือนเริ่มต้นของนักศึกษาจบใหม่ อยู่ที่ 10,174 บาท

อันดับที่ 5 นักโภชนาการ เงินเดือนเริ่มต้นของนักศึกษาจบใหม่ อยู่ที่ 11,361 บาท


4 อันดับ อาชีพที่ได้เงินเดือนสูงสุด ของ "กลุ่มนักศึกษาจบใหม่" ได้แก่

อันดับที่ 1 แพทย์ เงินเดือนเริ่มต้นของนักศึกษาจบใหม่ อยู่ที่ 51,285 บาท

อันดับที่ 2 ทันตแพทย์ เงินเดือนเริ่มต้นของนักศึกษาจบใหม่ อยู่ที่ 48,359 บาท

อันดับที่ 3 เภสัชกร เงินเดือนเริ่มต้นของนักศึกษาจบใหม่ อยู่ที่ 17,389 บาท

อันดับที่ 4 สถาปนิก เงินเดือนเริ่มต้นของนักศึกษาจบใหม่ อยู่ที่ 15,756 บาท

วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ชาย 10 คน กับการจ่ายค่าเบียร์
ชื่อ:  ART-1873-White-Beer-Room-Berlin-Germany-Men-Drinking.jpg
ครั้ง: 2284
ขนาด:  82.7 กิโลไบต์

ในเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งในอเมริกา
ทุกๆวันจะมีชาย 10 คน ไปกินเบียร์ที่บาร์แห่งหนึ่ง
และค่าเบียร์จะอยู่ที่ 100 ดอลลาร์เท่ากันทุกวัน

ชายสี่คนแรก เป็นคนที่จนที่สุดในกลุ่มจึงไม่ต้องเสียค่าเบียร์
ชายคนที่ 5 จ่ายเพียง $1
คนที่ 6 จ่าย $3
คนที่ 7 จ่าย $7
คนที่ 8 จ่าย $12
คนที่ 9 จ่าย $18
คนที่ 10 ซึ่งเป็นคนที่รวยที่สุดในกลุ่ม จ่าย $59

เวลาผ่านไป หนึ่งเดือน ...สองเดือน พวกเขาก็ยังมาเป็นประจำทุกวัน

วันหนึ่ง เจ้าของร้านก็บอกข่าวดีกับพวกเขาว่า เนื่องจากพวกเขาเป็นลูกค้าที่ดีมาตลอด
เขาจึงอยากจะลดค่าเบียร์ให้ $20 เป็น $80

ชายทั้ง 10 ดีใจมาก ที่ต้องจ่ายค่าเบียร์ลดลงเหลือเพียง $80
อย่างไรก็ตาม การลดราคาครั้งนี้ ก็ไม่ได้กระทบกับชายสี่คนแรกอยู่ดี
เพราะในราคาปกติ พวกเขาก็ไม่ต้องจ่ายอยู่แล้ว...

แล้วชายอีกหกคนที่เหลือหละ??? พวกเขาจะหารส่วนลด 20 ดอลลาร์ยังไง
ชายคนนึงเสนอว่า ให้หารเท่าๆกันเพื่อ “ความยุติธรรม”

20 ดอลลาร์ หาร 6 คือ 3.33 ...
แต่ว่า ถ้าหากลดให้ทุกๆคน คนละ 3 ดอลลาร์
ชายคนที่ 5 และ 6 ก็จะไม่ต้องเสียอะไรเลย
นั่นหมายถึงว่า ชายสิบคนที่มากินเบียร์ มีเพียง 4 คนเท่านั้นต้องจ่าย


เจ้าของร้านจึงเสนอไอเดียว่า ให้ทุกๆคนลดจำนวนเงินที่ตัวเองต้องจ่ายลง ในสัดส่วนที่เท่ากัน
จากนั้นเขาก็คำนวณให้เรียบร้อย ผลออกมาก็คือ...

ชายคนที่ 5 ไม่ต้องเสียอะไรเลย เหมือนชายสี่คนแรก (ลดลง 100%)
คนที่ 6 จ่าย $2 จาก $3 (ลดลง 33%)
คนที่ 7 จ่าย $5 จาก $7 (ลดลง 28%)
คนที่ 8 จ่าย $9 จาก $12 (ลดลง 25%)
คนที่ 9 จ่าย $14 จาก $18 (ลดลง 22%)
คนที่ 10 จ่าย $49 จาก $59 (ลดลง 16%)


ทุกคนก็เหมือนจะเห็นด้วยตามไอเดียนี้ จนกระทั่งบาร์ปิด
ชายคนที่ 6 ก็นึกขึ้นมาได้ จึงพูดออกมาว่า “ทำไมฉันได้ส่วนลดเพียง 1 ดอลลาร์ จาก 20 ในขณะที่เขาได้ตั้ง 10 !!!” พร้อมกับชี้ไปหา ชายคนที่สิบ
“นั้นนะสิ” ชายที่คน 5 พูดเสริมออกมา “ฉันลดไปเพียง 1 ดอลลาร์”
ทุกคนบ่นออกมาต่างๆนานา ว่าไอเดียนี้ไม่ยุติธรรมเลย

จากนั้น ชายสี่คนแรกที่ไม่ต้องจ่ายอะไรเลยตั้งแต่แรก ก็พูดออกมาว่า
“พวกเราไม่ได้อะไรเลย จริงๆเราควรได้อะไรบ้างสิ นี้มันเอาเปรียบคนจนชัดๆ”

ชายคนที่ 8 และ 9 ก็รวมหัวช่วยกันรุมชายคนที่ 10

คืนต่อมา...ชายคนที่ 10 ก็ไม่ได้มากินเบียร์กับพวกเขา
เมื่อถึงเวลาต้องจ่ายเงิน พวกเขาก็ได้เรียนรู้บางอย่างที่สำคัญ
ก็คือ จำนวนเงินที่พวกเขาเคยจ่ายนั้น รวมกันยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของค่าเบียร์


-David R. Kamerschen, Ph.D.-
---------------------------------------------------

นี้เป็นการอธิบายระบบภาษีที่เขียนออกมาในรูปแบบการใช้ชีวิตประจำวัน
เลยอยากแปลมาให้อ่านกันคะ เป็นวิธีการเข้าใจระบบภาษีที่อ่านง่ายและสนุก

นี้เป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อเกิดมาตรการ “ลดหย่อนภาษี”
คนรวยถึงได้รับผลประโยชน์มากที่สุด
นั้นก็เพราะว่า เมื่อใดที่ นักลงทุนหรือ คนรวย รู้สึกว่าตัวเองต้องจ่ายภาษีมากเกินไป
พวกเขาก็สามารถไปหากิจกรรมการลงทุนที่อื่นที่ภาษีต่ำกว่า หรือ
ออกไปหาร้านอื่นที่ค่าเบียร์ถูกกว่า....

ระบบภาษีในไทยก็ไม่แตกต่างจากอเมริกาค่ะ คิดภาษีเป็นลำดับขั้น
ที่ต่างกันก็คือ ขั้นสูงสุดของไทยจ่าย 37% แต่อเมริกา ต้องจ่ายถึง 50%

อย่างที่หลายๆคนเคยพูดไว้ว่า "เหรียญมีสองด้าน"
การมองอะไรหลายๆด้านก็จะทำให้เราเข้าใจอะไรได้มากขึ้นนะคะ


ปล. การดื่มสุราเป็นอันตรายต่อสุขถาพนะคะ
          ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=37909
คุณทำอะไรเวลาหุ้นลง
ชื่อ:  kk.jpg
ครั้ง: 1836
ขนาด:  180.6 กิโลไบต์

เป็นคำถามที่ถามเพื่อให้ตอบ(กับตัวเอง)จริงๆค่ะ และ applejob ก็กำลังจะตอบต่อไปนี้ ซึ่งเป็นวิถีปฏิบัติส่วนตัว ไม่ได้แปลว่า ทำอย่างนั้นผิด ทำอย่างนี้สิถูก

ความแตกต่างระหว่าง q2 กับ q3 55 คงจำกันได้ว่าไตรมาสที่แล้ว หุ้นตัวไหนประกาศงบออกมาดีมากๆ ทำ ceilling 3 วันซ้อน แต่ พอ Q3 ทุกอย่างก็เปลี๊ยนไป๊
หลักๆคงเกิดจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์หน้าผาทางการคลังของอเมริกา ถึงกับเป็นงงว่าประกาศงบออกมาก็ดี ไหงลงซะงั้น

1.ตั้งสติ ไม่รีบซื้อถึงแม้ราคาจะลงมามาก คนส่วนใหญ่อาจจะคิดถูก เราอาจจะผิดก็ได้(เชื่อว่าตลาดมีประสิทธิภาพ) และไม่รีบขาย เพราะก่อนหน้านี้เราศึกษามาแล้วอย่างดี และต้องเข้าใจว่าตลาดหุ้นมีความอ่อนไหว และมักจะกังวลไปล่วงหน้าเสมอ

2.หาเหตุหรือข่าว ที่ทำให้ตลาดปรับตัวลง จากนั้นก็หาข้อมูลว่าเกี่ยวข้องกับหุ้นที่เราถืออยู่อย่างไร ซึ่งหวยจะออกมา 2 อย่าง คือเกี่ยวและไม่เกี่ยว จากนั้นก็ทำตาม step ต่อไป

3.ขาย หุ้นที่ประกาศงบออกมาไม่ดี  และมองไม่เห็นอนาคตข้างหน้า แถมได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤต นั่นแปลว่าเรามาผิดทาง จะขายทันที โดยที่ไม่สนใจว่ากำลังขาดทุนเท่าไหร่(ติดตามตอนต่อไป:ขาดทุนอย่างมีศิลปะ)

แต่ต้องใช้วิจารณญาณมากหน่อย เพราะสำหรับการดูงบรายไตรมาส จะไม่ได้ให้ภาพที่ชัดนักของกิจการ (ไว้จะขยายความในกระทู้ต่อๆไปนะคะ)จะสะท้อนแค่ราคาหุ้นในช่วงสั้นๆเท่านั้น

4.อยู่เฉยๆ กับหุ้นที่ผลประกอบการณ์งั้นๆ หรือตกลงเล็กน้อย แต่ยังมีอนาคต และไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรฐกิจที่ว่า หรือไม่ได้รับผลกระทบจากข่าวร้ายที่เกิดขึ้น

คงเริ่มสงสัยว่า ดูอย่างไรว่ามีอนาคต ก็เช่น ธุรกิจที่ได้รับอานิสงค์ จากการลงทุนของรัฐบาลซึ่งมาจากนโยบายที่ต้องการจะผลักดันให้ประเทศไปในทิศทางนั้น หรือธุรกิจที่ยังมีช่องว่างให้โตอีกมาก เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในโลก เป็น trend ของอนาคต หรือธุรกิจที่เป็นขาขึ้น เป็นต้น

5.ซื้อ หุ้นที่มี upside มากขึ้น อาจจะเพราะ จากผลประกอบการณ์ที่ดีหรือราคาตกลงมามาก และในระยะ 1-2 ปีนี้ ไม่ได้รับผลกระทบ หรือได้รับผลกระทบน้อยมากจากข่าวหรือวิกฤต

ถ้าที่ผ่านมาการลงทุนของคุณยังไม่ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ หรือลงทุนแล้วไม่มีความสุข ให้ลองตอบคำถามนี้ดูค่ะ น่าจะเห็นจุดบกพร่องอะไรบางอย่าง จะได้ลองปรับเปลี่ยนวิธีการเมื่อหุ้นลงครั้งต่อไปค่ะ
          ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=37910
สุขใจรายวัน กับ 9 สิ่งเล็ก ๆ ที่ทำให้ชีวิตของคุณแฮปปี้ขึ้น
ชื่อ:  1.jpg
ครั้ง: 602
ขนาด:  52.4 กิโลไบต์


ใครที่ใช้ชีวิตเก่ง ๆ จะรู้ว่า "ความสุข" ถือเป็นเกณฑ์การวัดความสำเร็จในชีวิตของคนคนหนึ่งได้ดีที่สุดแล้ว และหากสามารถทำให้คนรอบข้างมีความสุขไปด้วย ก็นับเป็นความสำเร็จในการมีความสุขแบบคูณสอง รับรองคุณจะยิ่งแฮปปี้เลยล่ะ ... แต่ว่าเรื่องนี้มันจะเป็นไปไม่ได้เลยนะ หากว่าคุณไม่เริ่มต้นด้วยการทำให้ตัวเองมีความสุขเสียก่อน


แหม พอฟังแล้วชักจะคิดหนัก ไอ้ชีวิตทุกวันนี้ก็นับว่าโอเคในระดับหนึ่งล่ะนะ แต่ถ้าถามว่าอยู่ในระดับที่เรียกว่า "แฮปปี้กับทุกวันของชีวิต" ไหม ก็ยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แล้วพอเป็นเสียอย่างนี้ เรื่องจะไปทำให้คนรอบข้างมีความสุขตามไปด้วยนี่แทบจะลืมไปได้เลย จะทำยังไงให้เติมความสุขลงไปในชีวิตแต่ละวันได้บ้างหนอ แล้วขอแบบง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องขวนขวายมากน่ะ จะมีหรือเปล่า เพราะขอบอกว่าไม่ว่างพอที่จะลาพักร้อนไปเที่ยวเติมความสุขใหตัวเองหรอกนะ .. ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่คิดแบบนี้ล่ะก็ คงต้องลองสิ่งเล็ก ๆ ทำง่าย ๆ แต่เพิ่มระดับดีกรีความสุขในแต่ละวันได้ ลองดูคำแนะนำทั้ง 9 ข้อนี้ จาก inc.com ดูสิ น่าจะช่วยคุณได้นะ


1. เริ่มต้นวันใหม่ด้วยใจที่มุ่งมั่น "วันนี้ฉันต้องเจอเรื่องดี ๆ ชัวร์!"

แทนที่จะตื่นมา แคะขี้ตา แล้วอาบน้ำแปรงฟันเหมือนวันก่อน ๆ ลองเพิ่มหนึ่งกิจกรรมง่าย ๆ เข้าไปตอนตื่นนอน ให้บอกตัวเองดัง ๆ ว่า "วันนี้ฉันต้องเจอเรื่องดี ๆ ชัวร์ป้าบ" .. อ้อ แล้วไม่ใช่แค่บอกนะ ขอให้คุณ (พยายาม) เชื่อว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นด้วย ความเชื่อแบบนี้แหละ ที่จะทำให้คุณสามารถมองเรื่องที่แสนจะธรรมดาสามัญ แบบที่เคยมองว่ามันเป็นอย่างนั้นในวันก่อน ๆ ให้กลายเป็นเรื่องพิเศษขึ้นมาได้ เป็นต้นว่า ซื้อข้าวมันไก่กินแล้ววันนี้ดันได้ไก่เพิ่มมาหนึ่งชิ้น เท่านี้ก็พิเศษแล้ว (ดูเพ้อเจ้อไปหน่อย แต่มันทำให้คุณมีความสุขได้ง่ายขึ้นจริง ๆ นะเออ)

2. วางแผนสิ่งที่จะทำและลำดับความสำคัญ

ที่มาชั้นเยี่ยมของความเครียดในแต่ละวัน (ซึ่งเป็นตัวการขัดขวางความสุขของเรา) คือ การที่แต่ละวันมีงานสุมหัว มีเรื่องให้ต้องจัดการสารพัดมากมายร้อยแปด เยอะจนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี .. เอาล่ะ ใจเย็น ๆ นะ ค่อย ๆ พิจารณาความสำคัญของงานแต่ละชิ้นดูว่า อะไรควรทำก่อน-หลัง และที่สำคัญคือ สิ่งไหนจะทำให้คุณเขยิบเข้าใกล้เป้าหมายหรือความฝันของตัวเองได้มากขึ้นอีกนิด สิ่งนั้นแหละที่คุณควรจะให้ความสำคัญกับมันมากที่สุด จัดการเสียให้เรียบร้อย พอหมดวันรับรองว่าคุณจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับผลงานของตัวเอง

3. มอบของขวัญแก่ผู้คนที่พบในแต่ละวัน

เราไม่ได้พูดถึงของขวัญที่เป็นทางการแบบใส่กล่องผูกโบนะคะ แต่เป็นของขวัญที่เรียบง่ายเปี่ยมด้วยความหมายดี ๆ จากตัวคุณเองต่างหาก ไม่ว่าจะเป็น รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ แชร์เรื่องขำขัน พูดให้กำลังใจ หรือแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ ฯลฯ .. รับรอง สุขใจผู้ให้ ถูกใจผู้รับนะจ๊ะ

ชื่อ:  2.jpg
ครั้ง: 606
ขนาด:  53.7 กิโลไบต์

4. งดคุยเรื่องการเมือง - ศาสนา

มีบทสนทนาอยู่ 2 เรื่อง ที่ไม่ว่าจะถกเถียงอย่างไรก็ไม่เคยได้มาซึ่งคำตอบที่ถูกต้องที่สุด นั่นก็คือเรื่อง "การเมือง" กับ "ศาสนา" เถียงกันมาตั้งไม่รู้กี่สิบปี (บางกรณีอาจถึงขั้นร้อย หรือนานกว่านั้นเยอะเลยล่ะ) ก็ไม่เห็นจะได้คำตอบดี ๆ ที่ทำให้คนสองฝ่ายเข้าใจตรงกันได้สักครั้ง แถมมีแนวโน้มว่ายิ่งเถียงกันนานก็ยิ่งทวีความรุนแรงด้วย หากรู้ตัวว่ากำลังเพลี่ยงพล้ำตกลงไปอยู่ในวังวนของบทสนทนาแบบนี้เมื่อไหร่ ขอบอกว่ารีบถอนตัวออกมาซะยิ่งเร็วยิ่งดี เดี๋ยวจะพาลหงุดหงิด เสียสุขภาพจิตเอาได้ง่าย ๆ

5. คิดไว้ก่อนว่าใคร ๆ ก็มีเจตนาดี

ตราบเท่าที่เราไม่สามารถอ่านความคิดของคนอื่นได้ ก็ไม่มีทางรู้ถึงเหตุผลที่แท้จริงได้หรอกว่า เหตุผลหรือเจตนาเบื้องหลังการกระทำของคนคนหนึ่งนั้นคืออะไร แล้วการไปตีความดักหน้า ว่าที่ใครคนหนึ่งทำอะไรแปลก ๆ ให้คุณรู้สึกตะหงิดใจ จะต้องมีเจตนาไม่ดีแน่ ๆ นั่นจะกลายเป็นการผลักตัวคุณเองลงไปจมจ่อมอยู่กับความทุกข์ ความไม่สบายใจนานาประการ พลิกความคิดนิดหน่อย เปลี่ยนเป็นบอกตัวเองว่า "เขาน่าจะมีเจตนาดีแหละนะ" จะทำให้ใจคุณเบาหวิวขึ้นเยอะ และท้ายที่สุด ต่อให้เจตนาของเขาไม่ได้ดีอย่างที่คุณคาดหวังเอาไว้ ก็ยังทำให้คุณพร้อมที่จะปล่อยผ่านไป ไม่เก็บความไม่สบายใจไว้กับตัวด้วย

6. ละเลียดของอร่อย

ต่อมรับรสทำงานประสานกับความรู้สึกมีความสุขโดยตรงเลยนะขอบอก เครื่องดื่มเย็น ๆ สักแก้ว ขนมเค้กเล็ก ๆ สักชิ้น ช็อกโกแลตคุณภาพดีสักแท่ง ก็ทำให้วันของคุณสว่างสดใสได้แล้วล่ะ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมร้านเค้ก หรือว่าร้านกาแฟ จึงเปรียบเสมือนแฮปปี้ สเตชั่น ประจำวันของหลาย ๆ คน :)

ชื่อ:  3.jpg
ครั้ง: 604
ขนาด:  59.9 กิโลไบต์

7. เลิกกังวลถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้ว

อีกหนึ่งศัตรูตัวร้ายที่คอยขัดขวางไม่ให้คุณมีความสุข ก็คือ "ความกังวล" อันเป็นสิ่งที่เกิดจากการเอาใจไปผูกติดกับสิ่งที่คุณไม่สามารถควบคุมได้ โดยเฉพาะสิ่งที่ล่วงผ่านไปแล้ว ไม่ว่าผลของมันจะแย่ หรือไม่น่าพอใจแค่ไหน คุณก็ไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้ กังวลไปก็เท่านั้น จะพาลให้วันทั้งวันของคุณไม่มีความสุขไปเปล่า ๆ ตั้งสติกลับมาใส่ใจกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบันดีกว่านะ ทำให้ดีที่สุด ผลของการกระทำที่จะเกิดขึ้นต่อไปจะได้ไม่ต้องมีอะไรให้เป็นกังวลอีก

8. เลิกเปิดทีวีไว้เป็นเพื่อน

ดูท่านี่จะเป็นนิสัยประจำตัวของหลาย ๆ ที่เมื่อถึงบ้านปุ๊บ ก็ต้องเปิดทีวีปั๊บ แล้วตัวเองก็ทำโน่นทำนี่ไปเรื่อยตามปกติ แล้วการเปิดทีวีทิ้งไว้เป็นเพื่อนนี่มันทำให้คุณไม่ฟีลกู้ดยังไงน่ะหรือ .. ตัวอันตรายอยู่ที่ช่วงโฆษณาทั้งหลายนั่นไงล่ะ มาอวดสรรพคุณว่าอันนั้นดี อันนี้เจ๋ง ที่นู่นกำลังลดราคาหากพลาดไม่ได้มาจะเสียใจ หรืออะไรทำนองนี้ สิ่งเหล่านี้มันเร้ากิเลสในใจให้ลุกโชน การความรู้สึกอยากมีอยากได้อยากเป็นเจ้าของ ซึ่งมันไม่ได้ทำให้จิตใจสงบมีความสุขเลย

ชื่อ:  4.jpg
ครั้ง: 612
ขนาด:  50.9 กิโลไบต์

9. บันทึกสิ่งดีของวันนั้นก่อนเข้านอน

ก่อนจะล้มตัวลงนอน คว้าไดอะรี่พร้อมปากกาขึ้นมาหนึ่งแท่ง เขียนสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกดีในตลอดวันนี้ลงไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่อย่างเจ้านายอนุมัติเลื่อนตำแหน่ง หรือเรื่องเล็กกระจิริด อย่างกดลิฟต์ให้คนที่กำลังหอบของเต็มสองมือ ไม่ว่ามันจะใหญ่หรือเล็กขนาดไหน แต่มันก็เป็นเรื่องสำคัญที่ดีที่สุดของวันนั้น อ่านแล้วก็อดยิ้มกริ่มตามไปไม่ได้ว่าวันนี้ก็มีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นกับเราเหมือนกันนะ แล้วยิ่งได้บันทึกเอาไว้หลายวัน เมื่อมาอ่านย้อนหลังแล้วคุณจะยิ่งรู้สึกว่า ชีวิตเรานี้ช่างมีความสุขเหลือเกิน มีแต่เรื่องดี ๆ เกิดขึ้นทุกวันเลย ..แล้วอย่างนี้จะไม่ให้มีความสุขกับทุก ๆ วันของชีวิต ทั้งวันนี้และวันต่อ ๆ ได้อย่างไรกันล่ะนี่ ^___^

ใครอยากให้ชีวิตแฮปปี้มากขึ้นลองนำไปใช้กันดูนะ ยิ่งทำได้หลายข้อก็ยิ่งดี ชีวีจะฟีลกู้ดขึ้นกว่าเดิมทุก ๆ วันเลยล่ะ :)


ที่มา:Kapool.com

วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

หุ้นขั้นเทพ 

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร



การวิเคราะห์หุ้น มีปัจจัยที่ต้องพิจารณามากมาย ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ จึงเป็นเรื่องยากสำหรับนักลงทุนบางคน ที่อาจจะมีความรู้เชิงธุรกิจไม่มาก

เพราะอาจไม่ได้เรียนมาทางสายธุรกิจ หรือเพิ่งเข้าสู่ตลาดหุ้นเป็นนักลงทุนมือใหม่ และคงเป็นเหตุผลว่า ทำไมข้อสรุปของหุ้นแต่ละตัว จึงไม่เหมือนกันระหว่างนักลงทุนแต่ละคน 

หุ้นตัวหนึ่งนักลงทุนคนหนึ่ง อาจดูว่าดีมากเป็นซูเปอร์สต็อก ในขณะที่อีกคนหนึ่งมองเป็นหุ้นธรรมดาๆ หรือหุ้นตัวหนึ่งนักเล่นหุ้นคนหนึ่งบอกว่า เป็น Growth Stock หรือหุ้นโตเร็ว ขณะที่อีกคนหนึ่งบอกว่า เป็นหุ้นวัฏจักรที่เพียงแต่อยู่ในช่วงขาขึ้น และพร้อมจะลงในอนาคต 

วิธีที่จะดูว่าหุ้น หรือบริษัทที่เราสนใจ น่าจะดีหรือไม่อย่างง่ายๆ คือ หาปัจจัยที่สำคัญมากๆ มาเป็นเครื่องชี้ที่จะบอกว่าเป็นหุ้นดีหรือหุ้นแย่ ตัวอย่างเช่น ถ้าการตลาด หรือยี่ห้อของสินค้าของบริษัทนั้น แข็งแกร่งสุดยอดเหนือกว่าคู่แข่งมาก โอกาสสูงว่าหุ้นของบริษัทน่าจะดี โดยอาจจะไม่ต้องพิจารณาปัจจัยอื่นมากหรือละเอียดนัก เป็นต้น

เครื่องชี้วัดที่สำคัญและวิเคราะห์ได้ง่ายตัวหนึ่ง ที่ผมคิดว่าน่าสนใจ และนำมาใช้ได้ในหุ้นเกือบทุกตัว คือ ตัวเลขของผลประกอบการ หรือกำไรในอดีต เพราะนี่คือผลงานที่บริษัททำได้มาแล้ว เป็น "ของจริง" ที่เกิดขึ้น และบอกไปถึงอนาคตได้ โดยเฉพาะกำไรที่เกิดขึ้น ถ้าเกิดจากผลการทำงานของบริษัทจริงๆ ไม่ได้เกิดจากภาวะแวดล้อม ที่ทำให้บริษัทกำไรดี พูดง่ายๆ บริษัทไม่ได้กำไรดี เพราะ "โชคดี" แต่บริษัทกำไรดี เพราะบริษัทมีฝีมือดี มีความสามารถเหนือคู่แข่ง

วิธีที่จะตัดประเด็นของ "โชค" ออกจากตัวเลขผลประกอบการ คือ การดูกำไรย้อนหลังไปหลายๆ ปี ถ้าเป็นเรื่องโชคแล้ว คงไม่เกิดติดต่อกันหลายๆ ปี น่าจะเกิดขึ้นไม่เกิน 2-3 ปี หลังจากนั้น จะกลับมาเป็นปกติ ซึ่งกำไรหลังจากนั้น จะแย่ลง และสรุปได้ว่า บริษัทคงไม่เก่งอะไรนัก ตรงกันข้าม ถ้าเรามองผลประกอบการย้อนหลังไปยาวๆ พบว่าบริษัทมีผลงาน หรือผลประกอบการที่น่าประทับใจมาตลอด 

ดังนั้น สรุปได้ว่า บริษัทนี้มีความสามารถในการแข่งขันสูง และแน่นอนในอนาคตต่อไป น่าจะทำกำไรได้ต่อเนื่องยาวนาน เพราะบริษัทก็เหมือนคน ถ้าเก่งและมีความสามารถ อย่างไรก็ทำเงินได้ต่อไปในอนาคต

ข้อมูลผลกำไรย้อนหลัง ที่ผมคิดว่าน่าจะเพียงพอ ที่จะพิสูจน์ได้ว่า บริษัทดีจริงหรือไม่ น่าจะไม่น้อยกว่า 7-10 ปีขึ้นไป เพราะนอกจากจะตัดประเด็นเรื่องโชคของบริษัทแล้ว ยังตัดประเด็นเรื่องวัฏจักรของธุรกิจที่มีเวลาขึ้นลงไม่เกิน 3-5 ปีด้วย 

ถ้าจะหาปัจจัยสำคัญบางตัว ที่จะบอกว่าบริษัท หรือหุ้นดีหรือไม่ ผมคิดว่า ข้อมูลผลกำไรย้อนหลัง 7-10 ปี เป็นตัวสำคัญมากตัวหนึ่ง และข้อเสนอของผม คือ ถ้าบริษัทไหน มีกำไรสม่ำเสมอ และ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอัตราตั้งแต่ 10% ต่อปีขึ้นไปมาตลอด โดยที่บริษัท ไม่ต้องเรียกเงินจากผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นเลย ถือว่าบริษัทนั้น หรือ หุ้นตัวนั้น เป็นหุ้นที่ดีเยี่ยม โดยไม่ต้องไปดูปัจจัยอื่นมากมาย ถ้าจะใช้คำหรูๆ แบบที่วัยรุ่นใช้กับดาราชายที่หน้าตาดีมาก ว่า "หล่อขั้นเทพ" ผมก็อยากจะเรียกหุ้นที่มีผลประกอบการดังกล่าวว่าเป็น "หุ้นขั้นเทพ" 

นอกจากตัวเลขผลกำไรแล้ว ปันผลก็เป็นตัวเลขหนึ่งที่สำคัญ ถ้าบริษัทจ่ายปันผลออกมาน้อย กำไรในอนาคตต้องมากขึ้นอยู่แล้ว ถ้าบริษัทจ่ายปันผลในแต่ละปีในอัตราสูงเช่นเกิน 50% ของกำไรแต่ละปีด้วย นี่เป็นตัวเสริมให้เป็นหุ้นเทพมากขึ้น ถ้าจ่ายปันผลต่ำ ความเป็นหุ้นขั้นเทพก็ลดลง

ความเป็นเทพมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับการเติบโตของกำไรเฉลี่ยในช่วงที่ผ่านมา ถ้ากำไรโตปีละถึง 15% ขึ้นไป อาจเรียกว่าเป็นหุ้นเทพมาก แต่ถ้ากำไรโตต่ำกว่า 10% แบบนี้ อาจเรียกว่า เทพธรรมดา หรือไม่เทพเลย ถ้ากำไรโตน้อยมากเพียงแค่ 4-5% เป็นต้น 

เช่นเดียวกัน ความสม่ำเสมอของกำไรในแต่ละปี ก็เป็นตัวบอกความเป็นเทพมากหรือน้อยได้ บริษัทที่มีกำไรแทบจะเพิ่มขึ้นทางเดียวปีต่อปี ไตรมาสต่อไตรมาส แบบนี้ก็เทพมาก แต่บริษัทที่มีกำไรสลับขึ้นลง และโดยเฉพาะที่มีแนวโน้มลดลงในช่วงท้ายๆ แบบนี้ความเป็นเทพก็ด้อยลง

หุ้นเทพ โดยปกติราคาจะวิ่งขึ้นเสมอและต่อเนื่องยาวนาน ตราบที่แนวโน้ม กำไรยังโตขึ้นใกล้เคียงกับอดีต การถือหุ้นเทพ บางครั้งถือยาวเป็น 5 ปี 10 ปีได้ โดยไม่ต้องทำอะไร ในช่วงสั้นๆ แน่นอน หุ้นเทพอาจมีราคาสูง หรือต่ำจนดูเหมือนกับว่า Overvalue หรือ Undervalue แต่ไม่ควรมีปฏิกิริยาอะไรนัก ยกเว้นจะเกินไปมาก เหตุผล คือ ในที่สุดจะ "กลับมา" คือหุ้นก็ จะขึ้นต่อไปตามผลประกอบการ 

ผมเองเคยพบนักลงทุนหลายคนที่พยายาม "เล่นสั้นๆ" ในหุ้นเทพ นั่นคือ เขาจะขายเมื่อหุ้นขึ้นไปแรง เสร็จก็กลับเข้าไปเก็บ เมื่อหุ้นเทพปรับตัวลงมา ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ผมไม่แน่ใจว่าสุดท้ายคุ้มค่าไหม เพราะบางครั้งต้องกลับไปซื้อในราคาแพงขึ้น เพราะหุ้นไม่ตกกลับลงมาตามที่คาด บางคนที่ "ขายหมู" ไปแล้วก็ไม่กลับมาซื้ออีก และทำให้พลาด "กำไร" มหาศาลที่ตามมาอีกหลายๆ ปี

ข้อจำกัดของการลงทุนในหุ้นเทพ มีพอสมควร เหตุผลหนึ่งคือหุ้นเทพ มักจะไม่ถูก นั่นทำให้ VI จำนวนมากหลีกเลี่ยงที่จะลงทุน พวกเขามักจะดูว่ากำไรที่โตขึ้นต่อปีของหุ้นขั้นเทพ "ไม่ใคร่สูง" เช่น "แค่ 15%" แต่ค่า PE ของหุ้นอาจจะสูงถึง 20 เท่า หรือมากกว่า ดังนั้น ค่า PEG หรือค่า PE เมื่อเทียบกับการเติบโตนั้นสูงกว่า 1 เท่า 

ตาม "ตำรา" ต้องบอกว่า ไม่คุ้มที่จะลงทุน ประเด็นนี้ผมคิดว่าค่า PEG อาจจะใช้ไม่ได้กับเรื่องของหุ้นเทพ และส่วนใหญ่ที่ใช้กันก็มักจะมอง Growth หรือการเติบโตของกำไรไปแค่ 3-4 ปี ซึ่งไม่ใช่ลักษณะของหุ้นเทพ

ข้อจำกัดต่อมาของหุ้นเทพ คือ บางบริษัทเพิ่งเข้าจดทะเบียนไม่นาน จึงมีข้อมูลไม่พอ แต่ถ้าบริษัทนั้นกลายเป็นหุ้นเทพจริงๆ ในเวลาต่อมา การลงทุนในหุ้นขั้นเทพตั้งแต่ตอนต้น อาจทำกำไรได้มหาศาล เพราะราคาหุ้นในขณะนั้นอาจจะไม่สูง และนี่นำมาสู่ข้อที่ต้องระวัง ที่สำคัญการลงทุนในหุ้นเทพ คือ ต้องพิจารณาดูว่า หุ้นเทพที่เราดูอยู่กำลังอยู่ในหุ้นเทพ "ขั้นสุดท้าย" หรือเปล่า นั่นคือ การเติบโตของกำไรของหุ้นเทพ ใกล้สิ้นสุดหรือยัง

ขณะที่ราคาหุ้นเทพขึ้นไปสูงมาก ถ้าเราเข้าไปลงทุนช่วงที่บริษัทเริ่มอิ่มตัว ไม่สามารถโตต่อไปได้แล้วด้วยเหตุผลต่างๆ ในที่สุด ราคาหุ้นก็อาจปรับตัวลงไปเรื่อยๆ โดยไม่กลับขึ้นมาอีก หุ้นเทพส่วนมาก มักจะมีอายุค่อนข้างยาว บางบริษัทอย่างหุ้นวอลมาร์ทในอเมริกานั้นเติบโตยาวนานหลายสิบปี 

การสรุปว่าหุ้นขั้นเทพตัวที่มองอยู่ "หมดยุค" แล้ว ต้องทำอย่างระมัดระวัง โดยทั่วไป หุ้นขั้นเทพที่ไม่ใช่หุ้นไฮเทค ถ้าจะตกต่ำลง ก็จะใช้เวลาเป็นปีๆ หรือหลายๆ ปี ความจำเป็นต้องรีบขายจึงไม่

ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=37901

วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แพทริเชีย คนนี้แป๊ะเว่อร์!! จาก MIX MAGAZINE
เธอคนนี้อาจจะดูคุ้นหน้าคุ้นตาใครหลายคนจากผลงานโฆษณาทางโทรทัศน์ แต่คราวนี้เธอมาในบทบาทของสาวเซ็กซี่ที่จะทำให้คุณตาลุกวาวกับความน่ารักแบบญี่ปุ่นผสมความสวยคมแบบสาวบราซิล แค่ชื่อของเธอก็เซ็กซี่แล้ว “แพทริเชีย นาโอมิ คาซาม่า” อย่ามัวพูดพร่ำทำเพลง ไปรู้จักกับสาวลูกครึ่งคนนี้เลยดีกว่า

ชื่อ:  S02_085.jpg
ครั้ง: 3432
ขนาด:  81.7 กิโลไบต์

ชื่อ:  S05_121.jpg
ครั้ง: 3422
ขนาด:  70.1 กิโลไบต์

ทักทายแฟนๆ MiX ของเราหน่อย
สวัสดีค่ะ ชื่อ Patricia เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น-บราซิล ค่ะ
แสดงว่าคุณพูดได้มากกว่าหนึ่งภาษา
แน่นอนค่ะ ฉันพูดภาษาโปรตุกีสกับญี่ปุ่นได้ สเปนก็พอเข้าใจ แล้วก็ภาษาอังกฤษ แต่ภาษาไทยยังไม่เข้าใจนะคะ (หัวเราะ)
เห็นคุณเล่นโฆษณาโทรทัศน์มาก็เยอะ แล้วมันต่างกับการเป็นนางแบบมากน้อยแค่ไหน
เวลาเล่นโฆษณาต้องมีคาแร็คเตอร์เป็นตัวละครอีกคนหนึ่ง แต่ถ้าถ่ายเซ็กซี่เหมือนวันนี้ จะรู้สึกเป็นตัวเองมากกว่าค่ะ
ระหว่างความเป็นบราซิลเลี่ยนกับญี่ปุ่น ในตัวคุณมีอะไรมากกว่ากัน
จริงๆ มันก็ผสมกันทั้งสองส่วนนะคะ ความขี้อายที่มีก็เหมือนคนญี่ปุ่น แต่ก็เฟรนด์ลี่เหมือนคนบราซิลค่ะ

ชื่อ:  S07_022.jpg
ครั้ง: 3422
ขนาด:  84.5 กิโลไบต์

ชื่อ:  S08_061.jpg
ครั้ง: 3423
ขนาด:  71.1 กิโลไบต์

ถ้าเจอหนุ่มถูกใจ คุณจะเริ่มต้นความสัมพันธ์อย่างไร
ก็คงจะเริ่มจากการเป็นเพื่อนกันก่อน พูดคุยกัน แล้วปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามธรรมชาติ
หนุ่มแบบไหนที่มัดใจคุณได้
ชอบคนตลกค่ะ แล้วก็เป็นคนที่ไว้ใจได้ อยู่ด้วยแล้วรู้สึกอบอุ่น สบายใจ
แล้วหนุ่มแบบไหนที่คุณอยากจะอยู่ให้ห่างๆ
คงเป็นพวกหนุ่มเพลย์บอยค่ะ ยิ่งเวลามานั่งบ่นกับเราถึงเรื่องแฟนเขาด้วยแล้วล่ะก็ ไม่ชอบเลยค่ะ
เชื่อว่าทุกคนที่เห็นคุณ เป็นต้องบอกว่าคุณเซ็กซี่ คุณคิดอย่างนั้นหรือเปล่า
มีบ้างนะคะที่คิดอย่างนั้น แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกค่ะ
เวลาหนุ่มๆ เดินสวนกับคุณ คุณอยากให้เขามองส่วนไหนของคุณเป็นอย่างแรก
อย่างแรกที่อยากให้มองก็คือขาก่อนเลยค่ะ แล้วก็อยากให้มองตาของฉันด้วยค่ะ

ชื่อ:  S06_141.jpg
ครั้ง: 3410
ขนาด:  77.3 กิโลไบต์

สถานที่โปรดสำหรับคุณที่คิดว่าโรแมนติคเวลาออกเดท
ชอบดินเนอร์ในบรรยากาศสบายๆ ไม่เป็นทางการค่ะ แล้วก็ชอบเดินเล่นชมวิว ยิ่งเป็นริมชายหาดนี่โปรดเลยค่ะ
วันว่างของคุณหมดไปกับอะไรบ้าง
ส่วนมากก็จะนัดเจอเพื่อนๆ ไปกินข้าวดูหนัง หรือไม่ก็เปิดอะไรไร้สาระดูในอินเตอร์เน็ต นี่แหละค่ะ Patricia (หัวเราะ)
กิจกรรมเอ็กซ์ตรีมกับคุณ พอจะไปด้วยกันได้ไหม
สำหรับฉันถือว่าน้อยมาก แต่มีอยู่ครั้งนึงฉันเคยเดินเขาที่ญี่ปุ่นใช้เวลาถึง 7 ชั่วโมงกว่าจะถึงยอด เรียกว่าบ้าที่สุดที่เคยทำมาเลยค่ะ
อะไรที่ทำให้คุณมีความสุขที่สุด
ช่วงเวลาสนุกๆ เหมือนอย่างการถ่ายแบบวันนี้ค่ะ เพราะดูทุกคนมีความสุข อยู่ในอารมณ์เดียวกันค่ะ
กินผลไม้ให้ตรงตามกรุ๊ปเลือด ทางเลือกใหม่ของการมีหุ่นสลิม ผิวสวยใส

Oriflame ชวนคุณสาวๆ กินผลไม้ให้ตรงตามกรุ๊ปเลือด ชาร์จพลัง กายแข็งแรง จังหวะชีวิตที่เร่งรีบต้องก้าวไปให้ทันกับโลกที่ไม่ยอมหยุดหมุน การดูแลรักษาสุขภาพจึงต้องเป็นที่ง่าย ทำได้สะดวก ยิ่งเลือกอาหารรับประทานสักหน่อย สร้างสมดุลให้ระบบภายในร่างกายสักเล็กน้อย เช่นการรับประทานผลไม้ให้ถูกธาตุ ตรงตามกรุ๊ปเลือด ร่วมด้วยการทานอาหารเสริม ที่สามารถเสริมสารมวลกล้ามเนื้อ เร่งการเผาผลาญไขมัน ได้อย่างผลิตภัณฑ์ ออริเฟลม นูทรีเชค (Oriflame Nutrishake) จึงเป็นทางเลือกใหม่ของหนุ่มสาวยุคนี้ ที่ต้องการมีสุขภาพร่างกายที่ดี แถมยังพ่วงด้วยการมีรูปร่างที่สวยสมส่วน หุ่นเพรียวสลิมอีกด้วย

กรุ๊ปเลือดเอ


- คนเลือดกรุ๊ปนี้ส่วนใหญ่จะมีกรดในกระเพาะต่ำ ทำให้ระบบการย่อยไม่ค่อยดี ระบบ ภูมิคุ้มกันต่ำ มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และมะเร็ง กรุ๊ปเอจึงถูกจัดเป็นกรุ๊ปมังสวิรัติ รับประทานผลไม้ได้ทุก อย่างยกเว้นแตงโม แคนตาลูป มะละกอ กล้วย ส้ม
- เมนูสำหรับกรุ๊ปเลือดมังสวิรัติ พีช คูลเลอร์ ที่นำผลพีชประมาณครึ่งผลมาฝานบาง ปั่นรวมกับ นูทรี เชค รสวานิลลา น้ำเย็น นมพร่องมันเนย และน้ำแข็งก้อน เหมาะแก่การจิบอย่างเพลิดเพลินในวันที่อากาศร้อนพร้อมมอบความสดชื่น ให้กระปรี้กระเปร่าตลอดวัน หรือสนุกกับสูตร แมงโก้ พาราไดซ์ นำน้ำมะม่วงสด กล้วยสุกครึ่งลูก น้ำแข็ง ปั่นรวมกับ นูทรี เชค รสสตรอเบอร์รี่ ตบท้ายด้วย สูตรเอเนอไจซิ่ง สลิมมิ่ง เชค กับ แอปเปิ้ล ดิลิเชียส ที่นำน้ำแอปเปิ้ลสด ผงอบเชย นมพร่องมันเนย ปั่นรวมกับ นูทรี เชค รสวานิลลา จนเนื้อเชคดูเนียนนุ่ม เสิร์ฟในแก้วทรงสูงพร้อม ตกแต่งด้วยเซเลอรี่

กรุ๊ปเลือดบี


- คนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้จะอ้วนง่าย ส่วนใหญ่มีปัญหากับไวรัส และภูมิคุ้มกันบกพร่อง มักปวดตามข้อ และเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง การกินผลไม้เพื่อรักษาสมดุลนั้นกินได้แทบทุกชนิด ยกเว้น ลูกพลับ ทับทิม และลูกแพร์
- ขอแนะนำเมนูเครื่องดื่ม แครอท คิก ที่นำโยเกิร์ตรสธรรมชาติ น้ำแครอท ผงกาแฟ ผงขิง มาปั่นรวมกันกับ นูทรี เชค รสวานิลลา เสิร์ฟโดยตกแต่งหน้าด้วยใบมินท์ และอัลมอนด์บดละเอียด

กรุ๊ปเลือดเอบี


- กรุ๊ปนี้เป็นการผสมผสานระหว่างกรุ๊ปเลือด A กับ B ดังนั้นวิธีการกินจึงต้องผสมผสานการกินมังสวิรัติกับการกินแบบกรุ๊ปบีอย่างละนิดอย่างละหน่อย คนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้มีจุดอ่อนเรื่องสุขภาพอยู่ที่ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และกรดในกระเพาะต่ำ ผลไม้ที่กินได้ดีเหมาะกับกรุ๊ปเลือดนี้ อาทิ องุ่น พลัม ตระกูลเบอร์รี่ สับปะรด ส้มโอ ฯลฯ เพราะช่วยสร้างความสมดุลของกรดในเนื้อเยื่อ หลีกเลี่ยงการกินกล้วย มะม่วง ฝรั่ง ส้ม
- เริ่มต้นด้วยเมนู สตรอเบอร์รี่ นัท เชค นำ นูทรี เชค รสสตรอเบอร์รี่ นมพร่องมันเนย ถั่วอัลมอนด์ น้ำแข็งก้อน มาปั่นรวมกัน แต่งหน้าให้ดูน่ารับประทานยิ่งขึ้นโดยการโรยถั่วอัลมอนด์บดละเอียด ได้คลายร้อน กับเครื่องดื่มเย็นชื่นใจ กับ โยเกิร์ต เบอร์รี่ จอย ที่นำ นูทรี เชค รสสตรอเบอร์รี่ มาปั่นรวมกับโยเกิร์ตรสธรรมชาติ ตกแต่งด้วยผลเบอร์รี่สด อาทิ บลูเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ แบล็คเคอเรนท์ และสตรอเบอร์รี่ มูส เชค ที่นำนมถั่วเหลือง หรือ นมพร่องมันเนย น้ำส้มคั้น ปั่นรวมกันกับ นูทรี เชค รสสตรอเบอร์รี่ เสิร์ฟโดยตกแต่งหน้าด้วยดาร์กช็อคโกแลต และผลสตรอเบอร์รี่สด

กรุ๊ปเลือดโอ


- คนเลือดกรุ๊ปนี้ กระเพาะมีความเป็นกรดสูง สามารถย่อยอาหารจำพวกเนื้อได้ดีกว่า เลือดกรุ๊ปอื่น แต่ระบบการเผาผลาญมักไม่ค่อยดี ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ไม่คงที่ จึงทำให้อ้วนง่าย การกินผลไม้ให้ดีต่อสุขภาพและไม่อ้วนจึงกินได้แทบทุกชนิดโดยเฉพาะตระกูลเกรพฟรุ้ต ตระกูลเบอร์รี่ ยกเว้นแบล็คเบอร์รี่ จะช่วยเรื่องการลดน้ำหนัก ควรเลี่ยงแคนตาลูป มะพร้าว และส้มเพราะมีกรดสูงเกินไป
- เครื่องดื่มที่เหมาะสำหรับเลือดกร๊ปโอ คือ ทรอปิคอล บรีซ ที่นำ นูทรี เชค รสสตรอเบอร์รี่ มาปั่นรวมกันกับน้ำสับปะรดน้ำมะม่วง และวอลนัต 2 ลูก และมาชาร์จพลังงานยิ่งขึ้นกับเมนู พาวเวอร์-อัพ กีวี่ โดยนำกีวี่ 1 ลูก เมล็ดเฟล็กซีด นมพร่องมันเนย มาปั่นรวมกันกับ นูทรี เชค รสวานิลลา และบานาน่า ซันไรส์ ที่นำกล้วยครึ่งลูก น้ำมะนาว นมพร่องมันเนย มาปั่นรวมกับ นูทรี เชค รสสตรอเบอร์รี่


เพียงแค่คุณเข้าใจกับร่างกาย และใส่ใจกับอาหารการกินสักนิด ก็จะส่งผลให้คุณมีผิวสวย สดใส สุขภาพดีได้ไม่ยาก

วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เล่นหุ้น ให้รวย P-D-C-A


เมื่อลงทุนมาถึงช่วงเวลาหนึ่ง... ทุกคนควรต้องทบทวนเส้นทางที่ผ่านมาว่าได้เป็นไปตามแผนหรือไม่ ?
หากไม่เข้าข้างตนเอง อาจจะค้นพบข้อผิดพลาดของตนเอง ให้ได้เข้าไปแก้ไข และปรับแผนกันใหม่ ก่อนจะเดินหน้าตามแผนนั้นด้วยวินัยที่เคร่งครัด

ชื่อ:  PDCA.jpg
ครั้ง: 1540
ขนาด:  62.2 กิโลไบต์


ขั้นตอนการทำงาน P-D-C-A ใช้ได้เสมอ ทั้งกับการทำงานจริง และได้กับการลงทุนหุ้น
P = Plan วางแผนให้เหมาะและให้ท้าทาย
D = Do ปฏิบัติตามแผนมาพร้อมกับความพร้อมในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
C = Check ตรวจสอบโดยสม่ำเสมอว่าได้ปฏิบัติตามแผน รวมทั้งดูว่าแผนนั้นยังเหมาะสมหรือไม่ ?
A = Action แก้ไขและปรับปรุงในกรณีผิดแผน หรือแผนผิด

เล่นหุ้นให้สนุกนั่นถูก เพราะต้องมีความสุขกับสิ่งที่ทำ แต่เล่นหุ้นต้องให้มั่งคั่งด้วย ดังนั้นต้องมีระบบระเบียบและรัดกุม...

          ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=37312
เสี่ยยักษ์ วิชัย วชิรพงศ์ กับ การรู้จักพอในชีวิต
ชื่อ:  sl20101001big.jpg
ครั้ง: 3660
ขนาด:  7.1 กิโลไบต์

"ชีวิตตอนนี้อะไรที่ทำแล้วมีความสุขผมจะทำ เป้าหมายของชีวิตคืออะไร สุดท้ายเราต้องขึ้นไปไหว้พระบนภูเขา คุณต้องตาย (เอาอะไรไปไม่ได้) คุณมีกระบุงใบหนึ่งแบกอยู่ข้างหลังเดินขึ้นเขา คุณจะเก็บดอกไม้ (หาความสุข) หรือจะเก็บหินใส่ (แบกทุกข์ขึ้นไป) มีเพื่อนรุ่นพี่ผมคนหนึ่งเขามีเงินเป็นพันล้าน เขาขายที่ดินมรดกที่ถนนเพลินจิตได้เงินมา 1,500 ล้านบาท มาถามผมจะเอาเงินไปลงทุนอะไรดี"

ผมบอกพี่..พี่สบายแล้วพี่ยังจะเก็บหินใส่หลังเดินขึ้นไปไหว้พระบน
ภูเขา อีกเหรอ ชีวิตมาขนาดนี้แล้วคุณจะเอาอะไรอีก แกซื้อรถสปอร์ต 3 คัน ผมบอกพี่พอแล้วไม่ควรซื้ออีกแล้ว แกมาชวนผมให้ลงทุนโน่นลงทุนนี่ ผมบอกว่าพี่นี่มันไม่ใช่แล้ว "พี่ผิดทางแล้วรู้มั้ย" ชีวิตผมปฏิญาณแล้วว่าจะไม่เป็นหนี้ ผมจะเก็บดอกไม้ ผมไม่เก็บหินใส่กระบุง"

ชีวิตของเซียนหุ้นรุ่นใหญ่วัย 55 ปี ไม่มีคนขับรถ ไม่มีมาด กินง่ายๆ มองจากการแต่งตัวเผินๆ (วันนั้น) สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวปล่อยชาย นุ่งกางเกงยีนส์ ใส่รองเท้ากีฬา ไม่ใส่เครื่องประดับ ถ้าเดินสวนกันแทบไม่มีใครรู้ว่าเขาคือ "เศรษฐีพันล้าน" มีทรัพย์สินมูลค่านับพันล้านบาทที่เป็น Net Asset โดยไม่มี "ตัวแดง" ในบัญชี

เซียนหุ้นพันล้าน สรุปว่า ชีวิตอย่างนี้ต่างหากที่โลก (คน) ต้องอิจฉา สมัยก่อนคนเลิกเล่นหุ้นได้มี 2 ประเภท คือ "ตาย" กับ หมดตัว แต่ผมจะเป็นคนแรกที่ทำให้เห็นว่าเลิกเล่นหุ้นเพราะ สมควรแก่เวลา ถึงตอนนี้จะหนีตลาดหุ้นไปไม่พ้นแต่ก็เล่นน้อยลงเยอะ
          ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=36528
คนรวยๆ ในต่างประเทศเขาเอาเงินไปไว้ที่ไหน ให้ปลอดภัยจากมรสุมเศรษฐกิจ
คอลัมน์ บัวหลวง Money Tips
โดยวรวรรณ ธาราภูมิ
CEO บลจ.บัวหลวง



เมื่อคิดจะหาแหล่งหลบภัยในการลงทุนหากเกิดเหตุร้าย บางคนอาจจะคิดถึงการถอนเงินฝากและเงินลงทุนมาเก็บในเซฟที่บ้าน เรียกว่าไม่ไว้ใจใครแล้วนอกจากตัวเอง เลยฝังตุ่มบ้านเรานี่ละ แต่เก็บไปเก็บมา ราขึ้น แบงค์เปื่อย หรือน้ำท่วมตู้เซฟจนความแตก เลยโดนข้อหาร่ำรวยผิดปกติไปก็มี หรือเก็บไปเก็บมา ค่าเงินบาทโดนลดไป 50% อ้าวหายรวยไปครึ่งนึง ทำไงดีล่ะ

มาถึงตรงนี้ บางคนอาจนึกออกแล้วว่าควรเก็บเป็นทองคำไว้บ้าง เพื่อให้คงคุณค่าและอำนาจซื้อไว้ หรือเวลามีสงครามใหญ่ก็เอามาทยอยขายแลกปัจจัยสี่ห้าหก ตามแบบคุณปู่มาคิยงของลุงมาร์ค ฟาเบอร์ ที่เหรียญทองคำช่วยให้รอดชีวิตจากความทารุณในช่วงสงคราม

แต่คนที่รวยมากๆ เขาไม่ได้มองแต่ทองคำกันหรอก หมายถึงคนที่รวยจนล้นเหลือ รวยจนเบื่อที่จะมีแต่ทองคำ คนกลุ่มน้อยนิดนี้เขามีทางเลือกอื่นเพิ่มเติม

เมื่อเร็วๆ นี้ Jim O’Neill ประธานกรรมการ Goldman Sachs Asset Management ออกมาบอกว่า

“ความคิดที่เชื่อว่ามี Safe Haven หรือแหล่งปลอดภัยตลอดกาลที่จะเอาความมั่งคั่งของเราไปลงทุน มันเป็นอันตราย” ซึ่งที่เขาพูดนั้น เขาหมายถึงพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน

จริงอยู่ ทองคำเป็น Safe Haven ที่คนทั่วโลกนิยมกันมากที่สุด เพราะทองคำสามารถดำรงอำนาจซื้อไว้ได้ และไม่เสื่อมคุณค่าของตัวมันเอง แต่ทองเป็นแท่งๆ หรือเป็นเหรียญจำนวนมากๆ มันก็หนักนะ ยกเว้นพวกที่ซื้อกองทุน ETF ทองคำ ที่ไม่ต้องเก็บรักษาเอง อย่างนี้ก็ไม่หนัก

แต่เศรษฐีเขายังหนักใจกัน เพราะกลัวว่า เอ... ถ้าเกิดอะไรขึ้นแล้วโดนรัฐยึดทองคำไว้ ทีนี้จะทำยังไงกันล่ะ

ดังนั้น เศรษฐีที่ร่ำรวยมากๆ ก็เลยคิดกันว่ามีแต่ทองคำก็อาจจะไม่ปลอดภัย ก็ดูอย่าง ฮูโก้ ชาเวซ ประธานาธิบดีเวเนซูเอลลา สิ เขายังเอาทองคำสำรองของรัฐบาลเวเนซูเอลลากว่า 211 ตันที่เคยเก็บไว้ในธนาคารยุโรปกับสหรัฐอเมริกาใส่เรือกลับคืนประเทศเมื่อเดือน พ.ย. ปีก่อนเลย คงเพราะกลัวว่ารัฐบาลตะวันตกจะเข้าตาจน แล้วจะยึดเอาทองคำไป

พวกเราที่มีทองเล็กๆ น้อยๆ ผ่านการลงทุนในกองทุนทองคำ ถ้าจะแตกตื่นตามตาฮูโก้ ชาเวซ ก็ตามใจ ไม่ว่ากัน แต่ต้องถามตนเองก่อนว่าถอนออกมาแล้วจะเอาไปซื้อทองคำอีกไหม ซื้อแล้วจะเอาไปเก็บที่ไหน หรือจะใส่เป็นทองรูปพรรณกันให้เต็มคอ แล้วมันจะปลอดภัยไหม หรือจะเปลี่ยนเป็นเงินสด หรือจะไปลงทุนอย่างอื่น

คิดไปคิดมาชักปวดหัว เพราะจะเก็บเป็นเงินสด เงินฝาก ตราสารหนี้ หรือพันธบัตร ก็กลัวเสื่อมอำนาจซื้อจากเงินเฟ้อ จะซื้อหุ้นก็กลัวเจ๊ง อย่ากระนั้นเลย สู้เอาเงินที่เก็บหอมรอบริบนี่ไปช็อปปิ้งกันให้สบายใจดีกว่า

จะทำอะไรก็ทำไปเถิด เงินใครเงินมันอยู่แล้ว ขอแต่ว่าถ้าพลาดพลั้งไปก็อย่ามากระพือปีกไหม้ๆ ร้องไห้กระซิกๆ ให้เห็นก็แล้วกัน

เรื่องที่เศรษฐีตัวจริงเขาสะสมเงินที่ล้นเหลือไปไว้ที่ไหนกันบ้างนั้น ต้องบอกว่ามีหลายอย่างเลย นอกจากทองคำแล้ว เศรษฐียังสะสมงานศิลปะ วิสกี้ ไวน์ เหรียญโบราณในสกุลเงินประหลาดๆ ที่คนไม่ค่อยรู้จักกัน และอื่นๆ อีกมาก ซึ่งเป็น Non-financial Assets
ตัวอย่างการลงทุนของเศรษฐี

1.ที่ดินการเกษตร

ที่ดินการเกษตรเป็นแหล่งลงทุนที่ปลอดภัยและทรงคุณค่า เพราะมีปริมาณจำกัด ในขณะที่มีคนต้องการเพิ่มขึ้นเสมอ

Tom Eisenhauer ผู้เป็น President ของ Bonnefield Financial ชี้ว่า ราคาที่ดินการเกษตรสามารถต้านทานเงินเฟ้อได้ดีกว่าทองคำ ในขณะที่ Simon Black บอกว่า ที่ดินการเกษตรเป็นการลงทุนที่ดีในการต้านทานเงินเฟ้อเพราะความต้องการอาหารมีแต่จะเพิ่มขึ้น และ John Taylor หัวหน้าฝ่าย Farm and Ranch ของ U.S. Trust ยืนยันว่า มีมุมมองว่าที่ดินการเกษตรจะเป็นตลาดกระทิง เพราะขนาดไม่มีข่าวดีเลยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แถมยังมีแต่ข่าวร้ายๆ ราคาก็ยังขึ้นไปเรื่อยๆ ทั้งยังขึ้นมากกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตอีกด้วย

นอกจากนี้ กูรูการเงินชั้นเซียนเหยียบเมฆอย่าง จิม โรเจอร์ส มาร์ค ฟาเบอร์ บาร์ตัน บิกก์ ฯลฯ ต่างก็ลงทุนในที่ดินการเกษตรกันไม่น้อย

2.ไม้

ไม้เป็น Soft Commodity ชนิดหนึ่ง และการลงทุนในไม้ก็มีประวัติศาสตร์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีมากโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อเช่นกัน

Larry D. Spears บันทึกไว้ว่า การลงทุนในไม้ที่สหรัฐอเมริกาให้ผลตอบแทนเฉลี่ยถึง 22% ต่อปี นับตั้งแต่ปี 1973 ถึง 1981 ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในช่วงเดียวกันเป็น 9.2%

ส่วน R. Dennis Moon กรรมการผู้จัดการ ของกลุ่มบริหารสินทรัพย์พิเศษของ U.S. Trust เล่าว่า แม้ตลาดบ้านในสหรัฐจะฟุบมาหลายปี แต่เขามีลูกค้ารายหนึ่งใน Long Island ที่ลงทุน 50 ล้านดอลลาร์ในพื้นที่ที่มีไม้ใหญ่

อย่างบ้านเราก็น่าคิด ถ้าเป็นพื้นที่ว่างเปล่าในต่างจังหวัดไกลๆ ที่ปลูกสักทองได้ ก็น่าปลูกไว้ เพื่อให้ลูกเก็บกินในอีกสัก 30-40 ปีข้างหน้า แต่ก่อนตัดต้องไปขออนุญาตจากรัฐก่อน

บางคนบอกว่าการลงทุนในไม้ ก็คล้ายๆ กับฝากออมสินไว้ให้ลูกนั่นแหละ

3.ปืน

การสะสมปืนสามารถดำรงคุณค่าได้ (เพราะราคาขึ้นไปตามเวลา) เศรษฐีเลยนิยมสะสมปืนและกระสุนกันมาก

ตัวอย่างก็คือ ราคาของปืน Remington .223 ที่อ้างอิงจาก ammo.net มีราคาขึ้นจากปี 1999 ถึง 2011 ถึง 224% ชนะเงินเฟ้อในช่วงเดียวกันมากมาย

นอกจากนี้ Wall Street Journal ยังรายงานว่า ราคาปืนพุ่งกระฉูด เพราะคาดกันว่า Barack Obama จะได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง แล้วจะออกกฏหมายควบคุมอาวุธ และยังระบุว่า มีความต้องการปืนมากเกินกว่ากำลังการผลิตด้วย เห็นได้จากที่ Michael O. Fifer ผู้เป็น CEO ของ Sturm, Ruger & Co. ออกมาแถลงว่า บริษัทขอระงับการรับคำสั่งซื้อปืนไว้ชั่วคราว เพราะยอดขายในไตรมาสแรกปีนี้เกินกว่าที่คาดไว้มาก เลยผลิตไม่ทันความต้องการที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง

เอ ... มีความต้องการขนาดนี้แล้วคงไม่ใช่ว่ามีแต่เศรษฐีซื้อแล้วละ และหากคนทั่วไปผสมโรงซื้อด้วยก็อาจหมายถึงความรุนแรงหรือความถี่ของอาชญากรรมในอเมริกาเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจะโยงไปถึงเรื่องที่รัฐบาลท้องถิ่นไม่มีเงินจ้างตำรวจเพียงพอก็ได้

4. นาฬิกา

เรื่องนาฬิกานี้ไม่ใช่ว่าทุกยี่ห้อจะลงทุนแล้วหวังผลกำไรในอนาคตได้เสมอไป คนที่ซีเรียสเรื่องการลงทุนในนาฬิกาจริงๆ จึงมักลงทุนใน Rolex กับ Patek Philippe เป็นหลัก เพราะเป็นยี่ห้อที่ขายออกได้คล่องที่สุด และได้กำไรดี ซึ่งอย่างหลังนี้บริษัทผู้ผลิตมีความเป็นอัจริยะทางการตลาดที่สามารถทำให้ยี่ห้อของตนที่เคยผลิตออกมามีราคาขึ้นมาโดยตลอด

เจ้าของร้านแอนทีคในลอนดอนชื่อ George Somlo ให้ข้อสังเกตุว่า การซื้อนาฬิกาข้อมือที่เป็นแอนทีคในช่วงเศรษฐกิจขาลงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเสมอ ซึ่ง Eric Engh ผู้จัดการเวบไซท์ Old Watch ก็ยืนยันว่า เมื่อนาฬิกาชั้นดียี่ห้อใด รุ่นใด เป็นที่นิยม ก็จะมีคนต้องการอยากจะครอบครองกันมาก และยอมจ่ายในราคาที่สูงลิ่ว

5. แสตมป์

Handbook of Personal Wealth Management เขียนเอาไว้ว่า แสตมป์ไม่ใช่ Financial Assets อย่างหุ้นและพันธบัตร แต่เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ลงทุนประเภทจับต้องได้ที่มี Record ว่าให้ผลตอบแทนที่มั่นคงและดีมากมายาวนานที่สุด และถึงแม้แสตมป์จะบอบบาง ถูกทำลายได้ง่าย แต่แสตมป์เก่าๆ ก็มีค่าคล้ายๆ รถคลาสสิคที่คนนิยมสะสม หรือหนังสือการ์ตูนยอดนิยมเก่าๆ

มิน่า ลุง Bill Gross (PIMCO) ถึงได้สะสมแสตมป์มีค่าไว้ถึง 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทีเดียว และส่วนมากก็ได้มาจากการที่ลุงเข้าไปประมูลช่วยการกุศลด้วย

นึกถึงหนังสือการ์ตูนเก่าๆ ที่เคยติดงอมแงมสมัยเด็กๆ อย่าง ขวานฟ้าหน้าดำ ชะมัด เนี่ยะ ถ้าเก็บไว้ดีๆ ป่านนี้ก็สบายไปแล้ว

ดังนั้น เราก็อาจจะเริ่มสะสมแสตมป์ (ทั้งๆ ที่เดี๋ยวนี้เราติดต่อทางอินเตอร์เนตกันแล้ว) และสะสมการ์ตูนซุปเปอร์ไซย่า กันไว้ได้แล้ว

อ้าว อย่าเพิ่งหัวเราะว่าโลกไปยุคเทคโนโลยี eBook แล้ว จะให้เก็บไว้ทำไม อย่าลืมสิ ต่อไปจะมีคนถวิลหาสิ่งที่ยึดโยงเราไว้กับอดีต จะมีคนอยากเงยหน้าขึ้นมาจาก Smart Phone เพื่อจับต้องกระดาษจริงที่มีแต่จะหายากขึ้นทุกที

ก็คงคล้ายๆ กับที่เราเห็นเครื่องพิมพ์ดีดโบราณ เห็นฉลากยาเก่าๆ แล้วทึ่ง อยากเป็นเจ้าของกันนั่นแหละ

6.งานศิลปะ

หลายคนคงไม่รู้ว่าในทศวรรษที่ผ่านมานี้ ดัชนี Mei Moses (ดัชนีสำคัญที่โลกใช้สำหรับงานศิลปะ) ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าดัชนี S&P500 ถึง 6 เท่า

กูรูด้านพันธบัตรอย่าง Jeff Gundlach ยังถึงกับบอกว่า งานศิลปะก็คือทองคำในเวอร์ชั่นที่พกพาไปไหนๆ ได้ (เพราะในราคาที่เท่าๆ กัน ทองคำจะหนักกว่า) โดยสามารถดำรงอำนาจซื้อได้เท่าๆ กับทองคำ

หากจะดูว่ากำลังซื้อในงานศิลปะและการลงทุนในงานศิลปะโดยเฉพาะภาพเขียนนั้นดีขนาดไหน วิธีดูที่ดีก็คือให้ไปดูราคางานศิลปะที่บริษัทประมูลปล่อยไปได้ กับดูยอดขาย ผลกำไร และราคาต่อหุ้นของบริษัทประมูล

ตัวอย่างคือ Sotheby อันเป็นบริษัทประมูลข้ามชาติเก่าแก่เป็นอันดับ 4 ของโลกซึ่งก่อตั้งในปี 1744 มีสำนักงานใหญ่ในสหรัฐ มีอีก 90 สำนักงานในอีก 40 ประเทศ ก็ได้

บริษัทนี้ทำธุรกิจประมูลที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลกของศิลปะการตกแต่ง เครื่องประดับ และของสะสม ซึ่งในปี 2011 มียอดขายทั่วโลก รวมถึง 5,800 ล้านดอลลาร์

ตั้งแต่ปี 2009 หุ้นของ Sotheby ได้ขึ้นจากจุดต่ำสุดในช่วงนั้นที่ 6.47 มาเป็น 30.58 ดอลลาร์ต่อหุ้น

แบบนี้จะเรียกว่าเป็นตลาดกระทิงของงานศิลปะก็ไม่ผิด

ก็ขนาดภาพเขียน Pop Art ของ Andy Warhol ยังมีคนประมูลไปได้ในราคาตั้งพันล้านบาท จนเดี๋ยวนี้ผลงานภาพเขียนของเขาหากคำนวณเป็น Market Cap. ก็น่าจะแซงเบอร์หนึ่งอย่าง ปิคาสโซ ไปแล้ว

ชื่อ:  001.PNG
ครั้ง: 188
ขนาด:  256.0 กิโลไบต์

7.เพชร

Alan Landau ผู้เป็น CEO ของ Novel Asset Management ให้สัมภาษณ์ใน Bloomberg TV ว่า “เพชรเป็นการลงทุนที่ยอดเยี่ยมและปลอดภัย แม้จะมีสภาพคล่องน้อยกว่าทองคำอยู่มาก แต่ราคาก็ไม่ผันผวนเท่าราคาทองคำ ทั้งยังกำลังเป็นที่สนใจในการลงทุนเพื่อหลบภัยจากค่าเงินดอลลาร์อีกด้วย”

ความจริงนอกจากเพ็ชรแล้ว พวกอัญมณีประเภทต่างๆ ก็ได้รับความนิยมในการสะสมเพิ่มขึ้น

มีคนบอกว่า นอกจากคุณค่าในเชิงการลงทุนที่ดีแล้ว เพ็ชรและอัญมณี มีมนตรามหาเสน่ห์ให้คนหลงไหลในความงดงามอย่างถอนตัวได้ลำบาก

จริงเท็จอย่างไร ลองจุดธูปถามคุณป้า Elizabeth Taylor ดูก็ได้ ก็ Jewelry Collection ของเธอที่เปิดประมูลไปเมื่อเร็วๆ นี้ทำให้คนที่ได้ดูแม้เพียงรูปยังอ้าปากค้าง

แม่จ้าว อะไรมันจะอลังการงานสร้างและมีเป็นจำนวนมากได้ถึงขนาดนั้น

ลองไปดูงานประมูลเพ็ชรที่ทำสถิติราคาสูงสุดกันบ้าง

ชื่อ:  002.PNG
ครั้ง: 187
ขนาด:  73.3 กิโลไบต์

Christie’s รายงานว่า เพ็ชรสีชมพูขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยออกประมูล ชื่อ The Martian Pink เพ็ชรเม็ดนี้หนัก 12.04 กะรัต และมีคนประมูลไปเมื่อเดือน พ.ค.2012 ไปแล้ว ในราคา 17 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 527 ล้านบาท คร่าวๆ ก็กะรัตละ 45 ล้านบาท

คนทั่วไปทำงานมาทั้งชีวิตยังมีเงินเก็บไม่ได้ครึ่งของ 1 กะรัตเลย

การที่เพ็ชรเม็ดนี้ขายได้ราคาสูงกว่าที่ประเมินราคาเป็นเท่าตัว แสดงว่า ไม่ว่าเศรษฐกิจที่ย่ำแย่จะทำร้ายผู้คนจำนวนมากได้อย่างไร เศรษฐีตัวจริงย่อมเป็นข้อยกเว้น

ชื่อ:  003.PNG
ครั้ง: 187
ขนาด:  53.4 กิโลไบต์

เมื่อ 1 ธ.ค. 2009 แหวนเพ็ชรสีชมพูขนาด 5 กะรัต ถูกขายไปงานประมูลของ Christie’s Hong Kong ในราคา 10,776,660 ดอลลาร์สหรัฐ (334 ล้านบาท) กะรัตละแค่ 66 ล้านบาทเท่านั้นเอง เป็นสถิติราคาเพ็ชร ต่อกะรัตที่สูงที่สุดเท่าที่เคยมีการประมูล โดย Vickie Sek ผู้อำนวยการ Christie’s Asia บอกว่า แหวนวงนี้เป็นดวงดาวที่ส่งประกายระยิบระยับที่สุดในงาน และ 8 ใน 10 คนที่ประมูลเพ็ชรพลอยไปได้เป็นนักสะสมชาวเอเชีย

หากเดินทางไปต่างประเทศแล้วหมั่นซอกแซก ถามไถ่ สังเกตุสังกาผู้คนกับสิ่งแวดล้อม เราก็จะได้ข้อมูลดีๆ มากมาย และสะท้อนอะไรๆ ที่เป็นของจริงได้มากกว่าตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาอีกด้วย เมื่อเร็วๆ นี้ที่ไป South Africa คนพื้นเมืองเล่าว่าแต่ก่อนนักท่องเที่ยวจะเป็นชาติตะวันตกมากที่สุด เดี๋ยวนี้ลดลงไปมาก แต่ได้คนจีน คนอินโดเนเซีย เกาหลี และตะวันออกกลาง มาทดแทน

ส่วนร้านขายเพ็ชรเล่าว่า เดี๋ยวนี้นักท่องเที่ยวจากตะวันออกซื้อเพ็ชรพลอยมากกว่าคนตะวันตกแล้ว

ตอกย้ำประโยคที่ว่า “คนเราจะรวยจะจนนั้น ไม่มีคงทนถาวร แต่เพ็ชรพลอย ทองคำ ซึ่งเป็นความมั่งคั่ง แม้จะเปลี่ยนมือไปได้เรื่อยๆ ก็จะไหลไปอยู่ในมือของคนรวยๆ เสมอ”

ชื่อ:  004.PNG
ครั้ง: 188
ขนาด:  171.6 กิโลไบต์

8.สุรา


มันน่าสนใจมาก เพราะเราอาจไม่ค่อยรู้กันว่า คนอเมริกันในยุคก่อนใช้วิสกี้แทนเงินในการแลกเปลี่ยนสินค้า เหมือนพวก Aztecs ใช้เมล็ดโกโก้ไปแลกสินค้าอื่นๆ แบบ Barter Trade

นอกจากนี้ นิตยสาร SWAG ได้รวมไวน์เข้าไว้กับพวกแร่เงิน งานศิลปะ และทองคำ ในฐานะที่เป็นโอกาสในการลงทุนที่ช่วยต้านเงินเฟ้อได้ด้วย

และ Peter Luzer ผู้บริหากองทุนไวน์ (Wine Investment Fund) คาดว่า กองทุนของเขาจะให้ผลตอบ แทนเฉลี่ยต่อปีที่ 12.5% ถึง 14.0% ทีเดียว

ดังนั้น การเลิกดื่มแล้วหันมาสะสมสุรากันก็น่าจะอินเทรนด์ไม่ใช่น้อยเลย

9.เหรียญที่หาได้ยาก


เหรียญเก่าๆ หายากมักเป็นที่ต้องการของผู้สะสม ผู้มีโอกาสครอบครองไว้จึงเบาใจได้เลยว่าค่าของมันในอนาคตจะเพิ่มมากขึ้นเพราะมันผลิตเพิ่มไม่ได้ ไม่เหมือนทองคำกับแร่เงินที่ยังพอจะขุดหามาได้ ตัวอย่างเช่น ราคาเหรียญทองคำ St. Gaudens รุ่น 20 ดอลลาร์สหรัฐ ยังขึ้นจากช่วงก่อน Recession ในอเมริกา จากไม่ถึง 2,000 ดอลลาร์ มาเป็น 2,720 ดอลลาร์ในเดือนตุลาคมนี้เลย

สำหรับตลาดไทยๆ นั้น เรายังมีอะไรน่าสะสมเพื่อรักษากำลังซื้อ และผลตอบแทนที่ดีได้มากกว่านี้อีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพระเครื่อง พระพุทธรูป เหรียญเก่า ถ้วยชามรามไหเก่าๆ ตั้งแต่ครั้งราชวงศ์โบราณ

ก็แหม ขนาดชามตราไก่ กับถาดสังกะสีลายดอกไม้ที่ใช้กันในวัด ยังป๊อบปูลาร์ในวันนี้

แต่คิดจะลงทุนอะไร ก็อย่าลืมเรื่องสภาพคล่อง เพราะหลายอย่างไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันใจอย่างที่จำเป็นต้องใช้ ดังนั้นต้องวางแผนให้ดีๆ

ถ้าคิดจะเดินตามรอยเศรษฐีกันละก็ อย่าลงทุนสะเปะสะปะ ให้เลือกชิ้นที่ดีที่สุดไว้ก่อน (ถ้ามีเงินพอนะ)

          ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=37317 

แค่หกส่วนก็พอ

ที่กรุงไทเปมีผู้รับเหมาก่อสร้างคนหนึ่ง  เป็นคนหนุ่มที่ชาญฉลาดที่รู้กันทั้งวงการ  มีหัวการค้าเป็นเลิศ  ทำงานคล่องแคล่วว่องไว  พร้อมลุยงานหนัก...