วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2557

คุณจะเป็นคนที่มีความสุขมากที่สุดจนคนอื่นต้องอิจฉา


คำถามมากมายบนโลกนี้ไม่สามารถหาคำตอบได้
และนั่นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะไม่มีใครที่สามารถเข้าใจได้ทุกเรื่อง

อัลเบิร์ต ไอสไตน์ เคยกล่าวเอาไว้ว่า

"หากเราเปรียบ เรื่องที่มนุษย์รู้ กับ เรื่องที่มนุษย์ไม่รู้ มันก็เหมือนกับ การเปรียบเทียบระหว่าง หนึ่งเม็ดทราย กับ จักรวาลอันกว้างใหญ่"

การที่เราจะเป็นคนเก่งหรือคนที่ประสบความสำเร็จได้นั้น
เราไม่จำเป็นต้องเข้าใจทุกเรื่อง เพียงแค่..

เราต้องรู้ว่าเราจะใช้ชีวิตแบบไหน ยังไง ?

เราต้องรู้ในความสามารถและความถนัดของเรา

..และ..

จงรู้ให้มากที่สุด.. ในเรื่องงานของเรา
จงฉลาดให้มากที่สุด.. ในการแก้ปัญหา
จงสนุกที่สุด.. ในการทำงานของเรา
จงให้สิ่งที่ดีที่สุด.. กับคนที่เรารัก
จงทำดีที่สุด.. กับคนที่รักเรา
จงใช้ปัญญาให้มากที่สุด.. ในการดำเนินชีวิต

แล้วคุณจะเป็นคนหนึ่ง
ที่ประสบความสำเร็จและมีความสุขมากที่สุดจนคนอื่นต้องอิจฉา

Wealth Creation

ชื่อ:  09einstein.jpg
ครั้ง: 346
ขนาด:  95.6 กิโลไบต์

ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=59414

วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2557

อย่า อยู่ อย่าง "อยาก"


หลายคนมีฝัน ฟุ้ง อยากทำโน่น อยากทำนี่ คิดไปต่างๆนานๆ โปรเจคเยอะแยะ แต่พอถามว่า เป็นไงบ้างล่ะ เริ่มรึยัง ก็จะมีแต่ข้อจำกัดที่พยายามหาเหตุ ที่จะรอไว้ก่อน เวลาก้ผ่านไป วัน หลายวัน เดือน หลายเดือน ปี แล้วก็หลายปี เช่น
อยากผอมอีกสัก 5 กิโล แต่ยังไม่มีเวลาออกกำลังกายเลย
อยากไปเรียนภาษาอังกฤษ รอรับ AEC เผื่อจะได้โปรโมทกับเขามั่ง
อยากมีกิจการของตัวเอง แต่กลัวเจ๊ง ไม่อยากเสียเงิน
อยากดูดี แต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน ก็เลย แค่คิดดีดกว่า ช่างมัน อย่างนี้ก้ดีแล้ว

ถ้าปล่อยให้ภาวะแบบนี้เกิดขึ้น ตัวเองก็จะชินกับการฟุ้ง อยาก แต่ไม่ต้องลงมือทำ หลายคนคิด ลำดับเหตุการณ์ที่มันควรจะเป็น คล้ายๆกับ คำถามว่า ถ้าถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง แล้วจะใช้ตังค์ยังไง คิดไป คิดมา โน่นนี่ ... แค่ไม่เคยมีโอกาสได้ใช้ความคิดนั้น

อย่าปล่อยให้ตัวเองรู้สึก " อยาก" อย่าปล่อยตามความรู้สึก อย่าฟังเสียงเล็กๆในหัวอย่างเดียว เพราะเสียงนั้นไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง และมันจะหยุดคุณไว้

ถ้าคุณมีฝัน และมันมีความหมายกับคุณ ลงมือทำให้มันเกิดขึ้น เช่น
คุณอยากจะได้เลื่อนตำแหน่ง,
คุณอยากมีกิจการเป็นของตัวเอง,
คุณอยากให้หัวหน้ายอมรับ,
คุณอยากให้สินค้าขายดี, ฯลฯ

ทุกสิ่งที่เป็นความอยาก มันหมายถึงว่า คุณยังไม่ได้มันมา หากคุณไม่ลงมือทำอะไร มันก็จะไม่เกิดอะไร
ถ้าคุณได้ทำแล้ว ถึงแม้มันอาจจะไม่ได้ดั่งใจที่ตั้งไว้ทั้งหมด แต่สิ่งที่น่าดีใจคือ คุณได้เริ่ม และมันพาคุณออกมาจากจุดที่คุณลงรากลึก อย่างคุณก็ได้เคลื่อนจากจุดหนึ่ง ไปอีกจุดหนึ่งแล้ว ถ้าคุณทำได้หนึ่งอย่าง อย่างต่อไป ทำไมคุณจะทำม่ได้

มีคำกล่าวว่า เรือที่เบนออกไปเพียงครึ่งองศา จะทำให้เส้นทางสุดท้ายเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

เมื่อคุณเกิดมา คุณมีหน้าที่ ที่จะต้องทำให้ตัวคุณเองภาคภูมิใจ ด้วยการทำอะไรหลายๆอย่าง ไม่ใช่แค่ทำบางอย่าง แล้วก็อยู่ไป ปีแล้ว ปีเล่า

อย่าอยู่อย่าง "อยาก"

ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=59408

วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2557

(เรื่องน่ารู้) 10 อันดับสิ่งที่เราควรที่จะเรียนรู้จากเด็กๆ


วิลเลียม เวิร์ดสเวิร์ธ ก็เคยกล่าวไว้ว่า “เด็กเป็นบิดาของมนุษย์” ซึ่งก็ดูเหมือนจะเป็นจริง ที่ผู้ใหญ่สามารถเรียนรู้อะไรจากเด็กๆได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการคิด จิตวิทยา ที่ล้วนแล้วเป็นสิ่งที่มีคุณค่าทั้งนั้น เราลองมาดู 10 อันดับกันดีกว่าว่าจะต้องเรียนรู้อะไรบ้าง














ชื่อ:  10.jpg
ครั้ง: 886
ขนาด:  7.0 กิโลไบต์



10.การให้เกียรติ์


พวกเราก็รู้ว่า เด็กน้อยคนมากที่จะพูดจาโกหก ซึ่งดูแล้วพวกเด็กๆเองก็มีแรงศรัทธาในการพูดความจริง ผิดกับผู้ใหญ่ที่อาจจะมีการโกหกบ้าง เด็กๆทั้งหลายก็คงกลัวต่อการพูดโกหกหรือไม่สามารถประดิษฐ์คิดค้นคำพูดอะไรขึ้นมาได้ โดยผู้ใหญ่อย่างพวกเราก็ควรที่จะเรียนรู้เอาไว้ก็น่าจะดี














ชื่อ:  9.jpg
ครั้ง: 887
ขนาด:  20.2 กิโลไบต์



9.ประสาทสัมผัส


เด็กๆส่วนใหญ่ล้วนมีประสารทสัมผัสที่ลึกซึ้ง ที่พวกเขาเองก็อาจจะมีปฏิกิริยาตอบสนองที่เราเองก็ไม่อาจรู้ได้เหมือนกัน ที่พวกเขามีความเข้าใจและสามารถสังเกตสิ่งต่างๆได้ เด็กส่วนใหญ่จะมีจิตสำนึกในเรื่องประสาทสัมผัสเป็นพิเศษ แน่นอนว่าเมื่อเราโตเป็นผู้ใหญ่ เราก็มักจะหลีกเลี่ยงเรื่องพวกนี้ไป















ชื่อ:  8.jpg
ครั้ง: 886
ขนาด:  6.4 กิโลไบต์



8.ความขี้เล่น สนุกสนาน


เด็กๆส่วนมากก็ไม่ค่อยมีเรื่องยุ่งๆอะไรมากวนใจชีวิตมากนัก ไม่ว่าจะยังไงเด็กพวกนี้ก็มีธรรมชาติในความขี้เล่น สนุกสนานอยู่ในตัวเสมอ หากเราเป็นผู้ใหญ่แล้ว ความขี้เล่น สนุกสนานก็จะหมดลงไป ซึ่งเรามักจะปิดกั้นและก็มองเรื่องต่างๆที่อยู่รอบตัวมากกว่า เราเองก็ควรที่จะหาเวลาเรียนรู้กับเด็กๆเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้บ้าง















ชื่อ:  7.jpg
ครั้ง: 887
ขนาด:  6.3 กิโลไบต์



7.ความเป็นมิตร


พวกเด็กๆมักจะทำตัวเป็นมิตรกับทุกๆคนในช่วงแรกที่เราได้รู้จักกัน มีการแสดงท่าทางอิริยาบถต่างๆที่แสดงถึงความเป็นมิตร ผู้ใหญ่ก็สามารถเรียนรู้ถึงการแสดงออกนี้ได้ในแต่ละคนด้วยกัน ผู้ใหญ่น้อยคนมากที่จะทำแบบเดียวกับเด็กๆ โดยเฉพาะในแวดวงสังคมต่างๆ ที่ผู้ใหญ่มักจะรอให้อีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายทักก่อนเสมอ















ชื่อ:  6.jpg
ครั้ง: 887
ขนาด:  8.5 กิโลไบต์



6.ความจงรักภักดี


ความจงรักภักดีถือเป็นสัญลักษณ์ของคนที่มีทัศนคติที่ดี ซึ่งเด็กๆจะมีนิสัยจงรักภักดีอย่างแนบแน่น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนฝูง ครอบครัว ที่พวกเขาต่างก็ไม่ทอดทิ้งกัน โดยเราสามารถเรียนรู้เรื่องนี้จากเด็กๆได้ที่พวกเขาต่างก็มีความจงรักภักดีอย่างเหนียวแน่น















ชื่อ:  5.jpg
ครั้ง: 886
ขนาด:  5.1 กิโลไบต์



5.ความขี้สงสัย


เด็กๆเกิดมาล้วนมีแต่ความขี้สงสัย เมื่อโตขึ้น พวกเขาก็จะทำการสำรวจสิ่งต่างๆรอบตัว ตั้งคำถาม และสงสัยว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร พวกเขาสามารถเรียนรู้อะไรมาก จึงทำให้มนุษย์มีการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ ตัวอย่างเช่น การหัดนั่งโถแล้วก็ฝึกกดชักโครกก็ถือเป็นการเรียนรู้จากความขี้สงสัย















ชื่อ:  4.jpg
ครั้ง: 889
ขนาด:  12.9 กิโลไบต์



4.การเรียนรู้อย่างรวดเร็ว


ความคิดของเด็กๆมีการเรียนรู้ได้เร็วกว่าเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่ โดยผู้ใหญ่ก็สามารถเรียนรู้จากเด็กๆ ทั้งทัศนคติต่อการเรียนรู้และก็เป้าหมายในการเรียนรู้ และเรียนรู้โดยไม่ได้หวังผลตอบแทนอะไร















ชื่อ:  3.jpg
ครั้ง: 884
ขนาด:  9.7 กิโลไบต์



3.การให้ความรักและการให้ตามสัญชาตญาณ


เด็กๆมักจะแสดงความรักแบบไร้เดียงสาให้พวกเราเห็นอยู่เสมอ ไม่เหมือนกับผู้ใหญ่ที่ไม่เข้าใจถึงการแลกเปลี่ยนความรักหรือปัจจัยทางด้านความรัก พวกเขารักเราโดยธรรมชาติ โดยที่ไม่มีปัจจัยอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องหรือมีอะไรมายับยั้งพวกเขา เราเองก็ควรที่จะพยายามเลียนแบบเด็กๆเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ให้เป็นไปตามธรรมชาติของเรา














ชื่อ:  2.jpg
ครั้ง: 888
ขนาด:  25.4 กิโลไบต์



2.ความกล้าหาญ


หากเด็กๆมีความกล้าหาญ ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเป็นเจ้าโลกอะไรหรอก พวกเขาก็เคยอยากเปิดความคิดของตัวเองให้กว้างมากขึ้น กล้าเผชิญหน้ากับเรื่องต่างๆที่อยากรู้อยากเห็น ทัศนคติแบบนี้ป็นผู้นำตัวอย่างในอนาคตไม่ว่าจะโลกของเราเป็นยังไง สังคมก็ต้องการผู้กล้าในการเผชิญหน้ากับความเป็นอยู่ทั้งในวันนี้และอนาคต














ชื่อ:  1.jpg
ครั้ง: 901
ขนาด:  9.4 กิโลไบต์



1.การให้ความช่วยเหลือ


เด็กๆทุกคนก็อยากขอความช่วยเหลือจากพวกเรา พวกเราก็รู้ดีอยู่แล้ว เมื่อพวกเราประสบปัญหาขึ้นมา สมมุติว่าเราเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาและไม่สามารถขยับไปไหนมาไหนได้ เมื่อเราหยิบยื่นมาขอความช่วยเหลือจากเด็กๆ พวกเขาก็จะพยายามช่วยเหลือเต็มที่ไม่ว่าจะเป็นงานหนักเบาแค่ไหน ซึ่งเป็นเรื่องดีหากเราเรียนรู้แล้วนำมาปรับเข้ากับชีวิตของตัวเองและตระหนักถึงความช่วยเหลือเอาไว้เสมอ


ผู้เขียน Mr.lawrence10
 
ที่มา  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=59377 

บ้าน 2 ชั้น ที่ถูกออกแบบมาเป็นพื้นที่ๆน่าตื่นเต้น

 



Superkül Inc Architect ได้รับรางวัลความเป็นเลิศ 2012 Design Excellence award โดย the Ontario Association of Architects สำหรับการทำงาน SPLIT house ในโตรอนโต, แคนาดาของพวกเขา

Split in plan and section, บ้านเพื่อช่วยให้น้ำและแสงถึงใจกลางบ้าน ถูกออกแบบมาเป็นพื้นที่ๆน่าตื่นเต้น - เจ้าของปกติเป็นผู้ให้เครือข่ายจากเพื่อนๆ และครอบครัวจึงต้องการสถานที่ๆรู้สึกว่าใหญ่ การนี้คือการทำให้บ้านนั้นสามารถรู้สึกใกล้ชิด สำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน ที่อุดมไปด้วยพื้นไม้สีน้ำตาลที่เชื่อมต่อกับภายนอกดาดฟ้า IPE ทำหน้าที่เป็น counterpoint เพื่อเพดานสูงของพื้นที่หลักและเชื่อมต่อภายในสู่ภายนอกนี้ ร่วมกับการออกแบบของช่องว่างมากขึ้น สำหรับบ้านมีขนาดเล็กและช่วงเวลาทั่วทั้งชั้นล่างให้มีเท่าเทียมกัน

การตกแต่งภายในบ้านมีวิวของท้องฟ้า และพื้นที่ใกล้เคียงเชื่อมต่อที่แข็งแกร่งในแนวนอน และสระว่ายน้ำออกมากมา การใช้อิฐสีเหลืองและเข้าด้านข้าง IPE ให้สำหรับชุดวัสดุภายนอกที่อบอุ่น

 
ที่มา  http://homeplanting.blogspot.com/2012/05/2_31.html

6 ข้อดี แก้ผ้านอน



ที่มา  http://pantip.com/topic/31964732

อย่าพยายามวิ่งตามอะไรมากเกินไป เพราะ ถ้ามันไม่ใช่ เราไม่มีทางวิ่งตามมันทัน



ที่มา  http://pantip.com/topic/31964732

วันอังคารที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2557

คำคมไอสไตน์

Only two things are infinite, the universe and human stupidity, and I'm not sure about the former.
มีเพียง สองสิ่งเท่านั้นที่หาที่สิ้นสุดไม่ได้คือจักรวาลและความโง่เขลาของมนุษย์ ทว่าฉันไม่แน่ใจกับอันแรกนะ

Only a life lived for others is a life worth while.
ชีวิตที่ทำเพื่อคนอื่นเท่านั้น ที่มีคุณค่าต่อการมีชีวิต

ที่มา  http://pantip.com/topic/31914315

วันอังคารที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2557

ไม่ต้องบินให้สูงอย่างใครเขา

ไม่ต้องบินให้สูงอย่างใครเขา
จงบินเท่าที่เราจะบินไหว
ท่าที่บินไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร
แค่บินไปให้ถึงฝันเท่านั้นพอ

The Platu Story เพราะ..บนโลกนี้ไม่ได้มีแต่คนดี


The Platu Story เป็นเรื่องราวของเด็กหญิงตัวน้อยที่ชื่อปลาทูค่ะ
พอดีเราเห็นบทความหลายๆเรื่องในนี้แล้วน่าสนใจ อยากนำมาแชร์ให้คนอื่นได้อ่านด้วย
เลยขอก๊อปข้อความมาโพสให้ได้อ่านกันค่ะ

-------------------------------------------------

เพราะ..บนโลกนี้ไม่ได้มีแต่คนดี

ลูกรักของแม่ วันนี้แม่อยากจะบอกลูกว่า "โลกใบนี้ซับซ้อนนัก"
คนทุกคนไม่ได้รักเรา หรือใส่ใจในตัวเราเหมือนคนในครอบครัวทั้งหมด
แม่เองก็ไม่รู้ว่าจะสอนลูกยังไง ให้ลูกเข้าใจ
ว่าโลกใบนี้ มันซับซ้อนแค่ไหน ผู้คนหลากหลายเหลือเกิน

สำหรับเด็กอายุ 7 ขวบของแม่
แม่คงสอนได้เพียงว่า เพื่อนคนไหนเล่นแล้วเกเร ก็เล่นกะคนอื่น
เพื่อนคนไหน ต่อว่าเรา ในเรื่องที่ไม่จริง
ใครที่ไหนจะไม่เชื่อเรา แต่จำไว้ กลับบ้านมาบอกแม่ แม่เชื่อลูกแม่
เพราะแม่สอนลูกแม่มา ว่าไม่ให้โกหก

เพื่อนคนไหน บอกว่าลูกแม่ ทำไมไม่มีเหมือนเค้า
ก็ขอให้ลูกตอบเค้าไปว่า คนเราไม่ต้องมีเหมือนกันทุกอย่างก็ได้
เราทุกคนมีความสุขในสิ่งที่แตกต่างกันออกไป
แม่เลี้ยงลูกแม่มา ให้มีความสุขกับสิ่งที่เรามี
และอยู่อย่างเรียบง่าย ดังนั้นอย่าได้เสียใจไปเลยนะ
เราก็ "มีความสุขในแบบของเรา" อาจจะต่างไป แต่ใจเราก็สุขได้

เราไม่ทำร้ายใคร ก็ไมได้แปลว่า จะไม่มีใครทำร้ายเรา
เราไม่เอาเปรียบใคร ก็ไม่ได้แปลว่า เราจะไม่โดนเอาเปรียบ
เราไม่หลอกใคร ก็ไม่ได้แปลว่า เราจะไม่โดนหลอก

แม่เพียงจะบอกว่า เราต้อง "เรียนรู้ที่จะอยู่ให้ได้"
ถึงแม้เราจะเลือกไม่ได้ว่า เราจะอยู่ท่ามกลางคนดีหรือไม่ดี

ณ เวลานี้ สิ่งที่แม่ พร่ำบอก ว่าทำแล้วไม่ดี
ลูกแม่ก็เข้าใจ พอโลกของลูกกว้างขึ้น
ลูกก็กลับมาถามว่า ทำไมสิ่งที่แม่บอกว่าไม่ดี ทำไมเพื่อนถึงทำ ?
แม่ก็มีเพียงคำตอบว่า ลูกรู้ใช่ไหมว่า มันดีไหม สิ่งที่เพื่อนทำ
ในเมื่อลูกรู้แล้ว ลูกก็เลือกเอาว่าจะทำตามเค้าไหม ?
แม่ตามไปบังคับลูกตลอดเวลาไม่ได้หรอกนะ
ลูกต้องรู้จัก "แยกแยะ" ด้วยตัวเอง แม่ทำได้แค่เพียง บอกให้รู้

แม่เชื่อว่า สิ่งเหล่านี้ คือ รากแก้วในชีวิตลูก
เมื่อลูกรุ้จักพอ รู้จักแยกผิดชอบ ขั่วดี
และรู้จักวิธีที่จะอยู่ "ท่ามกลางโลก"
รากแก้วที่เหนี่ยวแน่นพวกนี้จะยึดลูกของแม่เอาไว้ได้
และเติบโตอย่างมั่นคง แข็งแรง

ชีวิตแม่ .. เติบโตมาจากการต้องเรียนรู้เเอง
ผิดถูก ก็ต้องเจอเอาเอง บาดเจ็บก็เยียวยาตัวเอง
วันนี้ ถือว่าลูกโชคดีแล้ว ที่มีผู้ประคับประคอง
แต่แม่ก็จะเป็นแค่ผู้ประคับประคองนะ
เพราะแม่รู้แล้วว่า สิ่งที่ได้จากการเผชิญทุกอย่างด้วยตัวเอง
มันมีค่ายิ่งใหญ่ จนทำให้แม่เติบโตมาได้จนถึงทุกวันนี้

แต่ลูกจะเรียนรู้มันโดยมี แม่และพ่ออยู่เคียงข้าง
ถึงแม้บนโลกนี้จะไม่ได้มีแต่คนดี
หรือว่า โลกมันจะซับซ้อนเพียงไหน
แม่ก็ยัง "มี่หลุมหลบภัย และมุมหลบโลกไว้ให้ลูกที่บ้านเสมอ"

รักลูกนะ

ที่มา  http://pantip.com/topic/31889703

วันจันทร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2557

ในระบบทุนนิยมเราหาเงินมาแลกเปลี่ยนของ 3 อย่าง

ในระบบทุนนิยมเราหาเงินมาแลกเปลี่ยนของ 3 อย่าง 1.จำเป็น 2.ไม่จำเป็น(แต่เราจ่ายเยอะ) 3.เป็นกับดัก (อันนี้คนเรา งง สุด เพราะมันคือกับดัก ไม่ใช่ว่าดีหรือไม่ดี แต่มันเป็นสิ่งที่คนเราสับสน เพราะของเหล่านี้ผูกกับ EGO และความรู้สึกทั้งหมดของเขา)
-- มาดูกัน อันแรก คือ ปัจจัย 4 แบบไม่ปรุงแต่ง อาหารธรรมดา , ค่ายาปกติ , เสื้อผ้าธรรมดา , บ้านพ่อแม่หรือหอพักธรรมดา ..เดี๋ยวนี้เพิ่มค่าโทรศัพท์ และค่าเดินทาง อันนี้ถ้าใช้แค่นี้แบบพื้นๆ ส่วนมากเงินเดือนขั้นต่ำข องคนชั้นกลางครอบคลุม
อันที่สอง ก็คือ เอาข้อแรกมาใส่ความไฮโซลงไป เช่น อาหารดีๆ , เสื้อผ้ามียี่ห้อ , กาแฟ Starbuck ,โทรศัพท์รุ่นฮึต , กระเป๋า รองเท้า ยี่ห้อ ..ของเหล่านี้ถ้าใช้มากๆจะเกินเงินเดือน เริ่มสร้างหนี้บัตรเครคิต (เริ่มเป็นทาสในเรือนเบี้ย)
ส่วนที่สามเป็นกับดัก คือ บ้าน กับ รถยนต์ อันนี้เป็น Major Expense คือ รายจ่ายหนี้ระยะยาว ซึ่งถ้าเกิดขึ้นแล้วชีวิตจะเปลี่ยน  ..ถ้าเป็นคนจีนจะซื้อบ้านหลังจากรถยนต์ เพราะบ้านไม่เกี่ยวกับงาน ..ค่าใช้จ่ายตรงนี้จะมาพร้อม หนี้บ้าน และ หนี้รถยนต์ อย่างในต่างประเทศเขาขมวดรวมให้คุณผ่อนชั่วชีวิต (อันนี้เป็นทาสจริงๆเลย)
-- คนเราจะรวยจนอยู่ที่การบริหารการใช้จ่ายในข้อ 2 และ 3 ...วิธีการคิดง่ายๆ ต้องรู้ก่อนว่า โลกทั้งใบเล็กกว่าความอยากของมนุษย์ ดังนั้น เงินที่เราหามา ไม่มีทางมากกว่าความอยาก -- คนที่ต้องการวางแผนรวยต้องเริ่มจากการวางแผนและบริหารความอยากตามเหตุผล โดยเงินเดียวที่จะซื้อข้อ 2 และ 3 ห้ามมาจากเงินเดือนโดยตรง แต่ควรเป็นเงินที่มาจากการลงทุน ที่เขาเรียกว่า Passive Income นั่นเอง ...การสร้าง Passive Income ที่ง่ายสุด ได้จากการออมเงินใน Asset ที่มีรายได้ หรือ ปันผล ....เงินที่เราเอามาใช้ได้ก็เฉพาะปันผล แล้วเหลือเท่าไหร่ ก็เก็บไปออมใน Asset เพิ่ม ...ทำแบบนี้ 10 ปีจะเห็นผลเป็นรูปธรรม ...เมื่อ Passive Income โตจนผ่อนรถได้สบายๆ ก็ค่อยซื้อรถ ..และเมื่อมันโตจนผ่อนบ้านได้ก็ค่อยซื้อบ้าน

แค่หกส่วนก็พอ

ที่กรุงไทเปมีผู้รับเหมาก่อสร้างคนหนึ่ง  เป็นคนหนุ่มที่ชาญฉลาดที่รู้กันทั้งวงการ  มีหัวการค้าเป็นเลิศ  ทำงานคล่องแคล่วว่องไว  พร้อมลุยงานหนัก...